ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
จักรวรรดิไศเลนทร์
14
ต่อมาเมื่อเทคโนโลยีการต่อเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่
สามารถขนสินค้าและสัมภาระได้จำนวนมากสำหรับเดินทางไกล
แล่นฝ่าคลื่นลมไปได้อย่างรวดเร็ว มีความรู้และประสบการณ์ เป็นนักเดินเรือที่สามารถ
กล้าแล่นเรือฝ่าคลื่นลมตัดข้ามมหาสมุทรจากเมืองท่าในประเทศศรีลังกาหรือเมืองท่าชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย
ซึ่งอยู่ในแถบเส้นละติจูด 5 องศาเหนือ ตั้งหัวเรือมุ่งตรงไปทางทิศตะวันออก
เมื่อแล่นใบตัดข้ามทะเลอันดามัน
กระลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดหัวเรือให้เฉไประหว่างเส้นละติจุดที่ 7-8 องศาเหนือ
ครั้นเรือมาถึงคาบสมุทรภาคใต้ฝั่งตะวันตกของประเทศไทย
ก็จะมาถึงเมืองท่าเรือในจังหวัดกระบี่ หรือ จังหวัดพังงา
ส่วนตอนขากลับกัปตันมักแล่นเรือเลียบขายฝั่งขึ้นไปที่บริเวณละติจูด 10
องศาเหนือ ในเขตจังหวัดระนอง มุ่งหัวเรือตรงไปทางทิศตะวัตตก
กระแสลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจะพัดพาเรือไปยังเมืองท่าเรือชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย
หรือ เมืองท่าเรือชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศศรีลังกา
การเดินเรือในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิค
สมัยโบราณถูกจำกัดฤดูกาลของลมมรสุม คือ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ
เริ่มต้นพัดตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมไปจนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์
ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ เริ่มเต้นพัดตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนตุลาคม
ฤดูกาลของลมมรสุมดังกล่าวจึงมีระยะเวลาห่างกันในราว 3 เดือน ดังนั้น
เมื่อพวกพ่อค้าเดินเรือจากอินเดียเมื่อมาถึงเมืองท่าชายฝั่งคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย
ไม่ว่าชายฝั่งทะเลตะวันออกหรือว่าชายฝั่งทะเลตะวันตก
ก็ไม่สามารถเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางได้ จำเป็นต้องจอดเรือที่เมืองท่า
หรือสถานีการค้า เพื่อซ่อมแซมเรือ ตระเตรียมเสบียงอาหาร น้ำจืด
ขนสินค้าและสัมภาระข้ามคาบสมุทรไปยังเมืองท่าฝั่งตรงกันข้าม
บรรทุกเรือเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง
และรวบรวมสินค้าที่ซื้อขายและเปลี่ยนกับชาวพื้นเมืองขนถ่ายลงเรือ
เพื่อเดินทางกลับให้ทันฤดูกาลของลมมรสุม
ส่วนการเดินเรือในทะเลจีนใต้
เรือสินค้าที่แล่นใบตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือจากเมืองท่าทางตอนใต้ของประเทศจีน
กระแสลมจะพัดพาเรือเข้าปะทะชายฝั่งทะเลตอนกลางประเทศเวียดนามในแถบเมืองดานัง
ต่อจากนั้นเรือจะแล่นเลียบชายฝั่งลงมาทางใต้จนกระทั่งถึงปลายแหลมญวน
แล้วจึงแล่นเรือตัดข้ามอ่าวไทยมายังเมืองท่าชายฝั่งคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย
ในแถบจังหวัดชุมพรและจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ในตอนขากลับจะต้องอาศัย ฤดูกาลลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
เรือแล่นใบตัดอ่าวไทยไปยังปลายแหลมญวนแล้วเลียบชายฝั่งทะเลขึ้นไปยัง เมืองดานัง
ต่อจากนั้นจึงแล่นเรือตัดอ่าวตังเกี๋ย มุ่งหน้าไปยังเมืองกวางตุ้ง
ทางตอนใต้ของประเทศจีน
แต่ภายหลังพวกพ่อค้าค้นพบว่า เส้นทางข้ามคาบสมุทรจาก บ้านทุ่งตึก
อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ข้ามเขาสกไปยังท่าเรือบ้านหัวเขา หรือควนพุนพิน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีระยะทางในราว 150 กิโลเมตร
เป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรภาคใต้ ที่สะดวกรวดเร็วประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายกว่าเดิม
โดยขนถ่ายสินค้าและสัมภาระลงเรือเล็กล่องไปตามลำแม่น้ำจนถึงต้นน้ำ
ต่อจากนั้นเดินบกข้ามเขาสกไปลงเรือเล็กล่องไปตามลำแม่น้ำไปยังท่าเรืออีกฝั่งหนึ่ง
จึงนิยมใช้เส้นทางข้ามคาบสมุทรในบริเวณดังกล่าวเป็นเส้นทางหลัก
จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรจุดเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจการค้าระหว่างโลกตะวันออกและโลกตะวันตกให้ติดต่อถึงกันอย่างเป็นระบบ
เรียกว่า ระบบการค้าโลก (World System)
ทั้งนี้เพราะว่าเรือสินค้าไม่ว่าเดินทางมาจาก อินเดีย อาหรับ
เมื่อเดินทางมาถึงตอนกลางคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทยทางชายฝั่งทะเลอันดามัน
หากต้องการขนถ่ายสินค้าและสัมภาระเดินทางข้ามคาบสมุทรไปยังชายฝั่งทะเลตะวันออก
ต้องจอดเรือที่บ้านทุ่งดึก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
เพราะว่าเป็นท่าเรือน้ำลึกที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำตะกั่วป่า
มีภูเขากำบังคลื่นลมสามารจอดได้ดีทุกฤดูกาล
ต่อจากนั้นลำเลียงสินค้าและสัมภาระลงเรือเล็กล่องขึ้นไปตามลำแม่น้ำตะกั่วป่า
ซึ่งมีความยาวในราว 30 กิโลเมตร เมื่อไปถึงเขาพระนารายณ์ต้นแม่น้ำตะกั่วป่า
ตรงบริเวณ คลองเหล และ คลองรมณีย์ ไหลมาบรรจบกัน
ก็ล่องเรือไปตามลำคลองจนถึงบ้านท่าหัน เรือไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ต้องเดินเท้า
ส่วนสินค้าและสัมภาระใช้ช้างชนเดินตัดข้ามเขาสก ที่ช่องจอมน้ำค้าง ใช้เวลาในราว 4
ชั่วโมง ลงจากเขาสกไปยังท่าเรือที่บ้านคลองสก
ขนถ่ายสินค้าและสัมภาระลงเรือล่องไปตามคลองสกไปออกลำแม่น้ำพุมดวง
เดินทางมาถึงควนพุนพิน ซึ่งเป็นจุดที่ แม่น้ำพุมดวง กับ แม่น้ำหลวง หรือ แม่น้ำตาปี
ไหลมาบรรจบกัน แล้วไหลไปออกทะเลที่อ่าวบ้านดอน
เส้นทางข้ามคาบสมุทรจุดเชื่อมโลก ซึ่งประกอบด้วยเมืองท่าเรือ
คลังเก็บสินค้า ศูนย์กลางตลาดการค้าทางทะเลที่ต้อยู่ชายฝั่งทะเลอันดามัน
ทางฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรภาคใต้ บริเวณโบราณสถานบ้านทุ่งตึก อำเภอตะกั่วป่า
จังหวัดพังงา ซึ่งปรากฏชื่ออยู่ในคัมภีร์เก่าแก่ของอินเดียว่า เมืองท่าตักโกลา
มีร่องรอยเส้นทางเดินลัดข้ามคาบสมุทร มายัง
เมืองท่าเรือชายฝั่งทะเตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ที่แหล่งโบราณสถานควนพุนพิน
ตำบลท่าข้าม เป็นบริเวณที่แม่น้ำพุดวง
ซึ่งต้นแม่น้ำเกิดมาจากเทือกภูเขาต่อแดนกับจังหวัดพังงาไหลมาบรรจบกับ แม่น้ำหลวง
ซึ่งต้นแม่น้ำเกิดมาจากเมืองภูเขาหลวง ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช
กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่และยาวที่สุดในคาบสมุทรภาคใต้ ต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็น
แม่น้ำตาปี แม่น้ำสายนี้ไหลผ่านแหล่งโบราณสาถนสำคัญบ้านหัวเขา ตำบลเขาศรีวิชัย
อำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สันนิษฐานว่า บริเวณควนพุนพิน
ในอดีตเคยเป็นเมือท่าเรือ สถานีการค้าขนาดใหญ่
ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ คงหมายถึง
เมืองพัน-พาน หรือ เมืองผุ่น-ผุ่น ตามที่พงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์เหลียงกล่าวไว้
เมืองท่าและสถานีการค้า (Trading Staton)
ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันตกและชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้
จึงเปรียบดัง สะพานบก (Land Bridge)
เชื่อมโยงเมืองท่าทั้งสองฟากฝั่งให้ติดต่อถึงกัน
ต่อเนื่องกับเส้นทางการเดินเรือของโลกมาตั้งแต่ก่อนสมัยประวัติศาสตร์
เป็นแหล่งก่อกำเนิดอารยธรรมอินเดียในสมัยเริ่มแรกในคาบสมุทรอินโดจีน
นำมาปรับปรุงดัดแปลงผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมและความเชื่อของตนอย่างกลมกลืน
จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แล้วส่งต่อไปยังภูมิภาคอื่นและดินแดนที่ไกลออกไป
เส้นทางข้ามคาบสมุทรจุดเชื่อมโลกที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทย
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ
ต่างให้ความสนใจมาช้านานแล้ว พระบาทสมเด็จพระมุงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรับกาลที่ 6
ทรงสนพระทัย ได้เสด็จขึ้นไปถึงยอดเขาพระเหนอ อันเป็นเทวสถานที่ประดิษฐาน
เทวรูปพระนารายณ์ เพื่อทอดพระเนตรเมื่อ พ.ศ. 2452
เทวรูปพระนารายณ์สวมมาลาทรงกระบอกองค์นี้
แกะสลักขึ้นด้วยศิลาทรายประทับยืนอยู่บนฐานแท่น
แสดงกล้ามเนื้อสง่างามเหมือนอย่างมนุษย์ ศาสตราจารย์ ปีแอร์ ดูปองต์
นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชายฝรั่งเศสกล่าวว่าเป็นเทวรูปที่สร้างขึ้นจากช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญตามศิลปะแบบปัลลวะ
ในปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติฉลาง จังหวัดภูเก็ต
กรมศิลปากรได้ขุดค้นแหล่งโบราณคดีบ้านทุ่งตึก และแหล่งโบราณคดีเขาพระเหนอ
ตำบลบางนายสี อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
พบโบราณวัตถุที่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือยชั้นดีราคาแพง
ที่พวกพ่อค้านำเข้ามาจากต่างประเทศจำนวนมาก เช่น
ภาชนะดินเผาเนื้อละเอียดขึ้นรูปด้วยแป้นหมุนเร็ว ผ่านการเผาด้วยความร้อนสูง
ควบคุมอุณหภูมิได้ดี เนื้อดินจึงสุกเสมอกัน เรียกว่า หม้อคุณฑี (Kendi)
พบในชุมชนสมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ต่อเนื่องกันมาถึงสมัยประวัติศาสตร์ เช่น
ที่ถ้ำต้นเหรียง อำเภอปลายพระยา จังหวัดกระบี่ เขาสามแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
ชุมชนโบราณวัดเวียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ขุมขนโบราณบ้านท่าเรือ
อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช แหล่งโบราณคดีบริเวณที่ราบปากแม่น้ำโขง
ในประเทศเวียดนาม เครื่องถ้วยจีนเนื้อดินขาวแบบติ้ง (Ding Ware)
เครื่องถ้วยจีนแบบฉางช่าง (Chang Sha Ware) เครื่องถ้วยจีนเคลือบเขียวแบบยั่ว (Yue
Ware) เครื่องถ้วยจีนแบบเหม่ยเซียน (Meixian
Ware)เป็นสินค้าส่งออกของจีนที่เฟื่องฟูในสมัยราชวงศ์ถัง
เหมือนกับที่พบท่าเรือโบราณตามแหล่งโบราณคดีในคาบสมุทรภาคใต้เช่น
แหล่งโบราณคดีท่าม่วง อำเภอท่าชนะ ชุมชนโบราณวัดเวียง อำเภอไชยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมชนโบราณท่าเรือ เมืองพระเวียง อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช แหล่งโบราณคดีสุไหงมาส รัฐเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย
นอกจากนั้นยังพบเครื่องถ้วยเปอร์เซีย หรือ บาสรา แวร์ (Basra
Turauoise Ware) เป็นภารชนะดินเผาเคลือบสีฟ้า หรือสีเขียวอมฟ้า
สันนิษฐานว่าพวกพ่อค้าชาวเปอร์เซียนำเข้ามาเป็นสินค้าเพื่อขายหรือแลกเปลี่ยนกับสินค้าของชาวพื้นเมือง
ภาชนะแก้วเคลือบน้ำยา เขียนด้วยสีสันเป็นลวดลายสดใสสวยงาน
สันนิษฐานว่าผลิตในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พ่อค้าชาวโรมัน
อาหรับนำเข้ามาขายเป็นสินค้า
การขุดค้นแหล่งโบราณคดีสถานควนพุนพิน บนเนินเขาเตี้ยๆ
ใกล้บริเวณใกล้แม่น้ำพุมดวงไหลมาบรรจบกับลำแม่น้ำหลวง อันแสดงให้เห็นว่า
ชุมชนโบราณควนพุนพิน
ตั้งอยู่ในทำเลทางภูมิศาสตร์เหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำ
สามารถติดต่อกับชุมชนต้นแม่น้ำพุมดวก
อันเป็นเส้นทางข้ามคาบสมุทรจากชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ ข้ามเขาสกไปยัง
ต้นแม่น้ำตะกั่วป่า เพื่อเดินทางไปยังที่ตั้งเมืองท่าบริเวณปากแม่น้ำตะกั่วป่า
และยังสามารถเดินทางไปตามลำแม่น้ำหลวงไปยังแหล่งโบราณคดีสำคัญที่อำเภอเวียงสระด้วย
พบฐานอาคารก่อด้วยอิฐ รูปพระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์ 2 องค์
พระพิมพ์ทำด้วยดินดิบสีแดงจำนวนมาก สถูปดินเผา ภาชนะดินเผา เครื่องถ้วยจีน
เหรียญเงินอาหรับ ลูกปัด ขวานหินขัด
จากแหล่งโบราณสถานควนพุนพิน ล่องเรือไปตามลำแม่น้ำหลวงประมาณ 5 กิโลเมตร
มีชุมชนโบราณขนาดใหญ่ เรียกว่า แหล่งโบราณสถานเขาศรีวิชัย หรือ
โบราณสถานเขาพระนารายณ์ เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำหลวง หรือ
แม่น้ำตาปี ในราว 400 เมตร เป็นภูเขาลูกเดียวโดด ๆ ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ กว้างในราว
100 เมตรยาวตลอดสันเขาในราว 650 เมตร สูงประมาณ 30 เมตร เรียกกันว่า เขาศรีวิชัย
หรือ เขาพระนารายณ์ บนยอดเขามีที่ราบกว้างประมาณ 50 เมตร
พบโบราณสถานก่อสร้างด้วยอิฐและหิน 8 แห่ง บนภูเขาแห่งนี้พบเทวรูปพระนารายณ์ หรือ
พระวิษณุสวมมาลาทรงกระบอกทั้งสิ้นจำนวน 4 องค์ บางองค์ชำรุดพระเศียรหักหายไป
องค์ที่ถือว่าสมบูรณ์ก็คือ เทวรูปพระนารายณ์ในป่าประทับยืนตรง ขนาดความสูง 170
เซนติเมตร
นักโบราณคดียกย่องว่าเป็นเทวรูปที่มีสุนทรียภาพที่ช่างผู้เชี่ยวชาญการประติมากรรมได้บรรจงแกะสลักขึ้นด้วยความประณีตให้มีรูปทรงสูงสง่างาม
โดยบรรยายรายละเอียดไว้ว่า
เค้าพระพักตร์มนเป็นรูปไข่ พระเนตรเบิกกว้าง พระโอษฐ์แย้มสรวลน้อย ๆ
อย่างอ่อนโยน พระวรกายแสดงกล้ามเนื้อตามธรรมชาติที่สง่างาม พระอังสากว้าง (ไหล่)
บั้นพระองค์คอดเล็ก (สะเอว) ทรงกีรฏิมกุฏทรงสูง (หมวก) ทรงพระภูษาโจงยาว
(ผ้าโจงกระเบน) ขมวดเป็นปมอยู่ใต้พระนาภี (ท้อง)
คาดทับด้วยปั้นเหน่งผ้าผูกเป็นโบว์อยู่ด้านหน้า คาดผ้าคาดโสณีเฉียง (สะโพก)
และผูกเป็นโบว์อยู่เหนือต้นพระเพลาขวา (ขา) พระหัตถ์ขวาล่าง (มือ) ชำรุด
พระหัตถ์ซ้ายล่างทรงคธา (ไม้เท้า) ส่วนพระหัตถ์หลังทั้ง 2 ข้างหักหายไป
การขุดค้นโบราณสถานเขาศรีวิชัย พบพระพิมพ์ดินดับ เรียกกันว่า
พระเม็ดกระดุม จารึกคาถา เยธรรมา ลูกปัดแก้ว ลูกปัดหิน ลูกปัดทองคำ
คล้ายกับพบที่บ้านควนลูกปัด บ้านแหลมโพธิ์
และแหล่งโบราณคดีสมัยทวารวดีในภาคกลางของประเทศไทย เครื่องใช้เครื่องประทับ
เครื่องถ้วยจีน
สันนิษฐานว่าแหล่งโบราณสถานเขาศรีวิชัยเป็นชุมชนโบราณที่เจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองท่าเรือ
สถานการค้า ติดต่อค้าขายกับชุมชนภายในและภายนอกตลอดจนดินแดนโนทะเล
และมีลักษณะคล้ายกับเป็นเมืองแฝดของ เมืองพันพาน ใกล้เคียงกัน
เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่า แหล่งโบราณคดีควนพุนพิน และแหล่งโบราณคดีเขาศรีวิชัย
ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลตะวันออกของคาบสมุทรภาคใต้ซึ่งเป็น
เส้นทางข้ามคาบสมุทรจุดเชื่อมโลก มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์
จนกระทั่งถึงสมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อพิจารณา แหล่งโบราณสถานควนพุนพิน กับ แหล่งโบราณสถานเขาศรีวิชัย
รวมกัน จะเห็นได้ว่าเป็นแหล่งชุมชนโบราณที่มีขนาดใหญ่มโหฬาร จนอาจกล่าวได้ว่า
เป็นมหานครที่เจริญรุ่งเรืองมากมาก่อนสมัยประวัติศาสตร์
นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวจากหลักฐานการติดต่อทางพระราชไมตรีกับราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์เหลียง
สันนิษฐานว่าดินแดนแห่งนี้คงหมายถึงเมืองพัน-พัน หรือ เมืองผุ่น-ผุ่น