ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

อับราฮัม ลินคอล์น

(Abraham Lincoln)

       อับราฮัม ลินคอล์น เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 ในกระท่อมซุงเล็กๆ ที่มีหน้าต่างเพียงบานเดียวในมลรัฐเคนตักกี้ บิดาของท่านคือ โทมัส ลินคอล์น มารดาคือ แนนซี ลินคอล์น

บิดายึดอาชีพช่างไม้ ซึ่งทั้งบิดาและมารดาของเขาไม่สามารถอ่านและเขียนหนังสือได้เลย เขาได้รับการตั้งชื่อว่า อับราฮัมตามชื่อคุณตาซึ่งถูกอินเดียนแดงฆ่าตายไปก่อนที่ท่านจะเกิด ในวัยเด็กนั้นครอบครัวของเขาต้องย้ายถิ่นฐานอยู่หลายต่อหลายครั้ง โดยบ้านหลังแรกของเขาอยู่ที่มลรัฐเคนตักกี้ เป็นบ้านซุงหลังเล็กริมลำธาร เขาเดินเท้าเปล่าลุยน้ำและจับปลาด้วยสองมือเปล่า เมื่อลินคอล์นอายุได้ 8 ขวบ โทมัส ลินคอล์น ผู้เป็นบิดาได้นำครอบครัวอพยพไปตั้งหลักแหล่งในมลรัฐอินเดียนนา การเดินทางย้ายถิ่นฐานครั้งนี้ถือว่าลำบากที่สุดในชีวิตของครอบครัวนี้เลยก็ว่าได้ เพราะต้องเดินทางโดยใช้ม้าทั้ง 12 ตัวซึ่งเป็นทรัพย์สินของครอบครัวพร้อมสมบัติติดตัวอีกไม่มากนัก เดินทางข้ามผ่านป่าทึบที่หนทางเต็มไปด้วยความยากลำบากในเช้ามืดของวันที่สุดแสนจะหนาวเหน็บและยังต้องข้ามแม่น้ำโอไฮโอซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ บิดาของเขาต้องสร้างแพชั่วคราวขึ้นเพื่อขนทั้งลูก เมีย และสมบัติข้ามแม่น้ำ เมื่อถึงที่หมายบิดาของเขาได้สร้างเพิงพักชั่วคราวขึ้น โดยใช้ซุงและกิ่งไม้มากั้นเป็นกำแพง 3 ด้าน ด้านที่ 4 เปิดโล่งไว้ และต้องก่อกองไฟไว้ตลอดเวลาเพื่อความอบอุ่นและป้องกันสัตว์ป่าในยามกลางคืนที่หนาวเหน็บ ในเวลากลางคืนตัวเขาเองและพี่สาวนั้นต้องนั่งคุดคู้อยู่ใกล้กับกองไฟท่ามกลางเสียงสัตว์ป่า

แม้ว่าขณะนั้นลินคอห์นมีอายุเพียงแค่ 8 ขวบเท่านั้น แต่เขาก็ต้องใช้ขวานเพื่อช่วยบิดาตัดซุงสร้างบ้าน และช่วยงานในไร่ของครอบครัว ไม่นานนักหลังจากครอบครัวลินคอล์นย้ายเข้าไปอาศัยในบ้านหลังใหม่ แนนซีผู้เป็นมารดาก็ล้มป่วยและเสียชีวิตลง ซาร่าซึ่งในขณะนั้นอายุได้ 12 ขวบ ต้องรับหน้าที่แม่บ้าน ทำงานบ้านทั้งหมดแทนมารดา ไม่ว่าจะทำครัว ทำความสะอาดบ้าน และซักเสื้อผ้า ต่อมาบิดาของเขาได้แต่งงานใหม่กับซาร่า บุช จอห์นสตัน ผู้เป็นม่ายเช่นกัน และมีลูกจากสามีคนแรก 3 คน เมื่อซาร่าและลูกๆ ของเธอย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านลินคอล์น บ้านหลังน้อยก็กลับอบอุ่นและมีความสุขขึ้นมาอีกครั้ง แม่เลี้ยงคนใหม่รักและเอ็นดูลินคอห์นเป็นพิเศษเนื่องจากทั้งสองชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน

อย่างไรก็ตามในวัยเด็กเขาไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนนักเนื่องจากต้องช่วยงานในไร่ แต่หากมีเวลาว่างเมื่อใดเขาจะต้องหาหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้อยู่เป็นประจำจนคนทั่วไปต่างรู้ว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตามเขาจะต้องมีหนังสือติดตัวไปด้วยตลอดเวลา และแม่เลี้ยงของเขาก็ให้การสนับสนุนในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เขามักจะจำคำพูดของคนอื่นมาครุ่นคิดอยู่เสมอจนกว่าจะสามารถเข้าใจจนแจ่มแจ้งได้

เมื่ออายุ 21 ปี เขาย้ายออกมาจากบ้านเพื่อมาหาเลี้ยงชีพตนเอง เริ่มต้นด้วยการเป็นเสมียนให้กับร้านของชำ ในเมืองนิวซาเล็ม อันเป็นเมืองชายแดนเล็กๆ ในมลรัฐอิลลินอยส์ ร้านขายของที่ลินคอล์นทำงานอยู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองเล็กดังกล่าว และลินคอล์นก็เป็นหัวใจของร้านค้า เพราะเป็นคนช่างพูดช่างคุย ไม่นานนักลินคอล์นก็พบว่าสามารถชนะใจได้ทั้งนักเลงและบรรดาครู ผู้มีวิชาความรู้ บุคคลิกภาพโดยทั่วไปเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเคร่งขรึม แต่ในความเป็นจริง ลินคอล์นเป็นคนมีอารมณ์ขัน ชอบเล่าเรื่องสนุกสนานเป็นที่ติดใจของคนทั่วไป และเป็นผู้มีวาทศิลป์จับใจคนมาตั้งแต่เป็นหนุ่ม ดังนั้น เมื่อร้านขายของที่ทำงานอยู่ถูกปิดลง และสภานิติบัญญัติของรัฐอิลลินอยส์ถึงเวลาเลือกตั้งสมาชิกครั้งใหม่พอดี อับราฮัม ลินคอล์น จึงตัดสินใจสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกด้วยความสนับสนุนของเพื่อนฝูงและคนรู้จักที่นิยมชมชอบในตัวเขา แต่ในช่วงนั้นเขาต้องเข้าไปเป็นอาสาสมัครเข้าเป็นกองทหารป้องกันตนเองเพื่อต่อสู้กับอินเดียนแดงจึงทำให้ไม่มีโอกาสที่จะหาเสียงให้กับตัวเองนัก ทำให้ต้องพ่ายแพ้การเลือกตั้งในครังนี้

อย่างไรก็ตามเขาถือว่าการลงเลือกตั้งในครั้งนี้ไม่เสียเปล่าเนื่องจากทำให้เขารู้จักคนในวงกว้างขึ้น และหลังจากนั้น 4 ปีเขาก็หุ้นกับเพื่อนเปิดร้านขายของชำขึ้นมาเป็นของตนเอง แต่ด้วยความโชคร้ายเพื่อนของเขาเสียชีวิตลงทำให้เขาต้องรับผิดชอบหนี้สินต่าง ๆ ตามลำพัง โดยต้องใช้เวลาถึง 15 ปี กว่าจะสะสางหนี้ทั้งหมดได้ ในตอนนั้นถือเป็นช่วงที่เขาต้องพบกับความยากลำบากอีกครั้งหนึ่ง เพราะต้องทำงานใช้แรงงานในฟาร์มบ้าง รับตัดต้นไม้บ้าง รับจ้างตรวจวัดที่ดินบ้าง นอกจากนั้นเขายังได้รับแต่งตั้งเป็นนายไปรษณีย์ประจำเมือง แม้ชีวิตช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ลำบาก แต่ลินคอล์นก็ดำรงคุณความดีไว้ตลอดเวลา ผู้คนเริ่มรู้จักและยกย่องอับราฮัม ลินคอล์น ว่าเป็นชายหนุ่มที่ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้

เมื่อลินคอล์น อายุได้ 25 ปี เขาลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐอิลลินอยส์เป็นครั้งที่ 2 และคราวนี้ประสบชัยชนะได้เข้าเป็นสมาชิกสภาฯ ลินคอล์นต้องใช้เงินเชื่อเพื่อตัดสูท เพื่อเดินทางไปประชุมสภาฯ แต่ลินคอล์นก็ปลื้มใจนักหนาที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ขณะนั้นเขาได้รู้จักกับทนายหนุ่มผู้หนึ่งชื่อ จอห์น ท็อด สจ๊วต ผู้ซึ่งแนะนำให้เขาไปศึกษาทางด้านกฎหมายเขาจึงใช้เวลากว่า 3 ปี ในการยืมตำรากฎหมายจากจอห์น ท็อด สจ๊วตบ้าง ซื้อที่เขาขายเลหลังมาบ้าง มาศึกษาด้วยตนเองอย่างตั้งอกตั้งใจจนเมื่อเขาอายุได้ 28 ปี ก็สอบผ่าน สามารถประกอบอาชีพทนายความ จอห์น ท็อด สจ๊วต รับลินคอล์นเข้าเป็นหุ้นส่วนในสำนักงานทนายความของตนในเมืองสปริงฟิลด์ เมืองหลวงของรัฐอิลลินอยส์ หลังจากนั้นไม่นานเขาได้พบกับแมรี ท็อด สตรีผู้มาจากตระกูลที่มีฐานะดี และทั้งบิดาและพี่เขยของเธอก็มีตำแหน่งใหญ่โตในวงธุรกิจและราชการ แมรีให้ความสนใจต่อนักการเมืองบ้านไร่ผู้มีฐานะง่อนแง่นคนนั้นทันที ทำให้ครอบครัวของเธอไม่พอใจอย่างยิ่งและพยายามกีดกันทุกวิถีทาง แต่ในที่สุดทั้งสองก็ได้แต่งงานกันอย่างเงียบ ๆ ในปีค.ศ. 1842 เนื่องจากลินคอห์นต้องทำงานหนักเพราะขณะนั้นเขาเป็นผู้พิพากษาจึงทำให้ชีวิตแต่งงานของทั้งสองคนนั้นไม่สู้จะราบรื่นนัก เขาต้องออกตระเวนตัดสินความตามชนบทไกลๆ เป็นเวลานานนับเดือน ทิ้งให้ภรรยาสาวอยู่ดูแลลูกเล็กๆ แต่เพียงคนเดียว ทุกครั้งที่แมรีอารมณ์เสีย ลินคอล์นจะหลบออกไปนั่งที่สำนักงานทนายความของเขา อ่านหนังสือและทำอะไรง่วนอยู่จนดึกดื่น รอว่าแมรีเข้านอนแล้วจึงย่องกลับบ้าน

ในปี ค.ศ. 1846 อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาคองเกรส อันเป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปัญหาใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาเผชิญอยู่ในขณะนั้นคือปัญหาทาสผิวดำ ซึ่งถูกนำมาจากทวีปแอฟริกาเพื่อมาขายในสหรัฐฯ ตั้งแต่เมื่อเริ่มแรกตั้งประเทศ โดยเฉพาะในรัฐภาคใต้ของประเทศ ซึ่งทำการเกษตรและต้องการแรงงานทาส ทาสเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงวัตถุ หรือสัตว์เลี้ยง ทาสจะถูกล่ามโซ่นำไปขายยังตลาดค้าทาส ต้องอาศัยอยู่ในเรือนทาสที่สกปรก ทำงานหนักในไร่ฝ้ายแทบทั้งวันและค่อนคืน ลินคอห์นไม่เห็นด้วยกับการใช้แรงงานทาสตั้งแต่ต้นเพราะถือว่าผิดหลักในการก่อตั้งสหรัฐอเมริกาเนื่องจากเอกสารที่ระบุไว้ตอนที่สหรัฐฯประกาศอิสรภาพ ในปี ค.ศ. 1820 สภาคองเกรสได้ตกลงให้คำประนีประนอมให้มีการค้าทาสในดินแดนใหม่ที่อยู่ใต้แม่น้ำมิสซูรี แต่ห้ามการค้าทาสเหนือเขตดังกล่าวแต่ในที่สุดปัญหาก็เรื้อรัง มีการแบ่งแยกกันเป็นสองฝ่ายอย่างชัดเจนคือฝ่ายเหนือต้องการให้มีการยกเลิกระบบทาส ส่วนฝ่ายใต้ต้องการให้มีการใช้แรงงานทาสต่อไป

ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างดุเดือด พวกฝ่ายเหนือหัวรุนแรงได้ก่อตั้งขบวนการเลิกทาสขึ้นโดยมีจุดประสงค์จะดำเนินทุกวิถีทางที่จะให้มีการเลิกทาสขึ้น เช่น ช่วยให้ทาสฝ่ายใต้หนีจากเจ้านาย ใช้อาวุธโจมตีไร่ที่มีทาส สนับสนุนการลุกฮือของทาส แม้จุดประสงค์ของขบวนการจะน่านับถือ แต่วิธีรุนแรงที่ขบวนการใช้ ทำให้ฝ่ายใต้รู้สึกว่าต้องป้องกันตนเอง และต้องรักษาระบบทาสไว้ ทำให้สองฝ่ายเกลียดชังกันมากยิ่งขึ้น

ลินคอล์นในขณะนั้นละมือจากวงการเมืองไปประกอบอาชีพทนาย แต่เขาเห็นว่าหากเปิดรัฐใหม่ให้เป็นดินแดนที่มีทาส ระบบทาสก็จะไม่ตายไปเองตามกาลเวลา หากจะเกาะกินสหรัฐฯ เหมือนมะเร็งเนื้อร้ายทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ลินคอล์นตัดสินใจกลับเข้าสู่วงการเมืองอีกครั้ง ท่านเดินทางไปปราศรัยในที่ต่างๆ เพื่อต่อต้านการขยายระบบทาสเข้าไปในเขตรัฐใหม่ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ก็ดำเนินไปอย่างรุนแรงจนถึงขั้นนองเลือด

 

เขาลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาซีเนตโดยชูนโยบายเลิกทาสเป็นอันดับแรก และได้กล่าวไว้ว่า"ในความเห็นของข้าพเจ้า บ้านซึ่งร้าวออกเป็นสองส่วนไม่สามารถตั้งอยู่ได้ฉันใด ข้าพเจ้าเชื่อว่ารัฐบาลนี้ไม่อาจดำรงอยู่อย่างถาวรบนรากฐานที่ครึ่งหนึ่งเป็นไทและครึ่งหนึ่งเป็นทาสฉันนั้น" ผลการเลือกตั้งปรากฎว่าเขาต้องพบกับความพ่ายแพ้ แต่อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังไปอย่างแพร่หลาย

และแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860 ก็มาถึงลินคอล์นได้รับเลือกตั้งเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันเนื่องขากพรรคมีนโยบายต่อต้านระบบการเลิกทาส ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่ได้รับคะแนนความนิยมสูงสุดก็ตาม ในตอนนั้นพรรคเดโมเครตมีปัญหาความขัดแย้งกันเองจึงต้องส่งผู้ลงเลือกตั้ง 2 คน เพื่อแข่งขันกับลินคอล์นตัวแทนจากพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียว ทำให้การแข่งขันในครั้งนี้เขาได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยในวันที่ 6 พฤศจิกายน 1860

อับราฮัม ลินคอล์น สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1861 แต่เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ลินคอล์นก็ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ที่ท่านจดจำไว้ว่าเป็นสิ่งซึ่งทำให้ท่านวิตกและตึงเครียดที่สุดในชีวิต วิกฤติการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่ป้อมซัมเตอร์ ซึ่งเป็นป้อมทหารของทางฝ่ายเหนือ ที่ตั้งอยู่ในเขตฝ่ายใต้

วันที่ 12 เมษายน 1861 ฝ่ายใต้ใช้ปืนใหญ่ระดมยิงป้อมซัมเตอร์ จุดชนวนสงครามกลางเมืองของอเมริกา ซึ่งจะยืดเยื้ออย่างนองเลือดต่อมาอีก 4 ปี โดยฝ่ายใต้จัดตั้งสมาพันธรัฐอเมริกาขึ้น และมีเจฟเฟอร์สัน เดวิส ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี กองกำลังของฝ่ายเหนือนั้นเหนือกว่ากองกำลังของฝ่ายใต้อยู่หลายขุม เนื่องด้วยประกอบไปด้วย 22 รัฐ ซึ่งมีประชากรรวมทั้งสิ้น 22 ล้านคน ในขณะเดียวกันฝ่ายใต้ประกอบไปด้วย 11 รัฐและมีพลเมืองเพียง 9 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนั้น 4 ล้านเป็นทาสผิวดำ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นทหาร นอกจากนี้ฝ่ายเหนือยังเป็นเขตอุตสาหกรรมทำให้สามารถผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อย่างมากมายมหาศาลในขณะที่ฝ่ายใต้เป็นเขตเกษตรกรรมซึ่งยังล้าหลังอยู่มาก

ในตอนนั้นสหรัฐอเมริกาแตกแยกออกเป็นสองประเทศและมีเมืองหลวงอยู่ใกล้กันเพียงแม่น้ำกั้นเท่านั้นฝ่ายเหนือมีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนฝ่ายใต้มีเมืองหลวงอยู่ที่ ริชมอนด์รัฐเวอร์จิเนีย จากทำเนียบขาวของประธานาธิบดีลินคอล์น สามารถมองเห็นธงของสมาพันธรัฐฯ (ฝ่ายใต้) อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโปโตแมก ทั้งนี้เพราะแม่น้ำดังกล่าวกั้นเขตระหว่างกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กับรัฐเวอร์จิเนีย ฝ่ายเหนือคาดการณ์ว่าสงครามในครั้งนั้นคงยุติในเวลาเพียง 3 เดือน แต่สงครามกลับยืดเยื้อกินเวลาไปถึง 3 ปีกว่าที่ลินคอล์นจะหาแม่ทัพคู่ใจเข้าทำสงครามในครั้งนี้ได้นั่นคือนายพล ยูลิซิส เอส. แกรนต์ ทำให้ฝ่ายเหนือเริ่มมีชัยชนะและยึดดินแดนฝ่ายใต้คืนได้

ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1862 กองทัพฝ่ายเหนือยึดเมืองนิวออร์ลีนไว้ได้ ทำให้ฝ่ายเหนือสามารถคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปีซึ่งเป็นเส้นเลือดสำคัญของฝ่ายใต้ไว้ได้ ในวันปีใหม่ของปี ค.ศ. 1863 ประธานาธิบดีลินคอล์นได้ลงนามในเอกสารที่สำคัญยิ่งฉบับหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกันอันได้แก่ "คำประกาศเลิกทาส" เขาปราศรัยต่อรัฐสภาฯว่า "ท่านสมาชิกรัฐสภาฯ เราไม่อาจหลีกเลี่ยงประวัติศาสตร์ได้ รัฐสภานี้จะได้รับการจดจำแม้พวกเราในที่นี้จะหาไม่แล้ว การให้อิสรภาพแก่ผู้เป็นทาส คือการรักษาอิสรภาพแก่ผู้เป็นไท เรามีเกียรติในการให้เท่ากับที่เราเป็นผู้รักษา"

ในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1863 ได้เกิดการรบกันขึ้น ณ เมืองเล็กๆ ชื่อเกตตีสเบิร์ก ทั้งสองฝ่ายมีกำลังพลรวมกัน 1 แสน 7 หมื่นคน นับเป็นการรบครั้งใหญ่ที่สุดในสงครามกลางเมืองอเมริกันและนับเป็นการรบที่นองเลือดที่สุด เมื่อการต่อสู้ยุติลงใน 3 วันต่อมา กองทัพฝ่ายเหนือมีทหารบาดเจ็บ 23,000 คน ในจำนวนนั้น 3,000 คน สูญเสียชีวิต ส่วนกองทัพฝ่ายใต้มีทหารบาดเจ็บกว่า 28,000คน และประมาณ 4,000 คน ในจำนวนนั้นเสียชีวิต ผลของการนี้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายใต้ประสบความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่และต้องล่าถอยทัพไปยังเขตตน

ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1864 ลินคอล์นกล่าว สุนทรพจน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่าน และใช้เวลาเพียง 2 นาทีในการกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น ซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นวาทศิลป์ที่เลิศที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันว่า “เมื่อแปดสิบเจ็ดปีก่อน บรรพบุรุษของเราสร้างชาติขึ้นบนผืนทวีปนี้ ชาติใหม่ก่อกำเนิดในอิสรภาพและยึดมั่นในหลักการที่ว่า มนุษย์ทุกคนถูกสร้างให้เท่าเทียมกัน”

สงครามกลางเมืองสหรัฐฯ ยุติลงเมื่อกองกำลังฝ่ายใต้ยอมแพ้ให้กับกองกำลังฝ่ายเหนืออย่างไม่มีเงื่อนไขเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1864 หลังจากดำเนินมาเป็นเวลา 4 ปีเต็ม สหรัฐฯ ต้องสูญเสียพลเมืองไประหว่างสงครามกว่า 6 แสนคน ทรัพย์สินบ้านเรือนเสียหายนับมูลค่าไม่ได้ทั้งฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ หน้าที่ของลินคอล์นในเวลาต่อมาคือการรวมดินแดนทั้งสองฝ่ายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็ยังมีผู้คนของฝ่ายใต้จำนวนมากที่โกรธเกลียดและชิงชังเขา ลินคอล์นเองก็ตระหนักในอันตรายของการลอบสังหารดี ท่านได้รับจดหมายขู่จะเอาชีวิตแทบทุกวัน และในวันที่ 14 เมษายน 1864 ขณะที่เขาพาภรรยาไปชมละคร ณ โรงละครฟอร์ด ฆาตกรคือนักแสดงตกงาน ชื่อจอห์น วิลค์ส บูท ได้แอบย่องเข้ามาจ่อยิงที่ศีรษะด้านหลังของท่านประธานาธิบดีขณะกำลังชมละครอยู่อย่างเพลิดเพลิน ลินคอล์นหมดสติฟุบลง แมรีผู้ภรรยาผวาเข้าไปคว้าตัวท่าน เขายังไม่สิ้นใจทันทีและถูกหามออกมาด้านนอกโรงละครไปยังหอพักซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนและเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น การจากไปของประธานาธิบดีผู้ปลดปล่อยทาสสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับคนอเมริกันเป็นอย่างมากถือเป็นการปิดฉากชีวิตก่อนที่เขาจะทำภารกิจรวมฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ด้วยวิธีประนีประนอม

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย