ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สัมภเวสี
กรรมบันดาล
เขาผู้นั้น ขณะนี้กำลังถูกกักขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อ เชิญไปดูได้
เด็กหญิงผู้หนึ่งในร่างของโอปปาติกะกล่าวยืนยันกับนายแพทย์ ณ
โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ
ข้อความข้างต้นนี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ ฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๕
ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้
จากท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งโดยที่นายแพทย์ผู้นี้ ซึ่งข้าพเจ้าขอสงวนนามไว้ที่นี้
เป็นผู้รู้จักคุ้นเคยกับท่านเจ้าคุณ
และได้เล่าเรื่องที่บังเกิดขึ้นกับตนเองให้ท่านเจ้าคุณนั้นฟัง ข้าพเจ้าเห็นว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งและเป็นการยืนยันสนับสนุนคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงได้บันทึกจากคำบอกเล่าของท่านเจ้าคุณไว้ แล้วนำมาเขียนไว้ในที่นี้
เพื่อชี้ให้เห็นว่ากรรมดี
และกรรมชั่วที่บุคคลทำไว้นั้นหาได้สูญหายไปพร้อมกับความตายไม่
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ ขออนุญาตต่อท่านผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ทุกท่านด้วย
ในการที่ได้นำเรื่องนี้มาพิมพ์เผยแพร่ ทั้งนี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า
หลักคำสอนในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสัจธรรม สามารถพิสูจน์ได้ แม้กระทั่งยุคปัจจุบัน
เรื่องมีอยู่ว่า นายแพทย์ผู้นี้ ได้เป็นโรคปวดศีรษะมาเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี
ตั้งแต่ก่อนเป็นนักเรียนแพทย์ แม้เป็นถึงรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลแล้ว
โรคนี้ก็ยังไม่หาย แต่อาการปวดศีรษะของนายแพทย์ผู้นี้แปลกกว่าอาการปวดของคนอื่น ๆ
ทั่วไป คือ ปวดประมาณ ๔ ชั่วโมง แล้วก็หาย อยู่มาก็ปวดอีก เป็นอยู่อย่างนี้เสมอ
จนกระทั่งนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคนี้ประชุมกันจะผ่าตัดมาหลายครั้งแล้ว
แต่ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องเลิกล้มการผ่าตัดไปทุกคราว
ครั้งหนึ่งเมื่อคุณหมอผู้นี้ยังเป็นนักเรียนแพทย์ ในโรงเรียนแพทย์อยู่ในต่างประเทศ
ก็ได้ปวดศีรษะขึ้นมาอย่างมากเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเช่น ทุกคราว
จนขณะอาจารย์และนักเรียนแพทย์ในโรงเรียนแพทย์แห่งนั้น ได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัด
แต่เมื่อตรวจอีกครั้งหลังจากหายปวดแล้ว ก็หาสาเหตุไม่พบ จึงต้องเลิกล้มการผ่าตัด
เมื่อเรียนจบวิชาชีพแพทย์แล้วก็เดินทางกลับเมืองไทย
และโรคปวดหัวก็ยังไม่หาย แต่ก็ยังสามารถเข้ารับกราชการ
และปฏิบัติงานในฐานะเป็นนายแพทย์ ได้เป็นอย่างดีอยู่
ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ได้มีโอกาสบวชในพระพุทธศาสนา ๑ พรรษา โดยบวชที่วัดราชาธิวาส
กรุงเทพ ฯ ตามประเพณีของกุลบุตรไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา
เพราะคุณแม่ของคุณหมอก็เป็นอุบาสิกาที่มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากผู้หนึ่ง
ในปีที่บวชนั้น
คุณหมอได้มีโอกาสเรียนและฝึกกรรมฐานกับท่านเจ้าอาวาสในสมัยนั้นและทำกรรมฐาน
ได้ผลดีมาก เมื่อปวดศีรษะขึ้นมาทีไร ก็เข้ากรรมฐานระงับปวดได้ทุกครั้งไป
จนกระทั่งเมื่อลาสิกขาออกมารับราชการตามเดิมแล้ว คุณหมอก็ยังทำกรรมฐานอยู่เสมอ
เพราะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว ยังระงับปวดศีรษะได้อย่างชะงัดอีกด้วย
ดีกว่ายากินยาฉีดที่เคยรับประทานมาแล้ว
ทุกอย่างเพราะยานั้นไม่อาจจะทำให้หายปวดศีรษะได้ เมื่อทำกรรมฐานบ่อยและนานปีเข้า
จิตก็ได้รับการฝึกฝนจนมีความชำนาญ จนถึงกับหลายครั้งที่พวกเพื่อน ๆ
ขอร้องให้คุณหมอเข้ากรรมฐานดูเลขท้ายล็อตเตอรี่ และปรากฏว่าดูได้ถูกเป็นส่วนมาก
ในจำนวน ๑๐ ครั้งจะดูได้ถูกถึง ๘ ครั้ง นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกมาก
จนทุกคนในบ้านกระทั่งลูก ๆ และภรรยารู้กันว่า คูรหมอสามารถหลับตาและมองเห็นสิ่งต่าง
ๆ ได้ เช่น วันหนึ่งลูกชายต้องการจะทดลองคุณพ่อของตน
จึงได้เอานาฬิกาข้อมือไปซ่อนไว้ใต้หิ้งพระชั้นบน
ของบ้านแล้วลงมาบอกคุณพ่อซึ่งนั่งอยู่ที่ห้องชั้นล่างว่า
นาฬิกาหายเสียแล้วหาไม่พบ คุณหมอก็หลับตาดู แล้วบอกลูกชายได้ทันทีว่า ยังไม่หาย
อยู่ใต้หิ้งพระนั่นเอง
จึงทำให้คนในบ้านเชื่อถือคุณหมอมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่นั้นมา
แต่สำหรับการทำกรรมฐานดูเลขล็อตเตอรี่นั้น
ทราบว่าภายหลังท่านเจ้าคุณอาจารย์ของคุณหมอขอร้องให้หยุดเสีย
เพราะไม่ใช่แนวทางแห่งความเจริญ และเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่สนับสนุน
ต่อมานายแพทย์ผู้นี้ ได้รับเลื่อนเป็นรองผู้อำนวยการโรงพยาบาล
และต่อมาโรคปวดศีรษะของคุณหมอก็กำเริบหนักขึ้นมาอีก จนไม่สามารถปฏิบัติงานที่
โรงพยาบาลตามปกติได้ และได้เข้าไปพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช จนคณะแพทย์
ที่โรงพยาบาลศิริราชได้ประชุมกันว่าจะผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด
แต่เมื่อหายปวดแล้วก็ตรวจรายละอเยดอีกครั้งหนึ่ง
ก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติในร่างกายเลย จึงไม่ได้ผ่าตัดอีก เมื่อปวดหัวหนักเข้าทีไร
คุณหมอก็ต้องใช้กรรมฐานเข้าระงับปวดปรากฏว่าอาการปวดหายไปในขณะใช้กรรมฐานนั้น
แต่ก็ไม่สามารถทำให้หายปวดได้เด็ดขาดตลอดไป เมื่อถึงกำหนดก็ต้องปวดอยู่บ่อย ๆ
วันหนึ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ปี ๒๕๐๕ ขณะที่คุณหมอนอนรักษาตัวอยู่
ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น ก็นั่งกรรมฐาน ส่งจิตไปในอารมณ์กรรมฐาน
เพื่อต้องการระงับปวดหัวเช่นเคยขณะที่กำลังส่งจิตไปนั้น
ก็ไปเจอกับวิญญาณของเด็กหญิงคนหนึ่งอายุ ประมาณ ๑๑ ขวบ ซึ่งตายไปแล้วปีกว่า
คุณหมอก็ได้สอบถามถึงชื่อ พ่อ แม่ นามสกุล บ้านที่อยู่อื่น ๆ
วิญญาณของเด็กหญิงผู้นี้ก็ได้บอกให้ทราบทุกอย่างที่ถาม แต่เป็นการสนทนากันในทางจิต
เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว ด้วยความประหลาดใจ และอยากทราบข้อเท็จจริง
คุณหมอก็ส่งคนให้ไปสืบและคนที่ไปนั้น ได้ไปพบบ้านตำบลที่อยู่ของเด็กหญิงคนนี้
และเมื่อเข้าไปในบ้านก็ได้พบกับแม่ของเธอ
เมื่อสืบถามก็ได้ความจริงทุกอย่างตรงตามที่เด็กหญิงคนนี้บอก เด็กหญิงคนนี้ชื่อ
พิมพวดี เกิดเมื่อปี ๒๔๙๓ ในกรุงเทพมหานครนี้เอง
เป็นลูกของคนมีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีลูก ๒ คน เท่านั้น๑ ต่อมาในปี
พ.ศ. ๒๕๐๓ เด็กคนนี้ได้เสียชีวิตด้วยไข้รากสาด
เนื่อจากเป้นผู้มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และเป็นที่รักใคร่ของคุณแม่อย่างยิ่ง
เมื่อเสียชีวิตพ่อแม่ก็ยังไม่ยอมเผา
เพราะยังเป็นห่วงอยู่มากแต่ก็ได้เอาไปเก็บที่วัดมกุฏกษัตริยาราม กรุงเทพ ฯ โดยสร้าง
ศาลาหลังหนึ่งอุทิศไว้เฉพาะเด็กหญิงผู้นี้ พร้อมกับติดรูปภาพของเธอลงบนหินอ่อน
ที่ตั้งรูปทำเป็นรูปปราสาทสวยงามมากศาลานี้ใช้สำหรับบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ ในงานศพของวัด
เขาจึงเรียกศาลานี้ว่า พิมพวดี
เป็นศาลาที่สะดุดตาแขกที่มาในวัดเพราะมีรูปติดอยู่ในลักษณะที่สวยงาม
และแปลกกว่าที่อื่นใดนั่นเอง
และศพของเด็กหญิงคนนี้ก็ยังเก็บอยู่ในศาลานี้ผู้สนใจย่อมสามารถไปชมได้แม้ปัจจุบัน
เมื่อคุณแม่ของเธอทราบว่าคุณหมอสามารถสนทนากับลูกสาวของตน
ซึ่งตายไปแล้วปีกว่าได้ ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้ไปถามความจริงกับคุณหมอ
และได้เล่าถึงความสามารถพิเศษของเด็กหญิงคนนี้ให้คุณหมอฟังเพิ่มเติม
ถึงเรื่องที่ไปนิมนต์พระมารับสังฆทาน ในวันครบรอบวันตายของตน คือ
วัหนึ่งขณะที่พระวัดเทพศิรินทร์กำลังสนทนากันอยู่ ๓-๔ รูป
(หลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรที่พระอุโบสถเสร็จแล้วตอนเย็น)
ก็ได้มีเด็กหญิงคนหนึ่ง อายุ ๑๐-๑๑ ปี แต่งชุดนักเรียน
ได้เดินเข้ามาหาแล้วนิมนต์ให้ไปรับ สังฆทานที่บ้านในวันรุ่งขึ้น แล้วก็เดินไป
พระท่านเรียกถามว่าไปไหน ก็ไม่ยอมกลับมา เดินพ้นเขตวัดไป วันรุ่งขึ้นพระ ๓-๔
รูปนั้นก็ไม่ได้เตรียมไปรับสังฆทาน เพราะไม่ทราบว่าไปบ้านไหน
แต่ก้ได้ออกบิณฑบาตตามปกติ ในจำนวนพระ ๓-๔ รูปนั้น พระรูปหนึ่งพอเดินไป ถึงบ้านนี้
เขาก็นิมนต์รับสังฆทาน เมื่อขึ้นไปบนบ้าน เห็นรูปเด็กหญิงคนนี้เข้าก็จำได้
จึงได้พูดว่า เมื่อเย็นวานนี้ หนูคนนี้ไปนิมนต์พวกอาตมามารับสังฆทาน
ยังไม่ได้ทันถามรายละเอียดก็เดินเลยไปเสีย
คุณแม่ของเธอก็บอกว่า ท่านคะ เด็กคนนี้จะไปนิมนต์ท่านอย่างไรได้
เธอเสียชีวิตไป ๑ ปีแล้ว ที่ทำบุญสังฆทานในวันนี้ ก็เพื่ออุทิศส่วนบุญ
ให้เธอเนื่องในวันครบวันตาย ๑ ปีของเธอ
เมื่อทราบเข้าดังนี้ พระรูปนั้น ก็พิศวงงงงวยในเรื่องที่เกิดขึ้น
จะไม่เชื่อสายตาของตนก็ใช่ที่ เพราะเห็นนั้น ไม่ใช่เห็นคนเดียว
นี้คือความแปลกเรื่องหนึ่งสำหรับเด็กหญิงคนนี้ ที่คุณแม่ของเธอเล่าให้หมอฟัง
ในขณะที่คุณหมอยังไม่ออกจากโรงพยาบาล เพราะอาการปวดศีรษะยังไม่ทุเลา
ทั้งต้องการที่จะค้นหาสาเหตุและรักษาให้หายขาดเสียสักครั้งหนึ่ง
และยังสนใจเรื่องของเด็กหญิงผู้นี้อยู่มาก วันหนึ่ง
คุณหมอจึงให้เอาเก้าอี้มาตั้งไว้ข้างหน้าตน
แล้วเข้ากรรมฐานเชิญวิญญาณของเด็กหญิงคนนี้มาคุย เมื่อคุยกันไปเรื่อย ๆ
เด็กผู้หญิงผู้นี้ก็บอกว่า
เมื่อชาติก่อนเธอเคยเป็นลูกของคุณหมอทราบว่าเด็กคนนี้ระลึกชาติหนหลังได้
จึงได้ถามสาเหตุของการเจ็บป่วยของตน เธอก็บอกว่า โรคนี้เกิดจากกรรม
ไม่ใช่สาเหตุมาจากผิดปกติของร่างกาย จึงรักษาไม่หาย ถ้าไม่เชื่อก็พิสูจน์ได้
แล้วบอกวิธีพิสูจน์ว่า ถ้ามียากินหรือยาฉีด
ที่ระงับปวดในโรงพยาบาลนี้เมื่อเริ่มปวดศีรษะแล้ว ให้กินหรือฉีด
ถ้าเป็นโรคทางกายก็จะระงับได้ แต่ถ้าเป็นโรคกรรมก็ระงับไม่ได้ แต่อาการปวดนี้
ปวดอยู่เพียง ๔ ชั่วโมงแล้วก็หยุด หากไม่เชื่อแล้วก็ให้ตั้งนาฬิกาดู
คุณหมอก็พิสูจน์ตามนี้ และปรากฏว่าเป็นจริงตามที่เด็กหญิงนี้บอกทุกอย่าง
ต่อมา คุณหมอก็เข้ากรรมฐานอีก และเชิญวิญญาณนี้มาอีก แล้วถามว่า
การปวดศีรษะของข้าพเจ้านี้เป็นเพราะกรรมอะไร เธอตอบว่า
เมื่อชาติก่อนที่ท่านเกิดในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่านรับราชการในตำแหน่งราชมัล
มีหน้าที่ลงโทษคนผิดให้ยอมรับผิดชอบ เช่น ตอกเล็บ บีบขมับ เป็นต้น
และท่านได้บีบขมับนักโทษใจแข็งผู้หนึ่งจนตายคามือ
เพราะไม่ยอมรับผิดและเขาผู้นั้นขณะนี้ กำลังถูกกังขังอยู่ในนรก ถ้าท่านไม่เชื่อ
เชิญไปดูได้ เชื่อแล้ว ไม่อยากดู คุณหมอกล่าวขึ้น
ด้วยผลแห่งกรรมนี้ คือกรรมที่บีบขมับนักโทษจนตายคามือ
ท่านจึงเกิดเป็นโรคปวดหัว เธอกล่าวสรุป และคุณหมอได้ถามขึ้นต่อไปว่า
กรรมนี้ให้ผลมา ๒๐ ปีกว่าแล้ว เมื่อไรจะหมด
ต่อจากนั้นไป ๗ เดือน ท่านจะหมดกรรมนี้
และโรคปวดศีรษะก็จะหายไปพร้อมกับการหมดของกรรมนี้ วิญญาณในร่างของเด็กหญิงพิมพวดี
กล่าวในที่สุด
ในเดือนที่คุณหมอนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล และสนทนากับเด็กคนนี้อยู่นั้น
เป็นเดือนกุมภาพันธ์ พอถึงเดือนสิงหาคมอันเป็นเวลาครบ ๗ เดือนพอดีตามที่เกบอกไว้
โรคปวดศีรษะของคุณหมอหายดังปลิดทิ้ง
ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยจนกระทั่งปัจจุบันนับเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง
ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว
คุณหมอผู้นี้ ขณะที่ปวดศีรษะอย่างหนัก
จนถึงกับต้องเข้านอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น
ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นายแพทย์
ในฐานะรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้จึงได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนี้เสีย
และในเดือนสิงหาคมอันเป็นเดือนกำหนดที่คุณหมอหายจากโรคกรรมนี้นั้น
คุณหมอได้สร้างพระพุทธรูปขึ้น ๑ องค์
และได้นิมนต์พระไปทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดราชาธิวาส
ท่านเจ้าคุณผู้เล่าเรื่องนี้ได้รับนิมนต์ไปทำพิธีพุทธาภิเษกอยู่ในงานนี้ด้วย
ทำพิธีอยู่จนเกือบสว่าง จึงได้รีบกลับวัด เมื่อคุณหมอหายจากโรคนี้แล้ว
ก็ได้ออกไปประกอบอาชีพส่วนตัว ตั้งคลีนิคอยู่ที่เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
และยังประกอบอาชีพอยู่จนกระทั่งปัจจุบัน
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตนเองนี้
ทำให้คุณหมอเชื่อคำสอนทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก
โดยเฉพาะเรื่องกฎของกรรมและการเกิดใหม่
เพราะการเจ็บป่วยที่คุณหมอได้ประสบมาและสิ้นสุดลงแล้วนั้น
เป็นเรื่องของกรรมบันดาลของอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ ของเหตุภายนอกอย่างอื่นไม่
ผีผ่าตัด
ผีเอลวิสกลับบ้าน
กรรมบันดาล
ขอกลับมาเกิด
พระพาหิยะ ผู้ตรัสรู้เร็ว
พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย