วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>

ร้อยแก้วยุคแรกในสมัยรัตนโกสินทร์

สรณัฐ ไตลังคะ

ประวัติศาสตร์นิพนธ์: วาทกรรม ที่ “ประกอบสร้าง”
ประวัติศาสตร์เป็น “ศาสตร์” หรือ “ศิลป์”
แนวคิดของไวต์กับการศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย
พงศาวดารกับขนบวรรณศิลป์ในวรรณกรรมไทย
การควบคุมอดีต: การสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจ
เรื่องเล่าในพงศาวดาร: บันเทิงคดีร้อยแก้วยุคแรกของสมัยรัตนโกสินทร์
บรรณานุกรม

แนวคิดของไวต์กับการศึกษาประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย

เมื่อนำมาดังกล่าวแนวคิดของไวต์สองประการมาใช้ในการวิเคราะห์เรื่องเล่าเชิงประวัติศาสตร์ในสังคมไทย คือ ประการแรก การที่ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการตีความ และประการที่สอง ลักษณะการแต่งประวัติศาสตร์นิพนธ์จะเป็นอย่างไรนั้นอยู่ที่ขนบในการแต่งวรรณคดีของวัฒนธรรมนั้น ทำให้อาจได้แนวคิดที่เป็นประโยชน์

แต่เนื่องจาก “อดีต” ไม่ใช่ “ประวัติศาสตร์นิพนธ์” หรือเรื่องเล่า แต่เป็นเหตุการณ์มากมาย ในเมื่ออดีตผ่านไปแล้ว เราจึงตรวจสอบเรื่องราวต่างๆ จาก “อดีต” ไม่ได้ มีอยู่ทางเดียวที่ทำได้ก็คือ ตรวจสอบกับ“ประวัติศาสตร์นิพนธ์” หรือ “เรื่องเล่า” อื่นๆ (Jenkins, 1991: 14)

ดังนั้น ในที่นี้จะลองตรวจสอบวิธีการ “เล่าเรื่อง” ในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยในพงศาวดารอยุธยาสองเล่มคือ พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ และ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) โดยจะอภิปรายเฉพาะเหตุการณ์ในแผ่นดินสมเด็จพระยอดฟ้า ขุนวรวงศาธิราช และสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ

หนังสือ ท้าวศรีสุดาจันทร์ “แม่หยัวเมือง” ใครว่าหล่อนชั่ว?  ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ แสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างประวัติศาสตร์นิพนธ์ฉบับต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในสมัยนี้เช่น เอกสารปินโตโปรตุเกส พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ คำให้การชาวกรุงเก่า พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ความแตกต่างมีทั้งระยะเวลาที่บันทึก ความสั้นยาวและรายละเอียดที่ต่างกัน กระทั่งรายละเอียดที่สำคัญ เช่น เวลาและสถานที่ที่พระไชยราชาธิราชเสด็จสวรรคตก็ไม่เหมือนกัน

อีกจุดที่สำคัญก็คือ มุมมองในการเล่าเรื่อง มีทั้งที่เป็นการเรียบเรียงจากพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ในสมัยต่อมา เป็นบันทึกของชาวต่างประเทศ หรือเป็นบันทึกคำให้การของชาวกรุงศรีอยุธยาที่ถูกพม่าจับไปเป็นเชลย (ที่บันทึกโดยพม่าเป็นภาษาพม่าและมอญ และในที่สุดแปลกลับเป็นภาษาไทยอีกครั้ง กรณีนี้เห็นชัดเจนว่าจะต้องเกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลอย่างมาก) มุมมองต่างๆ เหล่านี้ล้วนทำให้เรื่องเล่ามีการตีความที่ต่างไปด้วยตามอุดมการณ์ของผู้เล่าและผู้บันทึก

จุดที่น่าสนใจหากวิเคราะห์ตามความเห็นของเฮย์เดน ไวต์ ก็คือ การที่เหตุการณ์ถูกร้อยเรียงเป็นเรื่องเล่านั้นมีลักษณะเหมือนวรรณคดีที่มีโครงเรื่อง ตัวละครและความขัดแย้ง สุจิตต์ วงษ์เทศกล่าวว่า “กรณีท้าวศรีสุดาจันทร์ถูกขยายให้ลึกลับซับซ้อนและโลดโผนขึ้นในสมัยหลังๆ จนเกือบเป็น ”นิยายอิงพงศาวดาร” ซึ่งจะเห็นจากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม)” 

พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) จึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์นิพนธ์มีการต่อเติม ตีความ และใช้ “จินตนาการประกอบสร้าง” ในการนำเหตุการณ์มาเรียงร้อยเป็นโครงเรื่องอย่างไร

ลองมาเริ่มดูที่ลักษณะการบันทึกในพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีรับสั่งให้แต่งขึ้นใน พ.ศ. 2223 โดยพิจารณาตอนที่กล่าวถึงเหตุการณ์การสิ้นพระชนม์ของพระยอดฟ้า ขุนชินราช (หรือพันบุตรศรีเทพ) และท้าวศรีสุดาจันทร์ที่เป็นการบันทึกอย่างสั้นๆ ดังนี้

“ศักราช 910 วอกศก (พ.ศ. 2091) วันเสาร์ขึ้น 5 ค่ำเดือน 5 เสด็จออกสนามให้ชนช้าง และช้างพระยาไฟนั้นงาหักเป็น 3 ท่อน อนึ่งอยู่ 2 วัน ช้างต้นพระฉัททันต์ไล่ร้องเป็นเสียงสังข์ อนึ่งประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ เถิงวันอาทิตย์ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 สมเด็จพระเจ้ายอดฟ้าเป็นเหตุ จึงขุนชินราชได้ราชสมบัติ 42 วัน และขุนชินราชและแม่ยั่วศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุ จึงเชิญสมเด็จพระเธียรราชาธิราช เสวยราชสมบัติ ทรงพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ”

ส่วนในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งเป็นหนังสือพระราชพงศาวดารฉบับกรุงเก่าที่รัชกาลที่ 1 ได้โปรดให้ชำระใน พ.ศ. 2338 นั้นบันทึกเหตุการณ์ในสมัยเดียวกันอย่างยืดยาว แต่ขอนำเหตุการณ์ที่บันทึกตอนต้นมาแสดง ดังนี้

“ครั้นศักราช 890 ปีชวดสัมฤทธิศก (พ.ศ. 2071) ณ วันเสาร์ เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำ สมเด็จพระยอดฟ้าเสด็จออกสนามพร้อมด้วยหมู่มุขอำมาตย์มนตรีเฝ้าพระบาทยุคลเป็นอันมาก ดำรัสสั่งให้เอาช้างบำรูงากัน บังเกิดทุจริตนิมิต งาช้างพระยาไฟนั้นหักเป็น 3 ท่อน ครั้นเพลาค่ำช้างต้นพระฉัททันต์ไล่ร้องเป็นเสียงคนร้องไห้ ประการหนึ่งประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ ครั้นอยู่มานางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เสด็จไปประพาสเล่น ณ พระที่นั่งพิมานรัถยาหอพระข้างหน้า ทอดพระเนตรเห็น พันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ ก็มีความเสน่หารักใคร่พันบุตรศรีเทพ จึงสั่งสาวใช้ให้เอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปพระราชทานพันบุตรศรีเทพๆ รับแล้วก็รู้อัชฌาสัยว่าพระนางมีความยินดีรักใคร่ พันบุตรศรีเทพจึงเอาดอกจำปาส่งให้สาวใช้เอาไปถวายแก่นางพระยาๆ ก็มีความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพเป็นอันมาก”

ข้อความในประวัติศาสตร์นิพนธ์ทั้งสองเล่มที่ยกตัวอย่างมานี้ชี้ให้เห็นวิธีการบันทึกที่มีแนวคิดต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จะเห็นได้ว่า การบันทึกในพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐเป็นการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้โยงเข้ากันเป็นเหตุเป็นผล คือ เสด็จออกสนามให้ชนช้าง / ช้างพระยาไฟนั้นงาหักเป็น 3 ท่อน / ช้างต้นพระฉัททันต์ไล่ร้องเป็นเสียงสังข์ / ประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ / สมเด็จพระเจ้ายอดฟ้าเป็นเหตุ / ขุนชินราชและแม่ยั่วศรีสุดาจันทร์เป็นเหตุ ฯลฯ

ในขณะที่ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) เปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องไปโดยการผูกเหตุการณ์เป็นโครงเรื่อง โดยขยายความเหตุการณ์ที่เป็นที่มาของการสิ้นพระชนม์ของพระยอดฟ้า ขุนชินราช และท้าวศรีสุดาจันทร์

การเปลี่ยนแนวการเขียนที่เห็นได้ชัดคือ มีการลำดับเรื่องราวเป็นเหตุเป็นผล (causality) นั่นคือ คติการบันทึกประวัติศาสตร์ในสมัยโบราณนั้นมักบันทึกเหตุการณ์ที่ผิดธรรมชาติไว้เสมอ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อเกี่ยวกับลางบอกเหตุ ในพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐแสดงเหตุการณ์ผิดธรรมชาติคือ “ช้างพระยาไฟนั้นงาหักเป็น 3 ท่อน อนึ่งอยู่ 2 วัน ช้างต้นพระฉัททันต์ไล่ร้องเป็นเสียงสังข์ (โปรดสังเกตว่าข้อความตอนนี้ไม่เหมือนกันกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ด้วย) อนึ่งประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์” แต่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นำเหตุการณ์เดียวกันนี้มาเขียนต่อเนื่องกันราวกับเพื่อบอกเหตุท้าวศรีสุดาจันทร์มีใจปฏิพัทธ์พันบุตรศรีเทพซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อนการประหารชีวิตพระยอดฟ้าราวหนึ่งปี ข้อความดังกล่าวแสดงลักษณะของประวัติศาสตร์นิพนธ์ที่นำเหตุการณ์มาเรียงร้อยเป็นโครงเรื่อง โดยใช้หลักของความเป็นเหตุผล (causality) ตามความเชื่อ คือเอาเรื่องเหตุการณ์ที่ผิดธรรมชาติมาโยงเข้ากับเหตุการณ์ที่ผู้นิพนธ์เห็นว่าเลวร้ายที่เกิดขึ้นตามมา ประวัติศาสตร์นิพนธ์แต่ละเล่มจึงมีการเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันไปแล้วแต่จุดมุ่งหมาย (ซึ่งการหาจุดมุ่งหมายของการเปลี่ยนแปลงหรือแต่งเติมนี้จะได้เป็นประเด็นที่จะอภิปรายต่อไปในภายหลัง)

นอกจากนี้ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ยังได้เพิ่มเหตุการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างท้าวศรีสุดาจันทร์และพันบุตรศรีเทพอย่างละเอียด กล่าวคือ พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ชี้ให้เห็นการแต่งประวัติศาสตร์นิพนธ์เป็นแบบวรรณคดี อย่างที่สุจิตต์ วงษ์เทศกล่าวว่าเป็น “นิยายอิงพงศาวดาร”

เหตุการณ์เรื่องท้าวศรีสุดาจันทร์นี้เห็นได้ชัดเจนตามความคิดของนอร์ทรอป พราย และเฮย์เดน ไวต์ว่า เป็นการสร้างโครงเรื่องแบบเรื่องเล่าที่มีเอกภาพอย่างยิ่ง คือ มีตอนต้น (พระไชยราชาธิราชสวรรคต พระยอดฟ้าขึ้นครองราชย์โดยมีท้าวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นพระราชมารดาว่าราชการแทน) ตอนกลาง (คือ ตอนที่ท้าวศรีสุดาจันทร์มีใจปฏิพัทธ์พันบุตรศรีเทพ พระยอดฟ้าถูกประหารชีวิต การวางแผนและปลงพระชนม์ขุนวรวงศาธิราชหรือพันบุตรศรีเทพและท้าวศรีสุดาจันทร์) ตอนจบ (คือ ฝ่ายขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ถูกข้าราชการประหารชีวิตแล้วอัญเชิญพระเทียรราชาซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระชนนีของพระไชยราชาธิราชขึ้นครองราชสมบัติ) มีความขัดแย้งที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีจุดสุดยอดของเรื่องคือ ตอนโจมตีเรือของขุนวรวงศาธิราช และการประหารชีวิตขุนวรวงศาธิราช ท้าวศรีสุดาจันทร์ และราชบุตร

น่าสังเกตว่า ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) นั้น กล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่แรกสร้างกรุงศรีอยุธยาจนถึงสมัยสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูรอย่างสั้นๆ แต่เริ่มมีรายละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เหตุการณ์รัชสมัยพระไชยราชาธิราช พระยอดฟ้า ขุนวรวงศาธิราช และพระมหาจักรพรรดิเป็นต้นไป และมีวิธีการเล่าเรื่องที่หลากหลายแบบบันเทิงคดี คือ มีการเล่าย่อ (summary คือ การเล่าเหตุการณ์ที่อาจเกิดแก่ตัวละครเป็นเวลานับปีอย่างสรุป เช่น อาจเล่าในย่อหน้าเดียว เพื่อให้เรื่องเดินเร็วขึ้น) เล่าข้าม (ellipsis คือ การตัดบางตอนออกไปเพราะไม่สำคัญ หรือตั้งใจเล่าข้ามไปเพื่อกระตุ้นความสนใจ ก่อนที่จะย้อนมาเล่า) เล่าแบบให้รายละเอียดแบบดูละคร (scene คือ การบรรยายบทสนทนาหรือการเล่าแบบให้รายละเอียดมาก)

ตัวอย่าง เช่น ตอนที่กล่าวถึงท้าวศรีสุดาจันทร์มีใจปฏิพัทธ์พันบุตรศรีเทพ มีรายละเอียดกระทั่งสิ่งของที่ให้แก่กันซึ่งอันที่จริงแล้วก็เป็นขนบของการ “จีบ” กันในสมัยโบราณนั่นเองซึ่งเราจะพบได้ในวรรณคดี ตอนนี้เป็นการเล่าแบบย่อ กล่าวคือ ระยะเวลาที่เกิดเหตุการณ์เป็นเวลานาน แต่เล่าอย่างรวบรัด

“ครั้นอยู่มานางพระยาแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์เสด็จไปประพาสเล่น ณ พระที่นั่งพิมานรัถยาหอพระข้างหน้า ทอดพระเนตรเห็นพันบุตรศรีเทพ ผู้เฝ้าหอพระ ก็มีความเสน่หารักใคร่พันบุตรศรีเทพ ศรีเทพ จึงสั่งสาวใช้ให้เอาเมี่ยงหมากห่อผ้าเช็ดหน้าไปพระราชทานพันบุตรศรีเทพๆ รับแล้วก็รู้อัชฌาสัยว่าพระนางมีความยินดีรักใคร่ พันบุตรศรีเทพจึงเอาดอกจำปาส่งให้สาวใช้เอาไปถวายแก่นางพระยาๆ ก็มีความกำหนัดในพันบุตรศรีเทพเป็นอันมาก จึงมีพระเสาวนีย์สั่งพระยาราชภักดีว่าพันบุตรศรีเทพเป็นข้าหลวงเดิม ให้เอาเป็นที่ขุนชินราช รักษาหอพระข้างใน ให้เปลี่ยนขุนชินราชออกไปเป็นพันบุตรศรีเทพรักษาหอพระข้างหน้า ครั้นพันบุตรศรีเทพเป็นขุนชินราช เข้าไปอยู่รักษาหอพระข้างในแล้ว นางพระยาก็ลอบลักสมัครสังวาสกับด้วยขุนชินราชมาช้านาน”

นอกจากนี้ยังมีตอนที่เล่าแบบดูละคร (scene) คือ การให้รายละเอียดในรูปของบทสนทนา มีการสร้างบทสนทนาใน “ฉาก” ที่ข้าราชการ 4 คนวางแผนล้มอำนาจของขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์

“ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพเชื้อพระวงศ์กับขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ บ้านอยู่ลานตากฟ้า 4 คนไว้ใจกัน เข้าไปในที่ลับแล้วปรึกษากันว่า เมื่อแผ่นดินเป็นทรยศดั่งนี้เราจะละไว้ดูไม่บังควร จำจะกุมเอาตัวขุนวรวงศาธิราชประหารชีวิตเสีย ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศจึ่งว่า ถ้าเราทำได้สำเร็จแล้วจะเห็นผู้ใดเล่าที่จะปกป้องครองประชาราษฎร์สืบไป ขุนพิเรนทรเทพจึงเห็นแต่พระเทียรราชาที่บวชอยู่นั้นจะเป็นเจ้าแผ่นดินได้ ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศจึ่งว่า ถ้าเช่นนั้นเราจะไปเฝ้าพระเทียรราชา ปรึกษาให้เธอรู้จะได้ทำด้วยกัน แล้วขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศก็พากันไปยังวัดราชประดิษฐาน เข้าไปเฝ้าพระเทียรราชาถวายนมัสการ จึ่งแจ้งความว่า ทุกวันนี้แผ่นดินเกิดทรยศ ข้าพเจ้าทั้งสี่คนคิดจะจับขุนวรวงศาธิราชฆ่าเสีย แล้วจะเชิญพระองค์ลาผนวชขึ้นครองสิริราชสมบัติ จะเห็นประการใด พระเทียรราชาก็เห็นด้วย”

สมบัติ จันทรวงศ์ในบท “ข้อสังเกตเบื้องต้นว่าด้วยคำพูดในประวัติศาสตร์อยุธยา: ศึกษาเฉพาะกรณีบทสนทนาในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา” ใน บทพิจารณ์ว่าด้วยวรรณกรรมการเมืองและประวัติศาสตร์ ศึกษาการใช้บทสนทนาว่า “การใช้บทสนทนาเป็นเครื่องมือในการเขียนประวัติศาสตร์ก็คงจะหวังผลอย่างเดียวกันได้กับการเล่าเรื่องหรือการเขียนเรื่องโดยทั่วๆ ไปที่มีบทสนทนาโต้ตอบ กล่าวคือส่วนของเรื่องที่เป็นบทสนทนาสามารถให้รายละเอียด เน้นความสำคัญของเหตุการณ์ สร้างความสำคัญของตัวบุคคลทั้งในด้านความคิดอ่าน อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ได้ดีกว่าการบอกเล่าอย่างธรรมดาๆ มากนัก”  และจากการศึกษาพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา พบว่าการจะพิจารณาว่าพระราชพงศาวดารเรื่องนี้ให้ความสำคัญแก่เรื่องอะไรก็ให้ศึกษาบทสนทนา

ในแง่บันเทิงคดี นักศึกษาวรรณกรรมรู้เป็นอย่างดีว่า บทสนทนาเป็นเครื่องมือประการหนึ่งใน “การสร้างบุคลิกลักษณะตัวละคร” (characterization) ผู้อ่านสามารถรู้จักตัวละครได้จากบทสนทนา เช่น นิสัย ชนชั้น การศึกษา เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้บทสนทนายังเป็นการสร้างความสมจริงให้แก่เหตุการณ์มากกว่าการเล่าย่อ เราจึงพบว่าการเปลี่ยนการเล่าเหตุการณ์ตอนนี้เป็นบทสนทนาเป็นการสร้างความสำคัญให้แก่เรื่อง รวมทั้งเป็นการให้รายละเอียดเกี่ยวกับนิสัยของ “ตัวละคร” ได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่างการใช้บทสนทนาเพื่อเป็นการแสดงบุคลิกของตัวละครก็คือ ใน “ฉาก” เสี่ยงเทียนที่มีรายละเอียดมากทั้งส่วนที่เป็นบทสนทนาและคำกล่าวอธิษฐาน โดยในตอนที่มีการเสนอให้เสี่ยงเทียนนั้นเราได้เห็นบุคลิกของคนที่เป็นผู้นำในการก่อการอย่างชัดเจน ตัวอย่างต่อไปนี้คือตอนที่ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศเสนอว่าในการคิดการใหญ่ควรจะอธิษฐานเสี่ยงเทียนเฉพาะพระพักตร์พระพุทธรูปนั้น ขุนพิเรนทรเทพเป็นผู้ที่ไม่เห็นด้วยและกล่าวว่า “เราคิดการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ อนึ่งก็ได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ถ้าเสี่ยงเทียนมิสมดังเจตนา จะมิเสียชัยสวัสดิมงคลไปหรือ” ครั้นต่อมาเมื่อมีการจุดเทียนสองเล่มเพื่อเสี่ยงเทียน พระพิเรนทรเทพเห็นว่าเทียนขุนวรวงศาธิราชยาวกว่า ก็ห้ามมิให้เสี่ยงเทียนต่อไป แล้วก็คายชานหมาก บังเอิญชานหมากดิบที่คายไปต้องเทียนขุนวรวงศาธิราชดับลง

ฝ่ายพระพิเรนทรเทพเห็นเทียนขุนวรวงศาธิราชยาวกว่าเทียนพระเทียรราชาก็โกรธ จึงว่า ห้ามมิให้ทำสิ ขืนทำเล่า ก็คายชานหมากดิบทิ้งไป จะได้ตั้งใจทิ้งเอาเทียนขุนวรวงศาธิราชนั้นหามิได้ เป็นศุภนิมิต เหตุพอทิ้งไปต้องเทียนขุนวรวงศาธิราชดับลง คนทั้งห้าก็เกิดโสมนัสยินดีนัก



จะเห็นได้ว่าในการเล่าเรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระพิเรนทรเทพเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดและเป็นผู้ออกความคิดในการก่อการ โดยดูจากการที่พระพิเรนทรเทพเป็นผู้ที่มี “บทพูด” เด่นที่สุด (ดูข้อความข้างต้นที่เป็นตัวเอน) ในขณะที่เมื่อกล่าวถึงคนอื่นๆ ที่ร่วมก่อการ มักจะกล่าวพร้อมกันไปทั้งสามคน คือ ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ โดยไม่แยกว่าใครในสามคนนี้เป็นคนพูดประโยคใด นอกจากนั้น ในบทพูดหลายตอนนั้นได้แสดงว่า พระพิเรนทรเทพมีความเป็นผู้นำ ความกล้าหาญ และความมุ่งมั่นที่จะก่อการโดยที่ไม่ยอมให้อะไรมาเป็นสิ่งกีดขวาง

ในส่วนของการกล่าวอธิษฐานของพระเทียรราชานั้นก็เป็นการเขียนอย่างละเอียด การให้รายละเอียดนี้ตีความได้ว่า เพื่อเป็นการแสดงความตั้งใจที่จะรักษาบ้านเมือง “ข้าพระพุทธเจ้าคิดจะได้ราชสมบัติครั้งนี้ ด้วยโลกียจิตจะใคร่เป็นใหญ่ จะได้จัดแจงราชกิจจานุกิจให้สถิตอยู่ในยุติธรรม”  การบรรยายตอนอธิษฐานอย่างละเอียดก็เพื่อเป็นการสร้างความชอบธรรมให้แก่การ “ยึดอำนาจ”

กล่าวโดยสรุป การที่พระราชพงศาวดารได้เปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องเป็นบทสนทนา และเป็นการเสนอคำพูด ยิ่งทำให้มีลักษณะของการเป็น “บันเทิงคดี” มากยิ่งขึ้น

ใน “ฉาก” ประหารชีวิตขุนวรวงศาธิราชและท้าวศรีสุดาจันทร์ถือได้ว่ามีวิธีการเล่าเรื่องได้อย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจมากเพราะมีทั้งการเล่าย่อ และการบรรยายคำพูด

ครั้นเช้าตรู่ ขุนวรวงศาธิราชกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และราชบุตรที่เกิดด้วยกันนั้นทั้งพระศรีศิลปก็ลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันมาตรงคลองสระบัว ขุนอินทรเทพก็ตามประจำมา ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ พระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก หลวงศรียศ หมื่นราชเสน่หาในราชการ ครั้นเห็นเรือพระที่นั่นขึ้นมา ก็พร้อมกันออกสกัด ขุนวรวงศาธิราชร้องไปว่า เรือใครตรงเข้ามา ขุนพิเรนทรเทพก็ร้องตอบไปว่า กูมาเอาชีวิตเองทั้งสอง ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพก็เร่งให้พายรีบกระหนาบเรือพระที่นั่งขึ้นมา แล้วช่วยกันกลุ้มรุมจับขุนวรวงศาธิราชกับแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์และบุตรที่เกิดด้วยกันนั้นฆ่าเสีย แล้วให้เอาศพไปเสียบประจานไว้ ณ วัดแร้ง”

เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระพิเรนทรเทพเป็น “ตัวละคร” ที่สำคัญที่สุด ซึ่งดูได้จากการที่มี “บทพูด” ที่สำคัญอยู่เพียงคนเดียวในพงศาวดารตอนนี้ และในทางวรรณคดี ลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็น “การเกริ่นการณ์” (foreshadow) ให้ผู้อ่านเห็นว่า บุคคลผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ต่อไป โดยต่อมาพงศาวดารจะได้บันทึกว่า หลังเหตุการณ์พระพิเรนทรเทพได้รับการปูนบำเหน็จเป็นพระมหาธรรมราชาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก และยังได้รับพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราชธิดาเป็นอัครมเหสี ถวายพระนามใหม่เป็นพระวิสุทธิกษัตรีย์

นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนไปเล่าเรื่องผ่านมุมมองของฝ่ายพม่าด้วย ลักษณะการเล่าเรื่องจึงเหมือนการเล่าเรื่องแบบผู้รู้ (the omniscient) ขอยกตัวอย่างสั้นๆ ดังนี้

ขณะเมื่อแผ่นดินอยุธยาเป็นทุรยุคปรากฏขึ้นไปถึงกรุงหงสาวดี [...] สมเด็จพระเจ้าหงสาวดีทรงพระราชดำริว่า ถ้าแผ่นดินอยุธยาเป็นดั่งนี้จริง (คือเกิดจลาจล) เห็นว่าหัวเมืองเขตขัณฑเสมาและเสนาพฤฒามาตย์ทั้งปวงจะกระด้างกระเดื่องมิปกติ ถ้ายกกองทัพรุดไปโจมตีเอา เห็นจะได้พระนครศรีอยุธยาโดยง่าย

ลักษณะการเล่าเรื่องโดยการเปลี่ยนมุมมองและเล่าแบบมีบทพูดเป็นของพม่าเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง (คือฝ่ายอยุธยาไม่มีทางรู้ว่าฝ่ายพม่าพูดว่าอย่างไร) แต่การเปลี่ยนมุมมองเป็นเรื่องปกติมากในการเล่าเรื่องแบบบันเทิงคดี

เราอาจกล่าวได้ว่า “ผู้ชำระ” พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ได้ทำหน้าที่เป็นเสมือน “ผู้เล่าเรื่อง” ในขนบของเรื่องเล่า กล่าวคือ เป็นผู้เลือกสรรข้อมูลและวิธีการนำเสนอเรื่อง ในทางทฤษฎีเรื่องเล่า (narratology) ผู้เล่าเรื่องเป็นผู้ที่ควบคุมความรับรู้ของผู้อ่านว่าควรรู้อะไร และอย่างไร ดังนั้น หากผู้เล่าเรื่องในพงศาวดารผู้นี้เป็นผู้ที่มี “อุดมการณ์” หรือ จุดมุ่งหมายในการเล่าที่แน่นอนหนึ่งๆ ย่อมสามารถควบคุมทัศนคติของผู้อ่านได้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย