ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ก่อนที่จะยอมรับหลักคิดหรือความรู้ใด ๆ เป็นสรณะ
ก่อนที่จะยอมรับหลักคิดหรือความรู้ใด ๆ เป็นสรณะ เราจึงควรตั้งแง่สงสัยไว้ก่อนคือ
- ความรู้ตกทอด ความเชื่อถือใด ๆ
แต่ครั้งโบราณกาลอันถูกสอนเป็นความรู้ถ่ายทอดกันมานั้น จะต้องถูกสงสัยไว้ก่อน
ในอินเดียสมัยนั้นมีตำหรับพระเวทเป็นความเชื่อถือของคนในวรรณะพรามณ์มาแต่ครั้งโบราณ
ทั้งปรัชญาฮินดูในสมัยต่อมาคือปรัชญาเวทานตะ
ก็มิได้เป็นอะไรมากไปกว่าเป็นการแสดงเหตุผล(ด้วยคารม)
พิสูจน์ให้เห็นจริงถึงการมีอยู่ของเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่คือพรหม
ปรัชญาของยุโรปที่พิสูจน์ถึงการมีของพระผู้เป็นเจ้าที่เรียกกันว่าสิ่งสมบูรณ์
(The Aboslute
)สมเด็จพระสมณโคดมทรงเผยแผ่ธรรมะในท่านกลางแห่งคู่แข่งขันอันทรงอำนาจคือพวกพรามณ์
ประชาชนจะรับพุทธปรัชญา
อันเป็นวิทยาศาสตร์ไว้อย่างแน่นแฟ้นไม่ได้หากไม่สละละทิ้งศรัทธาในหลักคิดแต่โบราณเสียก่อน
เพราะพุทธปรั9ญานั้นส่วนมากมีแนวขัดแย้งกับปรัชญาโบราณของพวกพรามณ์
จากสมัยโบราณถึงสมัยปัจจุบันและคนในปัจจุบันแม้เด็ก ๆ
ย่อมมีความรู้กว้างขวางกว่าคนโบราณเป็นอันมาก พวกอนุรักษ์นิยม ( Conservative )
มักชอบเชื่อของเก่าและขนบประเพณีเก่า ๆ
และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้เขาจะชิงชังความคิดใหม่
ๆ และวัฒนธรรมใหม่ ๆ เมื่อถูกพวกหัวใหม่โจมตี พวกนี้จะอ้างข้อเปรียบเทียบว่า
เก่าลายคราม
ที่แท้แล้วอนุรักษ์นิยมเป็นเพียงการอนุรักษ์ฐานะความเป็นอยู่ของตนหรือพวกของตนเอง
หลักวิทยาศาสตร์ที่คนพบเมื่อศตวรรษที่สิบแปด ย่อมใช้ได้ดีอยู่แม้ในศตวรรษที่ 20
ในปัจจุบัน แม้หลักปรัชญาของคนโบราณบางชิ้นอาจเป็นอกาลิโก คือใช้ได้ตลอดกาลสมัย
แต่การฝึกนิสสัย สงสัยไว้ก่อน
เท่านั้นจึงจะทำให้เราสามารถเสาะเลือกหลักโลกที่เป็นอกาลิโกได้
- ความรู้ในปัจจุบัน
ควรตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนในความรู้ที่ได้จากผู้อื่นแม้จะเป็นความรู้สมัยใหม่ก็ตาม
ทั้งนี้เพราะความรู้ย่อมระคนกันมาไม่ว่าจะเป็นชนิดเท็จ หรือสัจธรรม
ยากที่เราจะทราบแน่ได้ว่าความรู้ใดเป็นเท็จ และอันใดเป็นสัจจธรรม
จริงอยู่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์บางชิ้นหรือส่วนมาก อาจเป็นสัจจธรรมได้
แต่ความรู้ของคนเราส่วนมากที่สุดในขณะนี้ และเกือบจะเรียกได้ว่าเกือบทุก ๆ
อ้างอิงของคนเราในขณะนี้ มักจะระดมด้วยความเห็นแก่ตัว ความติดข้องในกิเลสตัณหา
และความเห็นแก่พวกของตัวมากอยู่ สิ่งนี้ย่อมเป็นความรู้ที่ผ่าน
การหลอกลวงตัวเอง
ในสมัยปัจจุบัน การโฆษณาชวนเชื่อมีหนาหูหนาตาขึ้น นี่เป็นเพราะการผลัดดันของประโยชน์ส่วนตัวอีกน่ะแหละ แม้จะได้มีการสอนทางศีลธรรมให้คนเรางดเว้นกล่าวความเท็จก็ตาม แต่เสรีนิยมจากลัทธิทุนนิยมก็บีบบังคับให้คนเราทำการโฆษณาเพื่อขายสินค้ากันจนได้ การโฆษณาชวนเชื่อนี้ได้ระบาดไปถึงวงการเมือง และท้ายที่สุดเทียบไปถึงการเมืองระหว่างประเทศ ปรากฏมีสำนักงานคอยแถลงข่าวที่ปรุงแต่งเป็นอย่างดีแล้ว ในขณะนี้เกือบจะเรียกว่าเรากลืนความเท็จเข้าไปทุกวี่ทุกวัน โดยได้มาจากผู้อื่น ฉะนั้นเราไม่หัดสงสัยความรู้ที่ได้จากผู้อื่นไว้ก่อน เราก็ไม่สามารถเข้าถึงสัจจธรรมได้เลย - ข่าวหรือความรู้ที่เล่าลือต่อๆ กันมา
ย่อมตกอยู่ในสภาพที่เชื่อไม่ได้เป็นที่สุด
ข่าวหรือความรู้ที่ได้จากการเล่าลือจึงมีคุณค่าน้อยมาก
แต่ก็ควรรับฟังไว้บ้างในทำนอง ไม่มีมูลฝอยหมา(ย่อม)ไม่ขี้
- แม้ผู้ที่บอกเล่าข่าวหรือความรู้แก่เราจะเป็นคนที่สมควรเชื่อได้ก็ตาม
ก็ไม่มีหลักประกันแต่อย่างใด ว่าคนนั้นจะเป็นคนมีศีลสัตย์ในภายหน้า
หากคนๆนั้นเป็น คนซื่อ แต่เสนอ ข้อเท็จจริง อันได้จากการสำคัญผิด
เราก็ต้องระวังให้มากยิ่งขึ้นเพราะเราจะตกหลุม รับเชื่อง่ายๆ โดยไม่รู้ตัว
- แม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา เราก็ไม่ควรเชื่อถือโดตลอดทุกกรณีหรือทุกเวลาไป
ทั้งนี้เพราะเหตุผล ดังกล่าวไว้ข้างบนแล้ว อีกประการหนึ่ง
ความรู้อาจเรียนทันกันหมด ฉะนั้นเราก็อาจเรียนรู้เท่าครู
การเชื่อท่านตลอดกาลจึงไม่เป็นผลดีอะไรเลย
- การเชื่อตำราอย่างงมงายก็ไม่ควรทำ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกับการเชื่อผู้อื่น มติโบราณหรือครูบาอาจารย์ นั่นเอง มีคนโดยมากมักอ้างตำรา ยิ่งเป็นตำราต่างประเทศยิ่งนิยมอ้างกันมาก ทั้งนี้เพราะมีศรัทธาว่าปราชญ์ต่างประเทศมีความรู้สูงกว่าปราชญ์ชาติเดียวกัน
สงสัยในมติหรือความรู้แม้ที่เป็นของตนเองผู้ที่เป็นนักสงสัยเกินขอบเขตต์ จะไม่มีศรัทธาในอะไรเลย เขาจะเป็นนักแย้งหรือนักวิมัตินิยม (Sceptics) อย่างสำคัญ นี่จะทำลายปัญญาที่ควรจะเกิดมีแก่เขา คนเราควรมีศรัทธาในสิ่งที่เป็นสัจจธรรม และไม่ควรเป็นชนิดขาดความเชื่อถือในทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่เป็นนักสงสัยตลอกกาลมักเป็นคนที่เข้าใครไม่ติด เป็นอัตตนิยม (Solipsism) อย่างถึงขีดสุดเพราะว่าผู้ที่ สงสัย ในผู้อื่นทุกๆคน คือผู้ที่เชื่อเฉพาะความรู้และมติ ของตนเองเท่านั้น พระพุทธองค์ทรงสอนในชาวกาลามะรู้จักสงสัย เพื่อทำให้รู้จักไตร่ตรองให้รู้ว่าอะไรเป็นเท็จและสละทิ้งไปเสีย และแสวงหาเฉพาะสัจจธรรมมาเป็นศรัทธาต่อไปเพื่อหลีกให้พ้นจากการนสุดโต่งในการสงสัย เป็นการสอนให้คนรู้จักวิพากย์วิจารณ์ตัวเอง ซึ่งแสดงว่าผู้ที่ทำดังนั้นได้-มีความหลุดพ้นทางจิตต์ใจเป็นอันมากทั้งนี้เพราะว่า
- ตัวเราเองอาจใช้การเดา
สร้างมติหรือวิชาการอะไรขึ้นมาแล้วไม่เคยได้ทดสอบดูแม้แต่ครั้งเดียวว่าเป็นจริงหรือไม่
-
การคาดคะเนหรือการเก็งความจริงก็ไม่ดีไปกว่าการเดามากนักเพราะมันเป็นการเดาที่มีหลักเกณฑ์ดีขึ้นเท่านั้น
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่ควรแก่คำว่า พิเศษ
เหตุผลทุกคู่ต้องได้มาจากการสังเกตสิ่งข้างนอก
กล่าวคือได้มาจากการสังเกตทั้งเหตุและผล ว่าเกี่ยวข้องกัน
ทั้งนี้ยกเว้นเหตุผลอันเกิดจากมนุษย์บัญญัติ เช่น 1 + 1 = 2 , 1 + 1 + 1 = 3 ,
1 + 1 + 1+ 1 + 1 = 5 ซึ่งฉะนั้น โดยเหตุผลที่ได้จากการคิดล้วน ๆ 2 + 3
จึงเท่ากับ 5 และยกเว้นสิ่งคู่ที่มนุษย์บัญญัติ ขาว ดำ หัว ท้าย
เช่นนี้เป็นต้น
มีนักปรัชญาอยู่จำพวกหนึ่ง เรียกตัวเองว่านักสมบูรณ์นิยม (Absolutists ) พวกนี้หาใช่นักคิดอื่นไกลไม่ หากเป็นนักคิดทำนองเดียวกับพวกพราหมณ์ในอินเดียนั่นเอง และปรัชญาของพวกเขาก็หาผิดกับปรัชญาเวทานตะมากนักไม่ พวกนี้ชอบใช้ เหตุผลบริสุทธิ์ พิสูจน์การมีของ สิ่งสมบูรณ์ ( The Absolute ) ซึ่งเป็นความแท้จริง อันติมะ (Ultimate reality ) ของปรัชญา พวกเชื่อว่าสิ่งสมบูรณ์เป็น ของสูง จึงรู้ว่ามีได้ด้วยเหตุผล แต่รู้ไม่ได้ทางประสาทสัมผัส นี่หาใช่อื่นไกลอะไรไม่หากไม่เป็นการ โมเม เข้าข้างมติของตน - ผลของการคาดคะเนไปจากร่องรอยของสิ่งบางสิ่งบางอย่างก็ไม่ควรเป็นที่เชื่อถือ
ทั้งนี้จนกว่าเราจะประจักษ์ผลของการคาดคะเนนั้นแล้ว
นักจริยศาสตร์นั้นก่อนอื่นต้องรักษาศีลธรรมเบื้องต้นในข้อไม่กล่าวเท็จเสียก่อน
พระพุทธองค์ซึ่งทรงเป็นปฐมาจารย์แห่งพุทธจริยธรรมย่อมกล่าวแต่สิ่งที่รู้แน่เท่านั้น
- เนื่องจากตัวเราเองและพวกของเราเอง ย่อมมีความติดข้องในศรัทธาอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ กล่าวคือคนเรามีทั้งอัตตนิยมและหลักคิดของชนชั้นเป็นรากฐานแห่งความคิดเห็นในตัวอยู่ นี่คือตัวมารที่คอยทำลายสัจจธรรมอย่างฉกรรจ์ที่สุด ฉะนั้นเราควรสงสัยแม้ในความเชื่อมั่นของเราเอง และพยายามรับเชื่อเฉพาะแต่สิ่งที่มหาชนเห็นพ้องกับเราเท่านั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงกาลามสูตรก็ด้วยทรงมีความต้องการจะให้ประชาชนเลิกเชื่อลัทธิโบราณและมติผิด ๆ ของตัวเองเสียก่อน ศิษย์แห่งกาลามสูตรย่อมเป็นผู้ตื่นอยู่โดยแท้และย่อมเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ดี ชนชั้นปกครองที่ดี ชนชั้นปกครองที่เชิดชูหลักกาลามสูตรจักย่อมเป็นนักประชาธิปไตยที่ดี เพราะกาลามสูตรสอนให้สงสัย โต้แย้ง ค้าน และถกเถียงเพื่อสัจจธรรม ผู้ใดรังเกียจกาลามสูตร ผู้นั้นจะเป็นนักประชาธิปไตยที่ดีไม่ได้เลย แลัเขาจะไม่มีวันหลุดพ้นจากศรัทธาผิด ๆ แล้วนำพุทธธรรมเข้ามาในตนได้เลยทั้งนี้เพราะว่า กาลามสูตรคือวิธีการแผ้วถางทางในจิตต์ใจของคนเราไปสู่ปรัชญาเถรวาทโดยแท้
» การเสื่อมของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย
» ปรัชญาเถรวาทให้ข้อแนะนำไว้ในกาลามสูตร
» ก่อนที่จะยอมรับหลักคิดหรือความรู้ใด ๆ เป็นสรณะ
» วิทยาอักซิโอในพุทธปรัชญาพุทธจริยศาสตร์
» พุทธปรัชญาเป็นลัทธิมัชฌิมาปฏิปทา
» ปรัชญาเถรวาทและปฏิมากรรมวิทยา
» พุทธจริยศาสตร์ (BUDDHIST ETHICS )
» พุทธจริยศาสตร์ว่าด้วย กรรม
» คำสอนว่าด้วยปรุงจิตต์แต่งกรรม
» ภารกิจของพระพุทธศาสนาต่อประเทศไทยและพุทธศิลปะในประเทศไทย
» ภาระกิจของพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย
» พระสงฆ์
» นักศาสนา