ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป>>
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือพระเจ้ากรุงธนบุรี พระราชสมภพ ณ วันอาทิตย์ เดือน 5 ขึ้น 15 ค่ำ ปีขาล จุลศักราช 1096 ตรงกับวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2277 ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน (หลักฐานจีนเรียก เซิ้นเชิ้น ชิน หรือ สิน) บิดาชื่อนายไหฮอง (หลักฐานจีนเรียก เซิ่น หยง หรือ เซ่นยัง มาจากเมืองเฉาโจว แซ่แต้ เมื่อถึงเมืองไทยเปลี่ยนชื่อเป็น ยั้ง) เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มีบรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ มารดาชื่อ นกเฮี้ยง ( ต่อมาได้สถาปนาขึ้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็นกรมพระเทพามาตย์ หลักฐานจีนเรียก ลั่วยั้ง หรือนางนกยาง) ตั้งบ้านเรือนตรงหน้าบ้านเจ้าพระยาจักรีสมุหนายกครั้งนั้น
เมื่อยังทรงพระเยาว์ เจ้าพระยาจักรีได้ขอเอาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและได้ตั้งชื่อว่า สิน พออายุได้ 9 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของอาจารย์ทองดี วัดโกษาวาส เรียนหนังสือขอมไทยจนจบบริบูรณ์ แล้วเรียนคัมภีร์พระไตรปิฏก
ครั้นอายุได้ 13 ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำเข้าถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ รับราชการอยู่เวรหลวงนายศักดิ์ ระหว่างนี้ได้ศึกษาภาษาจีน ภาษาญวน ภาษาแขก จนสามารถพูดได้สามภาษาอย่างคล่องแคล่ว
ครั้นอายุได้ 21 ปี เจ้าพระยาจักรีได้จัดการอุปสมบทอยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส อุปสมบทอยู่ 3 พรรษา แล้วจึงลาสิกขากลับเข้ารับราชการตามเดิม ได้รับตำแหน่งเป็นมหาดเล็กรายงาน
ในปี พ.ศ.2301 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ( สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ) ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นข้าหลวงเชิญท้องตราขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก (ในขณะที่รับราชการอยู่เมืองตากนั้น ได้มีนายทองดี เข้าราชการเป็นทหารคู่ใจ ภายหลังพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาพิชัยดาบหัก) ต่อมาเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมลง จึงทรงโปรดให้เลื่อนขึ้นเป็น พระยาตาก
ในปี พ.ศ.2308 พม่าได้นำกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา พระยาตากได้มาช่วยทำการสู้รบกับข้าศึกด้วยความเข้มแข็ง มีความดีความชอบมาก จึงโปรดให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็น พระยาวชิรปราการ ผู้สำเร็จราชการเมืองกำแพงเพชร แต่ยังมิทันได้ออกไปครองเมือง ด้วยติดพันกับการทำศึกกับพม่าอยู่ ระหว่างที่ปฏิบัติหน้าที่ป้องกันกรุงศรีอยุธยาอยู่นั้น พระยาวชิรปราการ (สิน) ทำการสู้รบอย่างเข้มแข็งและสามารถรบชนะพม่าหลายต่อหลายครั้งก็ตาม แต่ก็มีสาเหตุที่ทำให้ท่านเกิดความท้อแท้ใจ อันเกิดจากการอ่อนแแอของผู้บัญชาการและขาดการประสานงานที่ดีระหว่างแม่ทัพนายกองต่าง ๆ เช่น
ครั้งแรก พระยาตากคุมทหารออกไปรบนอกเมือง และสามารถทำการรบมีชัย ยึดค่ายจากพม่าได้ แต่ทางผู้รักษาพระนครไม่ส่งกำลังหนุนออกไปให้ พระยาตากต้องเสียค่ายคืนให้แก่ข้าศึกไป จึงทำให้พระยาตากเสียกำลังใจในการทำงานเป็นอันมาก
ครั้งที่สองพระยาตากได้รับบัญชาให้ยกทัพเรือออกไปรบพร้อมกับพระยาเพชรบุรี ครั้นยกออกไปถึงแล้ว พระยาตากเห็นว่าพม่ามีกำลังเหนือมากกว่านัก จึงห้ามพระยาเพชรบุรีมิให้ออกรบ แต่พระยาเพชรบุรีไม่เชื่อฟัง ขืนออกรบจนได้ จึงพ่ายแพ้แก่ข้าศึกจนตัวตายในที่รบ พระยาตากจึงถูกกล่าวหาว่าทิ้งให้พระยาเพชรบุรีเป็นอันตราย
ครั้งที่สาม ก่อนเสียกรุงประมาณ 3 เดือน พม่ายกเข้าปล้นพระนครทางด้านที่พระยาตากรักษาการณ์อยู่ พระยาตากเห็นเป็นการจวนตัว จึงใช้ปืนใหญ่ยิงขัดขวาง โดยมิทันได้ขออนุญาตจากศาลาลูกขุนเสียก่อน จึงถูกฟ้องและถูกชำระโทษ แต่หากที่พระยาตากได้ปฏิบัติราชการมีความชอบมากจึงได้รับการภาคทัณฑ์ไว้
เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วยรักษาพระนครต่อไปก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อมพระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยาคงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรยลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจในการสู้รบ ดังนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และพรรคพวกรวม 500 คน ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไปทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 4 ค่ำ ปีจอ พ.ศ.2309 ตรงกับวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2309
ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน)และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้นที่ บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการได้นำพลทหารไทยจีนเข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้ยึดเครื่องศาตราวุธอีกเป็นจำนวนมากแล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่ บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิรปราการหาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้าประมาณ 30 ม้า พลเดินเท้าประมาณ 2,000 คน ยกทัพสวนทางมาจากบางคาง เขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลตีกรุงศรีอยุธยาในโอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการจึงหนีกลับมาที่บ้านพรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ พระยาวชิรปราการจึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็นปีกกาเข้าตีโอบพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการกับทหารอีก 4 คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารพม่าซึ่งนำทัพมาอย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไปถึงพลเดินเท้า พวกทหารพระยาวชิรปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะในครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการเป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป
พวกราษฎรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิติศัพท์การรบชนะของพระยาวชิรปราการ (สิน)ต่อทหารพม่าต่างก็พากันมาขอเข้าเป็นพวก และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้านายซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อม ขุนชำนาญไพรสณฑ์และนายกองช้างเมืองนครนายกมีจิตสวามิภักดิ์ ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็นกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอมอ่อนน้อม พระยาวชิรปราการก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะ แล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมืองปราจีนบุรีไปตั้งพักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก
ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไปจากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำเจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลังกันตั้งทัพบก ทัพเรือไปรอดักพระยาวชิรปราการอยู่ ณ ที่นั้น และตามทัพพระยาวชิรปราการทันกันที่ชายทุ่ง พระยาวชิรปราการเห็นว่าจะต่อสู้ข้าศึกซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกำลังน้อยกว่ายากที่จะเอาชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขมเป็นที่กำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะทางที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา แล้วพระยาวชิรปราการก็นำทหารประมาณ 100 คนเศษคอยรบพม่าที่ท้องทุ่ง ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีหนีเข้าไปในช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามาทางด้านหน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระบวน ก็ถูกพระยาวชิรปราการนำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตายอีก นับตั้งแต่นั้นมา ทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการอีกต่อไป
เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บ้านนาเกลือ เขตเมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้น จนมีรี้พลเป็นกองทัพ จากนั้นพระยาวชิรปราการก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมายจะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยาระนองชื่อบุญ เห็นกำลังพลของพระยาวชิรปราการมีจำนวนมากยากที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมาต้อนรับ พระยาวชิรปราการจึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง ขณะนั้นพวกกรมการเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกำลังเข้าปล้นค่ายในคืนวันที่สองในการหยุดพัก แต่พระยาวชิรปราการรู้ตัวก่อนจึงได้ดับไฟในค่ายเสียไม่ให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบรอจนพวกกรมการเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน พระยาวชิรปราการก็สั่งยิงปืนไปที่พวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจและถอยหนี พระยาวชิรปราการคุมทหารติดตามไปเผาค่ายและยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น
การที่พระยาวชิรปราการ (สิน)เข้าตีเมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิรปราการก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ และเรียกคำสั่งว่า พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก พวกบริวารจึงเรียกว่า พระยาตาก ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อเจ้าตากตั้งตนเป็นอิสระที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออกนับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างก็ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์ ชัยภูมิก็เหมาะที่จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นมากกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย จึงแต่งทูตให้ถือศุภอักษรไปชักชวนเจ้าพระจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก ในครั้งแรกก็ต้อนรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากที่เมืองระยอง ครั้นมือทูตกลับไปแล้ว พระยาจันทบุรีกลับไม่ไว้ใจเจ้าตากเกรงจะถูกชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ
หน้าถัดไป >>>