ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป>>
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
4
การรบพม่าครั้งที่ 1
การรบครั้งนี้เมื่อ พ.ศ.2310 ที่บางกุ้ง เมืองสมุทรสงครามในปีที่ตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีนั้นเอง ก่อนลงมือปราบปรามพิษณุโลก
ทั้งนี้เนื่องจากเจ้าเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งกำลังฝักใฝ่อยู่กับพม่าในเวลานั้นได้บอกไปยังพม่าว่า ไทยตั้งตัวเป็นอิสระขึ้นอีกมีกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ฝ่ายพระเจ้าอังวะซึ่งกำลังกังวลทำสงครามอยู่กับจีนไม่เชื่อว่าไทยจะสามารถตั้งตัวเป็นอิสระขึ้นได้อีก จึงเป็นแต่ให้แมงกี้มารหญ่า เจ้าเมืองทะวายยกกองทัพมาปราบปรามเสียให้ราบคาบ เจ้าเมืองทะวายยกพลเข้ามาทางเมืองไทรโยค ผ่านเมืองกาญจนบุรี เมืองราชบุรี จนถึงบางกุ้งที่ค่ายทหารจีนของพระเจ้ากรุงธนบุรีตั้งอยู่ พระยาทะวายยกทัพเข้าล้อมทหารจีนไว้ กรมการเมืองสมุทรสงครามได้มีใบบอกกราบทูล พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรด ฯ ให้พระมหามนตรีคุมทัพหน้า พระองค์ทรงคุมทัพหลวงยกเป็นขบวนเรือไปรบข้าศึก ทัพพระยาทะวายแตกยับเยินหนีกลับไปทางด้านเจ้าขว้าว กองทัพไทยได้เรือรบและเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก การรบครั้งนี้ทำให้ราษฎรเพิ่มความเคารพนับถือพระเจ้ากรุงธนบุรียิ่งขึ้นเป็นอันมาก ทั้งเป็นที่ยำเกรงแก่ชุมนุมอื่น ๆ ด้วย
ปราบชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก
พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงเป็นแม่ทัพยกทัพเรือพร้อมด้วยทหารไทยจีนขึ้นไปปราบปรามชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลกใน พ.ศ.2311 เจ้าพระยาพิษณุโลกให้หลวงโกษา ชื่อยัง (เข้าใจว่าเป็นเจ้าเมืองพิจิตรหรือนายทหารคนหนึ่งที่มีฝีมือเข้มแข็ง)ยกกองทัพมาตั้งรับที่ตำบลเกยชัย แขวงเมืองนครสวรรค์ ได้สู้รบกันจนพระเจ้ากรุงธนบุรีถูกกระสุนปืนข้าศึกที่พระชงฆ์ต้องยกกองทัพกลับกรุงธนบุรี เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเลิกทัพกลับกรุงแล้ว เจ้าพระยาพิษณุโลกก็มีใจกำเริบสำคัญว่าตนเก่งกล้า พระเจ้ากรุงธนบุรีสู้ไม่ได้ จึงตั้งตัวเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่อยู่มาไม่ช้าก็ถึงแก่กรรมลง พระอินทร์อากรน้องชายได้ปกครองพิษณุโลกต่อมา แต่มิได้ตั้งตัวเป็นเจ้าอย่างพี่ชาย เพราะเห็นว่าตัวไม่ใช่เชื้อกษัตริย์ เกรงจะเกินวาสนาของตัวไป พระอินทร์อากรเป็นคนอ่อนแอ ชุมนุมพิษณุโลกเสื่อมอำนาจลงทุกที ในที่สุดเจ้าพระฝางก็ตีพิษณุโลกได้และจับพระอินทร์อากรประหารชีวิตเสีย แล้วก็ให้เก็บริบรวบรวมทรัพย์สมบัติบรรดามีในเมืองพิษณุโลก กับทั้งเครื่องศัสตราวุธและกวาดต้อนราษฎรพลเมืองไปยังเมือสวางคบุรี ราษฎรเมืองพิษณุโลกและเมืองพิจิตรที่หนีได้ พากันอพยพครอบครัวลงมาพึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรีครั้งนี้เป็นอันมาก ชุมนุมพิษณุโลกก็ต้องขึ้นแก่เจ้าพระฝางต่อไป
ปราบชุมนุมเจ้าพิมาย
การตีชุมนุมพิษณุโลกไม่สำเร็จนั้น ทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีได้คติว่า การปราบปรามชุมนุมใหญ่ก่อนนั้นมิใช่วิธีที่ดี ควบปราบชุมนุมเล็ก ๆ ก่อน ในบรรดาชุมนุมต่าง ๆ นั้น ชุมนุมเจ้าพิมายมีกำลังอ่อนแอที่สุด จึงควรจะยกทัพไปปราบปรามก่อนชุมนุมก่อน พอหายประชวรเรียบร้อยแล้ว ทราบว่าเจ้าพิมายให้พระยาวรวงศ์ธิราช (ลูกคนเล็กของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์) เป็นแม่ทัพรักษาเขตแดนอยู่ที่ด่านกะโทกแห่งหนึ่ง และให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นแม่ทัพรักษาเขตแดนอยู่ด่านจอหอแห่งหนึ่ง และทราบว่าเวลานั้นชุมนุมเจ้าพระฝางกับชุมนุมพิษณุโลกกำลังรบพุ่งกัน เห็นเป็นโอกาสเหมาะ จึงโปรดฯ ให้พระมหามนตรีและพระราชวรินทร์คุมกองทัพน้อยยกไปตีด่านกะโทก ส่วนพระเจ้ากรุงธนบุรีคุมกองทัพหลวงยกไปตีด่านจอหอ แล้วยกเลยไปตีชุมนุมเจ้าพิมาย พระมหามนตรีและพระราชวรินทร์ตีด่านกะโทกแตก พระยาวรวงศาธิราชถอยทัพหนีไปเมืองเสียมราฐ ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธเจ้าพิมายเมื่อเห็นจะสู้ไม่ได้ ก็พาพรรคพวกหนีเอาตัวรอดออกจากเมืองพิมายจะไปกรุงศรีสัตนาคนหุต แต่ขุนชนะชาวเมืองนครราชสีมาจับได้นำตัวมาถวายพระเจ้ากรุงธนบุรี ฯ หมายจะชุบเลี้ยงไว้ แต่เจ้าพิมายแสดงกิริยากระด้างกระเดื่องโดยมีขัตติยมานะ ไม่ยอมอ่อนน้อม จึงตรัสสั่งให้เอาไปประหารชีวิตเสีย ทรงตั้งขุนชนะให้เป็นพระยากำแหงสงคราม ครองเมืองนครราชสีมาต่อไป แล้วเลิกทัพกลับกรุงธนบุรี ทรงตั้งให้พระราชวรินทร์เป็นพระยาอภัยรณฤทธิ์ และพระมหามนตรีเป็นพระยาอนุชิตราชา ผู้มีความชอบในสงคราม ตำแหน่งจางวางพระตำรวจทั้งสองคน
รบเขมรครั้งที่ 1
ใน พ.ศ.2312 ขณะที่พระเจ้ากรุงธนบุรีกำลังเตรียมกองทัพจะไปตีเมืองนครศรีธรรมราชอยู่นั้น ได้เกิดเรื่องขึ้นทางประเทศเขมร คือนักองตน(สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิบดี)ไปขอกองทัพญวนมาตรีเมืองพุทไธเพชร (บันทายเพชร)นครหลวงของเขมร นักองรามาธิบดี (นักองนนท์)สู้ไม่ได้จึงอพยพครอบครัวหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแผ่อำนาจไปทางนั้น จึงโปรดฯ ให้พระยาอภัยรณฤทธิ์และพระยาอนุชิตราชา คุมพล 2,000 ยกไปทางนครราชสีมาทัพหนึ่ง ให้พระยาโกษาธิบดีคุมพล 2,000 ยกไปทางเมืองปราจีนอีกทัพหนึ่ง เพื่อตีเมืองพุทไธเพชร คืนให้นักองรามาธิบดี พระยาอภัยรณชิตและพระยาอนุชิตราชาตีได้เมืองเสียมราฐได้เมื่อต้นฤดูฝน ครั้นพระยาทั้งสองได้รับท้องตราว่าจะเสด็จไปตีเมืองนครศรีธรรมราชในฤดูฝน และเมื่อถึงฤดูแล้งจะเสด็จยกกองทัพหลวงออกไปตีกรุงกัมพูชา ก็ตั้งรอคอยกองทัพหลวงอยู่ที่เมืองเสียมราฐ ครั้นถึงฤดูแล้งไม่ได้ยินข่าวกองทัพหลวงยกไปก็แคลงใจ เพราะไม่ทราบว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีติดมรสุมอยู่ที่เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาก็มีข่าวลือไปว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตในขณะที่ตีเมืองนครศรีธรรมราช พระยาทั้งสองเกรงว่าจะเกิดการจลาจลขึ้นที่กรุงธนบุรีจึงรีบยกทัพกลับ พระยาอภัยรณชิตยกพลมาพักอยู่ที่นครราชสีมา พระยาอนุชิตราชายกเลยมายังลพบุรี พอทราบว่าข่าวลือนั้นเหลวไหลก็พักพลอยู่ที่ลพบุรี ฝ่ายพระยาโกษาธิบดีได้เลิกทัพมาพักอยู่ที่เมืองปราจีนบุรีแล้วมีหนังสือมากราบทูลกล่าวโทษพระยาทั้งสอง พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบก็ทรงพระพิโรธ จึงมีรับสั่งให้พระยาอนุชิตราชายกกองทัพกลับ เมื่อพระยาอนุชิตราชาเข้าเฝ้าทรงถามว่าเหตุไรจึงเลิกทัพกลับโดยอำเภอใจ พระยาอนุชิตราชากราบทูลว่ามีข่าวลือว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีสวรรคตที่เมืองนครศรีธรรมราช เกรงว่าจะมีข้าศึกมาตีเอากรุงธนบุรี จะรักษาแผ่นดินไว้ไม่ยอมเป็นข้าคนอื่นอีกเป็นอันขาด พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ทรงฟังก็หายกริ้ว และตรัสสรรเสริญพระยาอนุชิตราชาว่า เป็นคนซื่อสัตย์แท้ แล้วก็เรียกกองทัพไทยทั้งหมดกลับกรุงธนบุรี จึงเป็นอันว่ายังตีเมืองไม่ได้ในครั้งนี้
ปราบชุมนุมเจ้านคร
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ชุมนุมเจ้าพิมายเรียบร้อยแล้ว พอรุ่งขึ้นปี พ.ศ.2312 โปรดฯ ให้เจ้าพระยาจักรี (แขก)เป็นแม่ทัพใหญ่ พร้อมด้วยพระยายมราช พระยาศรีพิพัฒน์และพระยาเพชรบุรี ยกกองทัพบก 5,000 คนไปตีชุนนุมเจ้านคร หัวเมืองตามรายทางพากันอ่อนน้อมตลอดไป ทางนครศรีธรรมราชได้สั่งกองทัพมาตั้งค่ายสกัดอยู่ได้สู้รบกันเป็นสามารถจนพระยาเพชรบุรีและพระยาศรีพิพัฒน์ตายในที่รบ ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีกับพระยมราชเกิดไม่ปรองดองกันขึ้น เจ้าพระยาจักรีได้ถอยทัพกลับมาตั้งที่เมืองไชยา พระยายมราชมีใบบอกกล่าวโทษเจ้าพระยาจักรีเข้ามาว่าย่อท้อต่อราชการ ทรงเห็นว่าจะไว้ใจให้แม่ทัพทำการตามลำพังไม่ได้ จึงยกกองทัพเรือออกปากน้ำไปทางทะเลมีจำนวนพล 10,000 เกิดพายุพัดจัดขึ้นในทะเลขณะที่กระบวนทัพเรือไปอยู่ในเขตเมืองเพชรบุรี ต้องหยุดพักซ่อมเรือเสียคราวหนึ่งแล้วจึงยกลงไปตีเมืองไชยา มีรับสั่งให้รวบรวมพลจัดเป็นกองทัพบกให้พระยายมราชเป็นกองหน้า ให้เจ้าพระยาจักรี พระยาพิชัยราชา คุมกองทัพหลวงยกไปทางหนึ่ง แล้วพระยากรุงธนบุรีคุมกองทัพเรือไปอีกทางหนึ่ง ถึงเมืองนครศรีธรรมราช พระเจ้ากรุงธนบุรีก็ยกกองทัพเข้ารบทันที เจ้านครเห็นเหลือกำลังจะต่อสู้ก็เล็ดลอดหนีออกจากเมืองไปทางทิศใต้ไปอาศัยอยู่ที่เมืองปัตตานี กองทัพธนบุรีก็เข้าล้อมเมืองนครศรีธรรมราชได้ พระเจ้ากรุงธนบุรีได้แสดงความกล้าหาญ โดยออกนำหน้าทหารเข้าเมือง ในขณะที่กำลังรบพุ่งติดพันกันอยู่ พระยาตานีศรีสุลต่านได้จับตัวเจ้านครมาถวายพระเจ้ากรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรียกโทษไม่สั่งให้ประหารชีวิต เพราะถือว่าเจ้านครไม่ได้เป็นข้าราชการของพระองค์ ต่างคนต่างคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ด้วยกัน โปรดฯ ให้ชุบเลี้ยงไว้ในกรุงธนบุรี แล้วตั้งให้เจ้าหลานเธอเจ้านราสุริยวงศ์ครองเมืองนครศรีธรรมราชต่อไป เมื่อปราบปรามชุมนุมเจ้านครเรียบร้อย พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงเสด็จกลับกรุงธนบุรี แต่ยังกลับไม่ได้ด้วยเกิดมรสุมรุนแรง ลมกล้าคลื่นใหญ่ฝนก็ตกชุกชุม ต้องยับยั้งรอคลื่นลมสงบอยู่ถึงสามเดือนเศษ
ปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง
พ.ศ.2313 พระเจ้ากรุงธนบุรีกำลังปรารภที่จะยกกองทัพไปปราบปรามชุมนุมเจ้าพระฝาง ก็พอดีทราบข่าวว่า เจ้าพระฝางให้กองทัพมาลาดตระเวน คือเมืองชัยนาทและเมืองอุทัยธานี หวังจะหาทางยกทัพมาตีกรุงธนบุรี จึงโปรด ฯ ให้เตรียมกองทัพ เผอิญประจวบเหมาะที่ชาวฮอลันดาส่งปืนใหญ่มาถวายและแขกเมืองตรังกานูส่งปืนคาบศิลามาถวาย 2,000 กระบอก เลยเหมาะกับพระราชประสงค์ โปรดฯ ตั้งให้พระยาอนุชิตราชาเป็นพระยายมราชแทนพระยายมราชคนเก่าที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว และให้เป็นแม่ทัพหน้ายกไปกับพระยาอภัยรณฤทธิ์พี่ชาย พระองค์คุมกองทัพหลวงต้องไปรบกับกองทัพหลวงโกษา (ยัง)ผู้รักษาเมืองพิษณุโลก รบอยู่คืนเดียวกับเข้าเมืองได้ หลวงโกษาหนีขึ้นไปทางเหนือ กองทัพกรุงธนบุรีก็ยกเลยขึ้นไปเมืองสวางคบุรีอันเป็นเมืองหลวงของเจ้าพระฝาง กองทัพศรีอยุธยาได้เข้ารบเมืองสวางคบุรีเป็นสามารถ เจ้าพระฝางเห็นเหลือกำลังจะต่อสู้ก็พาลูกช้างเผือกหนีออกจากเมืองตีหักไปทางด้านพระยาอภัยรณฤทธิ์ ทัพกรุงธนบุรีก็ตีได้เมืองสวางคบุรี พระยาอภัยรณฤทธิ์ส่งคนติดตามข้าศึกได้แต่ลูกช้างเผือกมา ตัวเจ้าพระยาฝางหาไม่พบ เมื่อเสร็จศึกแล้วตั้งให้พระยายมราชเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์พิษวาณุธิราช สำเร็จราชการหัวเมืองฝ่ายเหนือ ณ เมืองพิษณุโลก เมื่อมีอายุได้ 27 ปี ส่วนพระยาอภัยรณฤทธิ์นั้นแม้จะมีความผิดปล่อยให้เจ้าพระฝางหนีออกไปได้ก็ตาม ในภายหลังเมื่อตามลูกช้างเผือกกลับคืนมาได้ก็โปรดฯ ตั้งให้เป็นพระยายมราชแทนน้องชาย ขณะนั้นมีอายุได้ 34 ปี
เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีปราบปรามชุมนุมต่าง ๆ สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งฝ่ายพุทธจักรและราชอาณาจักรให้เป็นปกติ ประเทศสยามซึ่งแตกแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่าคุมกันไม่ติดตลอดเวลาสามปีก็กลับรวมกันเป็นปึกแผ่นได้ใน พ.ศ.2313 อาศัยพระปรีชาสามารถของพระเจ้ากรุงธนบุรีนั่นเอง และต่อจากนี้ไปเป็นเรื่องราวการรบกับประเทศใกล้เคียง
หน้าถัดไป >>>