ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์
ความหมายของมนุษย์
คน หรือ มนุษย์
สามารถนิยามได้ทั้งในทางชีววิทยา, ทางสังคม และทางเจตภาพ (spirituality)
ในทางชีววิทยานั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิด Homo sapiens (ภาษาละติน:
"มนุษย์ผู้รู้") ซึ่งจัดเป็นไพรเมตยืนสองขาชนิดหนึ่งในวงศ์ใหญ่ Hominoidea
ร่วมกับลิงไม่มีหางหรือวานรอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ ลิงชิมแปนซี, ลิงกอริลลา,
ลิงอุรังอุตัง และชะนี
มนุษย์มีลำตัวตั้งตรงซึ่งทำให้รยางค์คู่บนว่างลงและใช้จัดการวัตถุสิ่งของต่างๆ ได้
มนุษย์ยังมีสมองซึ่งพัฒนาอย่างมากและมีความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม,
การพูด, การใช้ภาษา และการใคร่ครวญ
ในด้านพฤติกรรม ความเป็นมนุษย์นิยามด้วยการใช้ภาษา;
การจัดโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในรูปของกลุ่ม, ชาติ, รัฐ และสถาบัน;
และการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อน
ความแตกต่างทางพฤติกรรมเหล่านี้ของมนุษย์ก่อให้เกิดวัฒนธรรมนับหมื่นนับพันวัฒนธรรม
ซึ่งยึดถือความเชื่อ, ตำนาน, พิธีกรรม, คุณค่า และปทัสฐานทางสังคมต่างๆ กันไป
ความตระหนักถึงตนเอง, ความใคร่รู้ และการใคร่ครวญของมนุษย์
ตลอดจนความโดดเด่นกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆ
ก่อให้เกิดความพยายามที่จะอธิบายธรรมชาติและพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้
ทั้งในทางวัตถุธรรมและในทางนามธรรม
คำอธิบายในทางนามธรรมนั้นจะเน้นมิติทางเจตภาพของชีวิต
และอาจรวมถึงความเชื่อในพระเป็นเจ้า, เทพเจ้า หรือสิ่งเหนือธรรมชาติอื่น ๆ
ตลอดจนแนวคิดเรื่องวิญญาณ
ความพยายามที่จะสะท้อนภาพตัวเองของมนุษย์นั้นเป็นพื้นฐานของความคิดทางด้านปรัชญา
และมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคแรกๆ
เผ่าพันธุ์มนุษย์
ปัจจุบัน มนุษย์ถูกจัดอยู่ในสปีชีส์เดียวกัน คือ Homo sapiens sapiens
นักมานุษยวิทยาแบ่งมนุษย์ออกเป็น 5 เผ่าพันธุ์ คือ
- ออสเตรลอยด์ (australoids) ศีรษะยาว จมูกแบน ผมเป็นลอน ขนตามตัวมาก
ผิวดำ ได้แก่คนพื้นเมืองของออสเตรเลีย และเกาะแทสมาเนีย
- คอเคซอยด์ (caucasoids) จมูกโด่ง ผมเป็นลอน หนวดเคราดก ผมยาว ผิวสีอ่อน
ดำรงชีวิตอยูในเขตอบอุ่น คือยุโรป เมดิเตอเรียเนียน (mediteraneans) ยุโรปเหนือ
(nordics) และพวกยุโรปกลางต่อไปยังรัสเซีย (alpines)
- มองโกลอยด์ (mongoloids) ศีรษะกว้าง จมูกแก้มเป็นโหนก ผมแข็งเหยียดตรง
จมูกไม่โด่งมาก ผิวเหลืองหรือแดง หนวดเคราและขนตามร่างกายมีน้อย mongoloids
อาศัยอยู่ตามเอเชียตะวันออก เอสกิโม (eskimo) คนไทย และอินเดียนในอเมริกา (american
indians)
- นิกรอยด์ (negroids) ศีรษะยาวจมูกกว้าง ริมฝีปากหนา ผิวดำ ผมหยิก
ไอคิวเฉลี่ยสมัยนี้ก้าวหน้าดีกว่าเผ่าพันธุ์อื่น อาศัยอยู่ในป่าเขตร้อนคองโก
(african negroes) คนป่าซูลู (zulu) เผ่าแคฟเฟอร์ (kaffir)
คนผิวดำตามมหาสมุทรแปซิฟิกของนิวกินี (oceanic negroes new guinea)
- ปิกมี่ (pygmies) เป็นคนแคระสูงไม่ถึง 145 ซม ศีรษะกว้าง จมูกกว้าง อาศัยอยู่ในป่าเขตร้อนของคองโก (congo) และชามอด (chamod)
วิวัฒนาการของอารยธรรมมนุษย์
มนุษย์มีวิถีชีวิตโดยการล่า และเก็บหาอาหาร จนกระทั่งเมื่อประมาณ
10,000 ปีที่แล้วมนุษย์เริ่มรวมกันอยู่เป็นกลุ่มเล็ก
ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่เกิดจากการพัฒนาความรู้ในการทำการเกษตร
และการเลี้ยงสัตว์เพื่อผลิตอาหารให้พอเพียงต่อการดำรงชีวิต
เมื่อปริมาณอาหารมากพอสำหรับทุกคนที่มาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม
รวมถึงการมีอาหารส่วนเกินซึ่งสามารถสำรองไว้เพื่อรอการเก็บเกี่ยวผลผลิตใน ครั้งต่อ
ๆ ไป ทำให้มนุษย์สามารถมีเวลาสำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยและตั้งถิ่นฐานแบบถาวร
และไม่จำเป็นต้องต้องมีชีวิตโดยการเร่ร่อนล่าสัตว์และเก็บหาอาหารอีกต่อไป
การเกษตรจึงเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง อารยธรรม ของมนุษย์
และเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดการร่วมมือกัน, การค้าขาย
และเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาไปสู่สังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
เมื่อประมาณ
6,000 ปีที่แล้ว
มนุษย์ได้พัฒนารัฐแห่งแรกขึ้นซึ่งทำให้เกิดอารยธรรมในดินแดนที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย,
ลุ่มแม่น้ำซาฮารา/ไนล์ และอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ
รัฐเหล่านี้มีการจัดรูปแบบการบริหารการปกครองโดยรัฐบาล
และจัดกำลังทางการทหารเพื่อการป้องกัน มีการร่วมมือกันและแข่งขันกันระหว่างรัฐต่าง
ๆ เพื่อได้ทรัพยากร ซึ่งในบางกรณีก็ถึงขั้นทำสงครามระหว่างกัน เมื่อประมาณ
2,000-3,000 ปีที่แล้ว บางรัฐเช่น เปอร์เซีย, อินเดีย, จีน, โรม, และกรีซ
เป็นรัฐแรก ๆ
ที่ประสบความสำเร็จจากการขยายดินแดนและพัฒนาตัวเองจากรัฐจนกลายเป็นอาณาจักร
ในช่วงเวลาตอนปลายของยุคกลางได้ เกิดการปฏิวัติทางความคิดและเทคโนโลยี
สังคมเมืองที่ก้าวหน้าในประเทศจีนได้เป็นปัจจัยที่ช่วยให้เกิดนวัตกรรมและ
ความรู้ใหม่ ๆ เช่นการหว่านเมล็ดพืชและการพิมพ์
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ได้สร้างยุคทองหรือยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการของอิสลามให้กับอาณาจักรมุสลิม
การกลับมาค้นพบความรู้ในยุคคลาสสิคของยุโรปและการประดิษฐ์แท่นพิมพ์นำไปสู่
การฟื้นฟูศิลปะวิทยาการในศตวรรษที่ 14 และในระยะเวลา 500
ปีต่อมาเป็นยุคแห่งการเดินทางสำรวจและสร้างอาณานิคม
จนกระทั่งดินแดนส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกา, เอเซีย,
และแอฟริกาอยู่ภายใต้การควบคุมและครอบครองโดยชาวยุโรป
และนำไปสู่การดิ้นรนเพื่ออิสรภาพ การปฏติวัติทางวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17
และการปฏิวัติอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18-19
ก่อให้เกิดนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทางการขนส่ง ครั้งใหญ่
เช่นทางรถไฟ, ถนน, และรถยนต์ ทำให้มนุษย์สามารถเดินทางได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้นมาก
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถรวมกลุ่มกันได้ง่ายขึ้น
และเป็นการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพครั้งใหญ่จากการทำการเกษตรกรรมไปสู่การทำงาน
ในโรงงานอุตสาหกรรม
ตลอดจนเกิดขึ้นของอาชีพบริการเพื่อรองรับระบบสังคมเมืองและจำนวนประชากรที่
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาทางพลังงาน เช่นไฟฟ้าและถ่านหิน
และมีการพัฒนารูปแบบการปกครองเช่น ประชาธิปไตยและสังคมนิยม
จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคม การพัฒนาทางเทคโนโลยีในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
เป็นการเริ่มต้นของยุคข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศ
มนุษย์สมัยใหม่มีชีวิตในโลกที่ทุกสถานที่สามารถรับรู้ข่าวสารความเคลื่อนไหว
ของทั่วทุกที่ในโลกไปพร้อมๆ กัน
และทุกที่เชื่อมต่อถึงกันโดยมีเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นปัจจัยหลัก
มีการประมาณไว้ว่าในปี 2008 มีมนุษย์มากกว่า 1,400
ล้านคนเชื่อมต่อถึงกันโดยผ่านอินเตอร์เนท และ 3,300
ล้านคนใช้บริการจากเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ถึงแม้ว่าการเชื่อมต่อถึงกันระหว่างมนุษย์ช่วยให้เกิดการเติบโตทางวิทยา
ศาสตร์ ศิลปะ การสนทนา และเทคโนโลยี แต่ก็เกิดการปะทะกันของวัฒนธรรม
เกิดการพัฒนาและการใช้อาวุธสำหรับการทำลายกลุ่มคนจำนวนมาก
และเกิดการเพิ่มขึ้นของมลพิษและการทำลายสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่เพียงเป็นปัญหาต่อมนุษย์เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นบนโลกด้วย
มนุษย์จากคัมภีร์ไบเบิ้ล
เชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างมาจากดิน โดยพระเจ้าในวันที่ 6
มนุษย์ไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง วัตถุประสงค์ในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้า
เพื่อพระเจ้าจะได้มีปฏิสัมพันธ์กับเรา เปรียบเสมือนพ่อที่มีลูก
ย่อมอยากรู้จักและสัมพันธ์กับลูก แต่พ่อที่เป็นมนุษย์ไม่สามารถปั้นลูกด้วยตนเองได้
แต่พ่อที่เป็นพระเจ้าสามารถทำได้ พระองค์ก็ไม่ทรงจำกัด (limit)
เช่นเดียวกันกับมนุษย์ เช่นพระองค์อยู่ในหลายที่ได้พร้อมกัน
แต่มนุษย์ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น
หรือมนุษย์สามารถรับรู้แต่สิ่งที่จับต้องได้ ตามองเห็น แต่พระเจ้าไม่จำเป็น
ในความเป็นมนุษย์บางครั้งเรายังรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นมีจริง เช่น วิญญาณ
เรารู้ว่ามนุษย์มีวิญญาณภายใน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกิดมาจากไหน และตายแล้วไปไหน
พระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า พระเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉาย คือเหมือนการส่องกระจก แต่
"เหมือน" ในที่นี้ ไม่ใช่ในรูปลักษณ์ภายนอก แต่เหมือนในการตัดสินใจ ผิดชอบชั่วดี (
นี้คำอ้างจากคัมภีร์ไบเบิลที่มนุษย์สร้างเองขึ้นมาไม่ใช้คัมภีร์ไบเบิลจริง
ที่มาจากพระเยซู )
มนุษย์เคยใกล้ชิดพระเจ้าทุกวัน แต่เนื่องจากทำบาป
จึงทำให้ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์
มนุษย์จึงต้องแยกจากพระเจ้า เพราะแม้พระเจ้าจะบริสุทธิ์ แต่พระองค์ก็ยุติธรรม
และเป็นความรักด้วย ในข้อท้ายนี้ ที่สำคัญ
ความยุติธรรมของพระเจ้าทำให้พระเจ้าต้องลงโทษมนุษย์ และต้องแยกจากมนุษย์
แต่เพราะความรักที่มีมากของพระเจ้า พระองค์จึงทรงหาทางช่วยเหลือ
โดยการส่งตัวของพระองค์เองลงมา เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดจากการถูกลงโทษ คนๆนั้นก็คือ
Jesus หรือพระเยซู ที่เกิดในค.ศ. 1 ประเทศอิสราเอล และฟื้นขึ้นมาในวันที่ 3
มนุษย์ (ในมุมมองของคริสเตียน) เป็นคนบาปโดยกำเนิดอยู่แล้ว
ไม่ใช่เราทำบาปเลยบาป แต่เพราะเราเป็นคนบาปเลยทำบาป
เราอาจดูได้จากตัวอย่างในใจที่อิจฉาริษยาของเรา ที่บางครั้งเราก็ไม่อยากให้มี
แต่เราก็ทำไม่ได้ มนุษย์อ่อนแอและจำกัด แต่พระเจ้าทรงรู้ถึงข้อนี้
จึงส่งพระเยซูลงมาตายบนไม้กางเขนเพื่อมาช่วยเรา พระเยซูคงเป็นมนุษย์ธรรมดา
หากไม่ฟื้นขึ้นมาในวันที่ 3 และในทุกวันนี้ คนทั่วโลกพยายามหาหลุมศพของพระเยซู
แต่ก็ไม่เจอ และถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูโดยการอธิษฐาน ในฐานะมนุษย์
เราก็สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ