ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
จักรวรรดิไศเลนทร์
8
จักรวรรดิฟูนัน
เจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีนเป็นเวลานานดุจดังอาณาจักรโรมันในทวีปยุโรบ
จนกระทั่งถูกกองทัพเขมรโจมตีแตกสลายกลายเป็น เสียมหลอก๊ก หรือ
อาณาจักรสยามละโว้
ตามที่พงศาวดารจีนกล่าวไว้หรือว่าชนชาวไทยอพยพหลบหนีลี้ภัยมาจากทางตอนใต้ของเทศจีน
ลงมาสร้าง อาณาจักรสุโขทัย ขึ้นเป็นอาณาจักรแห่งแรกของชนชาติไทย สืบต่อลงมาถึง
อาณาจักรศรีอยุธยา อาณาจักรกรุงธนบุรี อาณาจักรรัตนโกสินทร์จริงหรือไม่
ความจริงความลับที่ไม่เคยมีใครรู้เรื่องประวัติศาสตร์จักรวรรดิ์ไศเลนทร์
การศึกษาค้นคว้าทางประวัติสาสตร์และโบราณคดีมาอย่างยาวนาน
ทำให้ค้นพบข้อมูลใหม่หลายประการเป็นหลักฐานบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า
แผ่นดินประเทศไทยในอดีตเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ตั้งแต่ในยุคมนุษย์วานรเรื่อยมา
จนกระทั้งถึงสมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คัมภีร์โบราณของอินเดียเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า สุวรรณภูมิ หรือ สุวรรณทวีป
ดินแดนซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชทรงโปรดให้พรเถระผู้มีชื่อเสียงเดินทางมาเผยแพร่พุทธศาสนา
เมื่อราวปลายพุทธศตวรรษที่ 2 สมัยต่อมาในปลายพุทธศตวรรษที่ 7
พงศาวดารจีนสมัยสามก๊กกล่าวถึงการติดต่อทางพระราชไมตรีกับ อาณาจักรฟูนัน
ถึงแม้ว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่า
ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินแห่งนี้เป็น ชนชาวสยาม หรือ ชนชาวไทย
เหมือนในสมัยปัจจุบันหรือไม่ แต่จากผลการขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญทั่วประเทศไทย
พบหลักฐานมากมาย บ่งบอกให้ทราบว่า
ชาวพื้นเมืองตั้งถิ่นฐานอาศัยสืบเนื่องกันมาอย่างไม่ขายสาย
จนถึงสมัยปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ศิลาจารึกวัดเขากบ จังหวัดนครสวรรค์
กล่าวถึงกษัตริย์ราชวงศ์ศรีสัชนาลัยทรงสถาปนา กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร
เป็นราชธานีขึ้นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระเจ้า หลังจากนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1
พระเจ้าอู่ทอง ทรงย้ายไปสร้าง กรุงเทพทวารวดีศรีอยุธยา
ขึ้นบนเกาะในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสักเมื่อพ.ศ.1893 สืบมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
มีหลักฐานมากมายจนอาจกล่าวได้ว่า
นับตั้งแต่สมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทย
มีอายุเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 2300 ปีแล้ว
แผ่นดินไทยในยุคดึกดำบรรพ์
ดินแดนซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศไทยเคยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ดึกดำบรรพ์เมื่อประมาณ
2 ล้านปีมาแล้ว นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญทางธรณีสัณฐานและสภาพแวดล้อม
ได้ค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของมนุษย์วานรยุคแรก ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายคน เรียกว่า
โฮมินิคส์ (Hominids) ในชั้นหินบริเวณปากถ้ำ อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
เมื่อตรวจสอบอายุทางวิทยาศาสตร์แล้ว ปรากฏว่ามีอายุประมาณ 5,000,0000 ปี
จัดอยู่ในสมัยไพลสโตซีนตอนต้น ร่วมสมัยกับมนุษย์ปักกิ่ง และมนุษย์ชวา
เมื่อเปิดเผยผลการค้นพบอย่างเป็นทางการให้ชาวโลกรู้จัก
จึงได้รับสมญานามเพื่อเป็นเกียรติ์ให้แก่ประเทศไทยว่า มนุษย์ลำปาง (Lampang Man)
หลักฐานการค้นพบซากฟอสซิลของมนุษย์วานรดังกล่าว
บ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีมนุษย์อยู่อาศัยมากว่า 2ล้านปีแล้ว
นักโบราณคดีจึงได้ร่วมกันศึกษาเส้นทางการอพยพเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของ
มนุษย์ดึกดำบรรพ์ (Homo Erevtus) ที่เดินตัวตรง สูงในราว 1.6 เมตร
หัวกะโหลกหนาหน้าผากกว้าง มีมันสมองขนาดเล็กเพียง 2 ใน 3 ของคนปัจจุบัน
ยังชีพอยู่ด้วยการล่าสัตว์ เก็บพืชหาของป่ากินเป็นอาหาร ผลิตเครื่องมือทำด้วยหิน
รู้จักรักษาตัวให้รอดพ้นจากอันตรายด้วยการอยู่รวมเป็นกลุ่มตามถ้ำและพิงผา
ติดต่อสื่อสารกันด้วยภาษาพูด ขยายเผ่าพันธุ์สืบต่อกันไป
เคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ตลอดเวลาเหมือนดังสัตว์โลกทั้งหลาย
ผู้เชี่ยวชาญโบราณคดีมีความเห็นว่า มนุษย์ดึกดำบรรพ์พวกแรก เกิดขึ้นในทวีปอาฟริกา
ต่อจากนั้นได้อพยพเคลื่อนย้ายไปอยู่อาศัยในพื้นที่ต่าง ๆ
แต่ผู้เชี่ยวชาญในทางวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ดาราศาสตร์ยุคใหม่
ซึ่งยอมรับทั้งในด้านหลักการและรูปแบบเกี่ยวกับทฤษฎีกำเนิดจักรวาล (Big Bank)
ที่ได้มีการพิสูจน์และยืนยันจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบว่า เมื่อราว10
พันล้าน ถึง 15 พันล้านปีก่อน
จักรวาลเก่าหมดสิ้นอายุไปได้เกิดการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุดเกินกว่าจะนำมากล่าวหรือเขียนด้วยภาษาให้เข้าใจได้ชัดเจน
การระเบิดในครั้งนั้น เกิดความร้อนแรงมีอุณหภูมิมหาศาลถึง 10 ยกกำลัง 32
ล้านองศาเคลวิน
เผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่างจนกลายเป็นเถ้าถ่านฝุ่นธุลีเปลี่ยนแปลงเป็นคลื่นรังสีไปหมดสิ้น
คลื่นรังสีได้แผ่ขยายตัวออกไปเต็มทั่วขอบเขตของจักรวาลซึ่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้
ต่อมาอุณหภูมิความร้อนรุนแรงเริ่มลดลง
คลื่นรังสีได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า อนุภาคปฐมภูมิ (PrimordialParticles)
หรือ คว๊อด จับคู่กันเป็นต้นตระกูล อนุภาค (Elementary Particles)
ของมวลหรือสสารทั้งหลายคือ โฟตอน โปรตอน นิวตรอน อีเล็คตรอน
และมีอีกมายมายที่ยังค้นหาไม่พบ มวลสารเหล่านี้รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มก๊าชละอองอวกาศ
เป็นเนบิวล่า เป็นกาแล็คซี่
เมื่อจักรวาลมีอุณหภูมิยิ่งลดลง มวลสารยิ่งเกาะกลุ่มรวมตัวกันแน่นมากขึ้น
จนกระทั่งหลายล้านปีต่อมา จึงเกิดเป็นดวงดาวหลายแสนล้านดวงขึ้นในกาแล็คซี่
ดาวแต่ละดวงก็คือ ดวงอาทิตย์ ซึ่งดำรงอยู่ด้วยการเผาไหม้ของธาตุไฮโดรเจน
และระเบิดอยู่ตลอดเวลา แรงระเบิดทำให้เกิดพลังงานเทอร์โมไดนามิค
ขับเคลื่อนให้หมุนเวียนไปอย่างรวดเร็วการเผาไหม้และแรงระเบิดของดวงอาทิตย์ทำให้เกิดเป็น
มวลสาร ขึ้น ครั้นมวลสารเย็นลง หดตัวเล็กลงเกิดการควบแน่นมากขึ้นตามลำดับ
มวลสารเหล่านั้นถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่านของจักรวาล
และกลับกาลายเป็นดวงดาวบริวารน้อยใหญ่วิ่งวนเวียนไปรอบดวงอาทิตย์
ซึ่งเป็นศูนย์กลางเหมือนอย่าง ระบบสุริยะของเรา
นักวิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ฟิสิกส์อธิบายให้เห็นถึงแตกดับของจักรวาลเก่า
แต่ไม่ใช่ดับสูญ เป็นการดับเพื่อเกิดใหม่ มีความเห็นว่า ระบบสุริยจักรวาลของเรา
เกิดขึ้นมาเมื่อราว 6,000 ล้านปี ส่วนโลกและดาวพระเคราะห์ทั้งหลายเกิดขึ้นเมื่อราว
4,600 ล้านปีต่อมา นี่คือบทสรุปการกำเนิดจักรวาล
และองค์ประกอบทั้งหมดอย่างสั้นที่สุดหยาบที่สุดเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่ายที่สุดว่า
เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของ สสาร กลับกลายเป็น พลังงาน
ในแบบกลับไปกลับมา การเลี่ยนแปลงไปในรูปวัฏจักรดังกล่าว
ทำให้เกิดสิ่งที่เป็นนามธรรมสำคัญ 2 ประการ คือเวลา (Time) หรือ กาล และ
อวกาศ (Space) หรือ ช่องว่าง