ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
ไทย
หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)
แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd
ที่ถือพุทธศาสนาในยูนนาน
(หน้า 2)
ในเมืองหริ่งนี้
ได้พักอยู่ในเรือนที่ปลูกใหม่ของพระยาเจ้าเมืองซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณในความเอื้อเฟื้อเป็นอันมาก
พระยาเจ้าเมืองบอกแก่ข้าพเจ้าว่า มีหมู่บ้านของชนชาวเขา 15 หมู่
ในจำนวนนี้เป็นหมู่บ้านไทย 7 หมู่ หมู่บ้านล้อ 4 หมู่ และหมู่บ้านไทยนื้อ
(Nu) 3 หมู่ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าไทยเหนือ (Nua)
ไทยนื้อนี้ลักษณะอย่างเดียวกับไทยที่อยู่ตอนเหนือของประเทศไทย
แต่ผิดกันที่ไทยพวกนี้ไม่มีหนังสือของตนเอง
และเป็นพวกที่อยู่ตอนเหนือในประเทศลื้อซึ่งต่อไปจะเรียกว่า ไทยเหนือ
พวกไทยเหนือที่อยู่ในเมืองหริ่งนี้ เดิมมาจากเมืองบ่อ (Mung Baw)
ซึ่งเป็นเมืองของคนขับเกวียนที่ข้าพเจ้าจ้างมา
พระยาและเพื่อนของเขาได้บอกข้าพเจ้าว่า ที่จังหวัดสูเม้า (Szumao)
ซึ่งครั้งก่อนเป็นเมืองลาหลวง (Mong LaLong) จังหวัดปู่เออ (Pu Erh)
และเมืองแมน (Mong Men)
นั้นมีชนชาติไทยอยู่แทนคนจีนที่อยู่เดี๋ยวนี้เกือบทั้งหมด
บางตำบลที่อยู่เหนือขึ้นไปยังมีชนชาติไทยผสม คือคนจีนมาได้หญิงไทยเป็นภรรยา
ลูกที่เกิดมากลายเป็นจีนไปด้วย เหตุชนชาติไทยในจีนนับตั้งล้านๆ
คนจึงกลายเป็นจีนไปเสีย
แต่ในจังหวัดนี้เวลานั้นจีนที่มากลืนคนไทยให้กลายเป็นจีนไปนั้น
ดูเหมือนไม่ใคร่มากเท่ากับคนไทยที่อพยพไป
แม้การสงครามกลางเมืองจีนจะทำให้ทหารจีนที่ยังไม่แต่งงานนับตั้งพันๆ
ต้องหยุดผสมกับเลือดไทยก็ดี แต่หาทำให้จำนวนชนชาติไทยลดน้อยลงไม่
กลับจะทวีขึ้นเสียอีก
วันรุ่งขึ้น
เมื่อพักเล็กน้อยแล้วก็ได้แวะไปยังเมืองราน (Mong Ran)
ซึ่งเป็นตำบลที่สุดของไทยลื้อในทางนี้ และเป็ยตำบลเล็กแห่งหนึ่งในเมืองลา
ตำบลเมืองรานนี้เป็นทุ่งราบ มีหมู่บ้านลื้อ 3 หมู่
และมีหมู่บ้านชาวเขาล้อมอยู่โดยรอบทุกด้าน
เมื่อออกจากหมู่บ้านลื้อนั้นแล้ว
ก็ออกเดินทางไปยังเมืองลาหลวง ซึ่งจีนเรียกว่าบัดนี้ว่าเสเม้า (SzeMao)
เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บนที่ดอนสูงกว่าระดับน้ำทะเล 4700 ฟุต
จังหวัดนี้ชนชาติจีนได้มาตั้งถิ่นฐานถือเอาเป็นที่เกิดของตนเสียนานแล้ว
และตามทุ่งราบที่อยู่รอบจังหวัดนี้มีหมู่บ้านชนชาติไทยเหลืออยู่ 3
หมู่บ้านเท่านั้น ชนชาติไทยชอบอยู่ในที่ราบซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 4000
ฟุต ทั้งนั้น และมักจะอยู่กันเป็นหมู่ไม่ใคร่แตกพวกออกไป
นายพันตรี ดาวีส
และผู้เขียนเรื่องชนชาติไทยที่เป็นชาวอังกฤษและฝรั่งเศส
ได้ชี้แจงทางเดินของสินค้าในจังหวัดต่างๆ ของมณฑลยูนนานไว้
ซึ่งให้ความรู้ในการเดินทางแก่ข้าพเจ้ามาก นอกจากนี้ข้าพเจ้าต้องขอบคุณ
นายดังจู (D' AnJou) เจ้าพนักงานด่านภาษีชาวฝรั่งเศส กับนายบาโตลินิ
(Bartolini)
ชาวอิตาลีที่ได้มีความเอื้อเฟื้อรับรองข้าพเจ้าเป็นอย่างดีเป็นเวลาเกือบสองเดือน
ข้าพเจ้าเพิ่งได้ยินภาษาอังกฤษอันเป็นภาษาของตนเอง
ท่านสุภาพบุรุษทั้งสองนี้พูดภาษาอังกฤษดีพอใช้
ครั้งนี้เป็นโอกาสของข้าพเจ้าที่จะส่งข่าวถึงครอบครัวข้าพเจ้าโดยทางโทรเลข
ตั้งแต่ออกจากจังหวัดเชียงตุงมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือน
ตามที่นัดกันไว้นั้นว่า แหม่มดอดด์จะอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรีในประเทศไทย
และส่งข่าวไปถึงลูกสาวข้าพเจ้า และถึลเรเวอเรนด์ เอกิน กับครอบครัวของเขา
จังหวัดเสเม้านี้ก็อย่างเดียวกับจังหวัดอื่นๆ ของจีน
มีที่ทำการโทรเลขซึ่งเจ้าพนักงานเป็นจีนและอ่านภาษาอังกฤษได้บ้าง
เสียค่าโทรเลขคำละเกือบ 1 เหรียญฝรั่งเศส เนื้อความในโทรเลขมีคำเดียวว่า
สบายดี ภายหลังข้าพเจ้าทราบว้าแหม่มดอดด์ไม่ได้อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี
แต่โทรเลขนั้นได้ส่งไปยังเพื่อนของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ที่นั่น
แล้วส่งไปยังแหม่มดอดด์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดลำปาง
นายดังจูได้กรุณาแนะนำข้าพเจ้าถึงการที่ข้าพเจ้าจะเดินทางต่อไป
เขาว่าทางที่สะดวกและดีที่สุดนั้น
คือเมื่อออกจากจังหวัดเสเม้าไปถึงจังหวัดปูเออฟู (Pu Ert Fu)
แล้วจากที่นั่นก็แยกออกจากทางหลวงเข้าทางลัดไปยังเมืองบ่อ
แล้วไปยังจังหวัดเม่งสู (Mengtzu)
แล้วขึ้นรถไฟจากที่นั่นไปยังจังหวัดยูนนานฟู
อันเป็นเมืองสำคัญตั้งที่ว่าการมณฑลยูนนาน
แล้วขึ้นเกวียนไปยังท่าเรือที่แม่น้ำสิเกียง
หรือแม่น้ำตะวันตกที่จังหวัดปานแส (Pai Se)
แล้วลงเรือสำเภาไปอีกสองสามวันก็ถึงจังหวัดนานนิงฟู (Nanning Fu)
ในมณฑลกวางซี แล้วจึงลงเรือกลไฟต่อไปยังจังหวัดแคนตอน
ซึ่งเป็นเมืองสำคัญตั้งที่ว่าการมณฑลกวางตุ้ง
ระยะทางที่เขากะให้ข้าพเจ้านี้ ในส่วนสำคัญนั้นถูกต้องโดยมาก
เว้นแต่รายละเอียดนั้นต่างจากที่กะนี้ไป
ข้าพเจ้าไม่มีล่าม
นอกจากคนไทยเหนือชาวเมืองลื้อ และเป็นหัวหน้านำต่าง(Ho Koat)
ที่ข้าพเจ้าจ้างมา นอกจากนี้มีตำรวจจีนตามมาส่งด้วย
พวกเราเริ่มออกเดินทางเวลาเช้าวันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2453
ไปยังจังหวัดปูเออฟู
ต่อไปนี้เราเดินทางผ่านเขตที่ไม่มีหมู่บ้านไทยเลย
การที่กะไว้แต่เดิมว่าจะไปทำกิจการแผ่ศาสนาเฉพาะแต่จังหวัดที่มีชนชาติไทยเหนือให้เสร็จภายใน
1 เดือน แต่โดยเหตุที่ต้องรับหนังสือเดินทางบ้างและเหตุอื่นๆ
ที่ทำให้ออกเดินทางช้าไปบ้าง บัดนี้ปัญหาต่างๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เราไม่สามารถจะเดินทางผ่านดินแดนทางฟากตะวันตกของแม่น้ำโขงตอนที่อยู่ในประเทศจีน
แต่เพราะมีเหตุทำให้เห็นว่าการไปเมืองบ่อนั้นเดินทางดินแดนทางฟากตะวันออกของแม่น้ำโขงสะดวกกว่า
นอกจากนี้ยังมีบ้านที่คุ้นเคยกันตามทางที่พอจะอาศัยได้อย่างสบาย
เมืองบ่อเป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดใน 4 แคว้น
ซึ่งเป็นไทยเหนือด้วยกัน ตั้งอยู่ทางดินแดนฟากตะวันออกของแม่น้ำโขง
เป็นโชคดีที่พวกเราได้เดินทางโดยสวัสดิภาพจากจังหวัดปูเออฟู
ต่อไปนั้นจะต้องเดินทางลัดซึ่งเป็นทางเกวียนเป็นเวลา 9 วันไม่หยุดเลย
ถ้ารวมทั้งหยุดพักที่เมืองบ่อด้วยแล้วจะเป็นเวลา 13 วัน
ได้พบหมู่บ้านชนชาติไทยเหนือตั้งกระจัดกระจายทั่วไปก่อนถึงทุ่งราบของเมืองบ่อกว่าสองวัน
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อว่าเมืองเมืองลาย (Mong Mong Lai)
มีวัดพุทธศาสนาวัดหนึ่ง เท่าที่ข้าพเจ้ารู้แน่นั้น
หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกมากที่สุดในแคว้นไทยเหนือ
คือตั้งอยู่เยื้อง 101 องศาแวงตะวันตกเล็กน้อย
และใต้องศาของตรอปิคออฟคันเสร์เล็กน้อย
อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทุ่งราบแห่งเมืองบ่อระยะทาง 2 วัน
ถัดจากหมู่บ้านนี้ไปทางทิศตะวันออก
มีอีกหลายหมู่บ้านซึ่งพูดภาษาไทยเข้าใจกัน แต่ไม่รู้หนังสือ
ในหมู่บ้านหนึ่งซึ่งมีชื่อออกเสียงเป็นไทยว่า มานกู(Man Ku)
พวกเราได้สนทนากับชนในหมู่บ้านนั้นและเปิดหีบเพลงเสียงให้ฟัง
การเดินทางไปเมืองบ่อนั้นไม่ได้หยุดพักอาศัยเลยนอกจากที่ตำบลเมืองลาย
พวกเราได้มาถึงเมืองบ่อก่อนเที่ยงวันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2453
ภูมิประเทศที่ได้เดินมาจากทางตะวันออกเฉียงใต้จนถึงที่นี่
เป็นทางลาดยาวยืดอยู่บนลุ่มแม่น้ำ ทั้งภูมิประเทศก็งดงามและน่าดู
และทางเดินก็สะดวก ในหนังสือของนายพันตรีดาวีส กล่าวว่า ทุ่งนี้ยาว 12 ไมล์
กว้าง 3 ไมล์ บ่อ แปลว่าหลุมใหญ่ พื้นเมือง เรียก วอ (Waw)
การที่เรียกเช่นนี้เพราะมีบ่อเกลือมาก
ในดินแดนลุ่มแม่น้ำเกลือนี้เป็นสินค้าส่งไปขายตามตำบและจังหวัดที่อยู่โดยรอบ
เมืองบ่อนี้ผิดกับเมืองลาหลวงซึ่งกลายเป็นเมืองจีนไปแล้ว
แต่เมืองบ่อมีชนชาติไทยเป็นส่วนมาก มีคนจีนน้อยที่สุด
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความสงสัยว่า
เหตุใดชนชาติจีนจึงไม่พากันมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแคว้นนี้ให้มาก
หรือบางทีจะเป็นเพราะในท้องที่นี้สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3000 ฟุต
และประกอบด้วยความไข้และอยู่ไม่เป็นสุข
แม้ในตำบลที่มีชนชาติจีนอยู่นั้นก็เป็นคนจีนที่มาอยู่เก่าแก่ในท้องที่นี้
ข้าพเจ้าทราบว่ามีวัดไทยอยู่หลายวัด
บางวัดก็สร้างเป็นที่ระลึกของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ มีวัดรวมด้วยกัน 32 วัด
แม้ในตำบลนี้จะมีคนน้อยโดยเหตุที่อพยพไปอยู่เสียที่เชียงตุงมาก
ก็ยังไม่แสดงให้เห็นว่ามีขนบธรรมเนียมใกล้ไปข้างจีนนัก เมืองกา(Ka)
และเมืองปั้น(Pan) ของแม่น้ำโขงนั้น เป็นท้องที่ดอนสูงกว่าระดับน้ำทะเล
4000 ฟุต ดังนั้นเราจึงมาอยู่ในระหว่างชนชาติไทย
ซึ่งต่อไปข้างหน้าก็คงเป็นไทยอยู่ตามเดิม
การเดินทางมาจนกระทั่งมาพักในที่นี้
ข้าพเจ้าต้องขอขอบใจอย่างล้นเหลือที่ได้รับความสุขที่เข้ามาอาศัยพักในวัดไม่มีความเดือดร้อนอย่างใด
เจ้าวัดเรียกกันว่า อาจารย์ ไม่ยอมให้เราพักในโบสถ์
แต่ยอมให้พักนอนที่ศาลาของวัดซึ่งคับแคบไม่ใคราพอกัน เราก็หาปฎิเสธไม่
ก่อนที่จะเดินทางออกจากตำบลนี้
ข้าพเจ้าได้จดถ้อยคำของชาวตำบลนี้ได้กว่าสองร้อยคำ
เลือกเอาแต่คำที่เป็นแบบที่รัฐบาลอังกฤษได้เทียบเคียงภาษาและเสียงต่างๆ ไว้
และเลือกเอาคำสามัญที่ใช้กันโดยมาก ยิ่งกว่าที่จะเอาคำใช้ในศาสนา
ถ้อยคำเหล่านี้จะต่างกันประมาณหนึ่งในสิบสี่ภาษาที่พวกไทยที่อยู่ถัดไปทางใต้พูดกัน
ซึ่งข้าพเจ้าคุ้นเคยมาแล้ว แต่ถ้อยคำที่ได้ใช้ในศาสนามีคล้ายๆ
กับที่ใช้ในศาสนาแห่งอื่นๆ ในประเทศนี้ เพราะมีคนบอกข้าพเจ้าว่า
พุทธศาสนาในตำบลนี้มาจากแคว้นเชียงตุงเมื่อประมาณ 270 หรือ 280 ปีมาแล้ว
ตามตำนานของแคว้นเชียงตุงที่ข้าพเจ้ามีนั้นว่า
พุทธศาสนาในเชียงตุงได้มาจากเชียงใหม่เมื่อประมาณ 660 ปีมาแล้ว หรือราว
พ.ศ. 1796 หนังสือทางศาสนาคล้ายคลึงกับของแคว้นไทย แคว้นลาวของฝรั่งเศส
แคว้นชานของอังกฤษ และแคว้นไทยจีน
พฤหัสบดี ที่ 14 เมษายน
ในวันนี้มีผู้มาบอกเล่าข้าพเจ้าไม่ต่ำกว่า 12
คนว่ามีวัดพุทธศาสนาตามแบบญวนและหนังสือญวนแพร่หลายทั่วไป
ตั้งแต่ตำบลนี้ลงไปจนถึงดินแดนทางตะวันออกของแม่น้ำสาลวีนนั้น
พุทธศาสนาเป็นแบบอย่างพม่า และทั้งชนก็พูดภาษาพม่าและภาษาเงี้ยวทั่วไป
ผู้บอกข้าพเจ้านั้นคือท่านอาจารย์ ยังได้กล่าวว่า
แม่น้ำสาลวีนเป็นเส้นแบ่งระหว่างพุทธศาสนาทั้งสองแบบ คือแบบพม่าและแบบญวน
นอกจากนี้ยังยอมรับกัยทั่วไปว่า
เสียงภาษาและคำพูดของชนที่อยู่ในดินแดนระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำสาลวีนคล้ายกับของญวน
แม้ในถิ่นนั้นคำพูดกันตามธรรมดาในสิบสี่คำจะต่างกันเพียงคำเดียวเท่านั้น
รวมทั้งคำพูดที่ใช้ในศาสนาด้วย ที่เขาเชื่อก็มีเหตุผลดังนี้ คือ
ในถิ่นนี้ไม่ใคร่มีชนชาติจีน
และความเคยชินที่เคยได้ยินภาษาจีนและการเรียนภาษาจีนก็ไม่ใคร่มี
เรื่องก็สมจริงดังความสังเกตของข้าพเจ้า
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโชคดีของชนชาติไทยเหนือที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่นับแต่เชียงตุงตลอดไปจนถึงดินแดนฟากตะวันออกของแม่น้ำโขง
ทำให้กิจการทางศาสนาที่เราได้กระทำกันไปในระหว่างชนชาติไทยเหนือนี้สะดวกมากเพราะพูดภาษารู้กันได้ตลอด
และหวังว่าการทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ชนชาติไทยเหนือที่อยู่ทางดินแดนลุ่มแม่น้ำสาลวีนก็คงสะดวกเช่นเดียวกัน
วันที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2453
เป็นวันขึ้นปีใหม่ในจุลศักราช 1272
ข้าพเจ้าได้เห็นชนในถิ่นนั้นขนทรายมากองไว้
แล้วเอาน้ำพรมเพื่อจะได้ทำรูปให้เป็นจอมได้สะดวกแต่วันวานนี้แล้ว
เวลากลางคืนมีฝนตกลง ถึงวันนั้นพวกเหล่านี้จึงพากันก่อเจดีย์ทราย
ที่เขาก่ออย่างใหญ่ๆ นั้น 5 องค์ และทำกำแพงล้อมมีประตูด้วย
ถึงแม้การก่อเจดีย์ทรายจะเหมือนเด็กเล่นก็ดี
แต่เขาได้ตั้งใจทำและกระทำความเคารพกราบไหว้บูชา เจดีย์ทราย 5
องค์นี้ประดับด้วยธงและดอกไม้สดงดงาม
นอกจากนี้ฝูงชนเหล่านี้ยังพากันตีฆ้องกลองประโคมและสวดสังเวยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
ทั้งได้เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณและพระสังฆคุณ
แล้วมีการสมโภชเลี้ยงดูกันเอิกเกริก
ท่านอาจารย์ผู้เป็นเจ้าวัดซึ่งในเวลานั้นคุ้นเคยกับข้าพเจ้าก็เอื้อเฟื้อข้าพเจ้ามาก
ได้ชวนข้าพเจ้าให้มีส่วนในการเลี้ยงนี้ด้วย
ในวันนั้นข้าพเจ้าสังเกตเห้นว่า
พระลูกวัดและท่านอาจารย์ได้สวดมนต์ และสวดเป็นไทยมากกว่าบาลีตั้งครึ่ง
ในขณะที่คนมาประชุมกันในงานนี้ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแจกหนังสือให้
แต่จำไม่ได้ว่าแจกไปเท่าใด และเปิดหีบเสียงให้ฟังด้วย
ความเชื่อถือในศาสนานั้น เมื่อเปรียบกับจีนแล้ว
ชนชาติไทยเหนือดูเคร่งครัดและเลื่อมใสในศาสนามากกว่า
ข้าพเจ้าได้เอาหีบเสียงไปที่วังของเจ้าฟ้าจูม (Fa Long Chum)
ซึ่งเขาเรียกว่าสอบวา ณ ที่นั้น แต่ท่านไม่อยู่ไปธุระเสียที่เมืองกึงม้า
(Mong Kung Ma) ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญที่สุดของชนชาติไทยเหนือ
ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำสาลวีน
(ขอให้สังเกตว่าแคว้นไทยเหนือมีท้องที่เชื่อมต่อถึงกัน)
แต่ภรรยาของท่านกับน้องสะใภ้ได้เชิญให้ข้าพเจ้าพักและขอให้เปิดหีบเสียงให้ฟัง
สังเกตดูเป็นที่พอใจมาก น้องสะใภ้ของท่านนั้นเป็นนางในสำนักเจ้าเมืองบ่อ
ซึ่งรู้จักข้าพเจ้าเมื่อไปเชียงตุง
พูดโดยทั่วไปแล้วชนชาติไทยไม่ใคร่จะยอมละทิ้งศาสนาขนบธรรมเนียมเชื่อถือและแบบแต่งกายของตนได้ง่ายๆ
เลย
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน
พ.ศ. 2453 เมื่อคืนนี้ ข้าพเจ้าเป็นไข้ แต่วันนี้ค่อยทุเลาแล้ว
มีข้าราชการจีนมาหาข้าพเจ้าหลายคน ข้าพเจ้าเปิดหีบเสียงให้ฟัง
การสนทนากับขุนนางจีนเรื่องศาสนาก็เป็นผลดีอยู่บ้าง
ต่อไปนั้นข้าพเจ้าได้เปิดหีบเสียงให้คนในแถบบ่อเกลือซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของทุ่งราบนั้นใหฟังอีก
ข้าพเจ้าเหน็ดเหนื่อยมากวันนี้
นายพันตรี ดาวีส
ได้กล่าวไว้ในหนังสือของเขาว่า
จังหวัดของชนชาติไทยเหนือที่อยู่ในดินแดนระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำสาลวีนมี
24 จังหวัด รวมทั้งที่อยู่ทางตะวันออกด้วยอีก 4 เป็น 28 จังหวัดด้วยกัน
ซึ่งมีจำนวนเท่ากับจังหวัดของชนชาติลื้อสิบสองพันนา
ในเวลานั้นที่จังหวัดของเมืองบ่อนั้น
ข้าพเจ้าจำชื่อและลักษณะได้แต่เฉพาะจังหวัดของชนชาติไทยเหนือแห่งมณฑลยูนนานทางตะวันออกของแม่น้สาลวีนเท่านั้น
แต่อีก 7 จังหวัดบางทีจะเป็นจังหวัดเล็กๆ
อยู่ทางดินแดนของแม่น้ำโขงข้าพเจ้าหาทราบไม่ นายพันตรี ดาวีส กำหนดว่า
อาณาเขตของชนชาติไทยที่ถือพุทธศาสนาตามแบบญวนนั้น
ตั้งแต่มุมตะวันออกเฉียงเหนือกับ 20
องศารุ้งเหนือตัดกันขนานกับแม่น้ำสาลวีนมาจนจดอาณาเขตทางตะวันออกที่เมืองลาย
ใกล้เส้นตัดของตรอปิคออฟคันเสร์กับ 101
องศาแวงและมีแม่น้ำสาลวีนเป็นเส้นเขตทางตะวันตก
แต่ส่วนเขตทางด้านใต้นั้นไม่มีกำหนดแน่
พวกไทยเหนือกับพวกลื้อเป็นเชื้อชาติเดียวกันกับไทยที่นับถือศาสนาพุทธแบบญวน
แต่ทั้งสองพวกนี้อยู่ใต้อำนาจจีน เพราะฉะนั้น
เส้นพรมแดนซึ่งเป็นภูมิลำเนาของชนชาติทั้งสองนี้จึงเอากำหนดแน่ไม่ได้
ที่เมืองเล็ม(Mong Lem) ชนชาติไทยเหนือได้แผ่ภูมิลำเนาออกไปทางใต้ไกล้ถึง
22 องศา 20 ลิบดารุ้งเหนือ รวมอาณาเขตของชนชาติไทยเหนือประมาณ 225000
ตารางไมล์
ซึ่งพวกไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่ในที่ราบลุ่มน้ำเกือบทั้งหมดอาณาเขตนี้
แต่พวกที่อยู่บนภูเขานั้นมักเป็นชนชาติอื่นซึ่งมีหลายพวกเหมือนกัน
ตามที่นายพล ดาวีส ประมาณนั้น ชนชาติไทยผู้มีหนังสือของตนเองอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ในมณฑลยูนนานนั้นมีกว่าครึ่งล้านคน และอยู่ในเนื้อที่รวมไม่น้อยกว่า 320000 ตารางไมล์ มีสำเนียงภาษาและศาสนาเป็นอย่างเดียวกันกับพี่น้องคนไทยในฝ่ายเหนือแห่งประเทศไทย ในตะวันออกของพม่า และในแคว้นลาวของฝรั่งเศส จิตใจของข้าพเจ้าจดจ่ออยู่กับชนชาติไทยเหล่านี้ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้ายิ่งว่า เมื่อไรหนอชนชาติไทยเหล่านี้ในทุกทิศทุกทางและทุกๆ ละแวกบ้านจะถึงซึ่ง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเขาทั้งหลายยังคงรอคอยอยู่ด้วยความกระหายเป็นอย่างยิ่ง พวกเราคริสเตียนได้เคยประสบเรื่องเช่นนี้หลายศตวรรษมาแล้ว เราได้กลับสภาพจากชาวเยิงกลายเป็นชาวเวียง แต่แล้วก็พยายามเก็บตัวสงวนตัวเองอย่างหอยอยู่ในเปลือก และทอดทิ้งให้ชนชาติไทยเหล่านี้รุ่นแล้วรุ่นเล่าตกอยู่ในความมืด วิญญาณของพระคริสโตเจ้าที่สถิตอยู่ในเรามีประมาณไหนหนอ พวกอังกฤษที่เคยเป็นชาวเยิงมาแล้ว และก็ได้รับแสงสว่างแล้วจึงกลายมาเป็นชาวเวียง ณ บัดนี้ซึ่งเป็นความเสมอภาคที่ควรภูมิใจ แต่ชนชาติไทยเหล่านี้เล่า ได้ภาคอันเสมอกันแล้วละหรือ