สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
หางไหลกำจัดศัตรูพืช
ยาฆ่าแมลงชนิดที่มาจากสารเคมี
เป็นสิ่งหนึ่งที่เกษตรกรจำนวนไม่น้อยนำมาใช้ปราบศัตรูพืช แต่สิ่งที่ตามมาคือ
ปัญหาการตกค้างจากสารเคมี ซึ่งทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้คนได้
หางไหลหรือโล่ติ๊นนับว่าเป็นพืชชนิดหนึ่ง
ที่ใช้ป้องกันกำจัดศัตรูพืชได้เป็นอย่างดี และไม่เป็นอันตรายต่อคน ซึ่ง ผศ.อรุณ
โสตถิกุล นักวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคล
ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจของหางไหลว่าหางไหล หรือโล่ติ๊น เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์
PAPILONACEAE ซึ่งมีสารโรติโนนเป็นสารพิษในการกำจัดแมลง เป็นไม้เลื้อย
เจริญงอกงามในป่าชื้นและชายแม่น้ำลำคลองทั่วไป ในประเทศ ไทยพบว่ามี 21 ชนิด
แต่มีเพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่พบว่ามีสารพิษช่วยกำจัด ศัตรูพืชมาก
และนิยมปลูกเป็นการค้าคือ หางไหลขาว มีสารโรติโนนประ มาณ 7-8% และหางไหลแดง
มีสารโรติโนนน้อยกว่า แต่โดยมากจะพบชนิด แดงมากกว่าชนิดขาว
สำหรับชื่อตามท้องถิ่นต่างๆ ก็เรียกแตกต่างกันไป อาทิ โล่ติ๊น หางไหล เครือไหล
ไหลน้ำ กะลำเพาะ เป็นต้น
ลักษณะทั่วไปของหางไหลจะมียอดใบอ่อน มีขนอ่อนสีน้ำตาล ปนแดง
เถาหรือลำต้นส่วนที่แก่มีสีน้ำตาลปนแดงเช่นกัน แต่เริ่มมีสีเขียวชัด
ตรงเปลือกที่อยู่ก่อนถึงยอดประมาณ 2-3 ปล้อง ลำต้นกลม ใบแก่มีสีเขียว
ในก้านใบหนึ่งจะมีใบตั้งแต่ 5, 7 และ 11 ใบ พื้นใบด้านบนเป็นสีเขียว
มีเส้นคล้ายก้างปลา แต่ไม่ยาวจนชิดขอบใบ ด้านใต้ใบจะเห็นเส้นใบชัดเจนก ว่าด้านบน
จะออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม มีลักษณะคล้ายดอกแคฝรั่ง ดอกตูมมีสีชมพูอมม่วง
เมื่อบานเต็มที่จะมีกลิ่นหอม กลีบดอกเป็นสีชมพูอ่อน และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว
ผลเป็นฝัก เมื่อแก่เป็นสีน้ำตาล เมื่อแก่เต็มที่จะ แตกออกเมล็ดร่วงลงบนพื้นดิน
เมื่อมีความชื้นพอเหมาะจะงอกและเจริญเติบ โตต่อไป
พันธุ์หางไหลมีทั้งหมดกว่า 200 ชนิด การเรียกชื่อหางไหล
แดงอาจเรียกตามลักษณะสีของสารสกัดที่ได้จากราก ซึ่งจะมีสีแดง
แตกต่างจากหางไหลขาวที่สารสกัดจากรากจะมีสีขาวขุ่นคล้ายสีน้ำนม ส่วนยอดของทั้ง 2
ชนิดจะคล้ายกันมาก แตกต่างที่สีของหางไหลแดง ค่อนข้างจะเข้มเป็นสีชมพู
ส่วนหางไหลขาวมีสีน้ำตาลแดงปนส้ม
การขยายพันธุ์
ขยายพันธุ์ได้ด้วยการปักชำ โดยใช้กิ่งที่มีขนาดเส้นผ่า ศูนย์กลางประมาณ 1 ซ.ม.
ยาวประมาณ 25 ซ.ม. ตัดใบออกไปให้หมด ถ้าเหลือไว้จะมีจำนวนรากน้อย
การปักชำควรมีความชื้นสม่ำเสมอ โดยให้น้ำ
หล่อเลี้ยงตรงส่วนล่างวัสดุไว้เสมอจึงจะทำให้กิ่งชำมีโอกาสแห้งตายน้อย
ในช่วงฤดูแล้งควรปักชำในถุงพลาสติกเพื่อรักษาความชื้นและควรฉีดสาร
ป้องกันเชื้อราในถุงชำ ระหว่างการปักชำควรให้ปุ๋ยยูเรีย (0.1%) จำนวน 3 ครั้ง
ห่างกัน 10 วัน ปักชำไว้ประมาณ 45 วัน จึงย้ายกิ่งชำลงถุงดำพักไว้ ในที่ร่มรำไร
และให้ปุ๋ยยูเรียสัปดาห์ละครั้งเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน
กิ่งชำจึงจะมีความพร้อมที่จะย้ายไปปลูกในแปลงและควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
เพราะมีความชื้นในดินสูง
หางไหลเป็นพืชที่เลื้อยไปตามรั้วหรือต้นไม้ที่ยืนต้นอื่นๆ
การปลูกในลักษณะที่เป็นแปลงขนาดใหญ่ควรปล่อยให้เลื้อยไปตามพื้นดิน เมื่อมีอายุ 2 ปี
และทำการเก็บเกี่ยวทั้งแปลงแล้ว ควรปลูกใหม่หมุนเวียนกัน ไป โดยระยะปลูกห่างประมาณ
1x1.5 เมตร ปีแรกต้องมีการกำจัดวัชพืช หลังจากนั้นจะเลื้อยคลุมพื้นที่ทั้งหมด
ในปีแรกควรให้ปุ๋ยยูเรียทุก 3 เดือน และดินต้องมีความชื้นที่เพียงพอ
การเตรียมหลุมควรมีขนาด 0.5x0.5x0.5 เมตร
และเพื่อให้รากเจริญดีควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักรองก้นหลุมมากๆ ในช่วงปีที่ 2
ควรให้ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25 ก.ก.ต่อไร่ จำนวน 2 ครั้ง หางไหลอายุ 2 ปี จะได้รากสด
200 กิโลกรัมต่อไร่ ถ้าปล่อยไว้ 3 ปี จะได้รากสด 600-700 กิโลกรัมต่อไร่
การเก็บเกี่ยว
วิธีการเก็บเกี่ยวจะขุดในช่วงที่มีฝนตก เพราะจะทำให้ดินอ่อน โดยตัดใบ กิ่ง
ที่ไม่ต้องการออก แล้วใช้สามขาตั้ง เอาไม้งัดใส่เข้าไปร้อยโซ่ ที่โคนต้นชิดดิน
แล้วเอาโซ่คล้องหัวไม้แล้วงัดขึ้นมาทั้งรากทั้งโคน จากนั้นนำ รากสดไปใช้ได้ทันที
หรือผึ่งในที่ร่มให้แห้งเก็บไว้ใช้ได้นานปี โดยยังมีฤทธิ์ เหมือนเดิม
การนำรากแห้งมาใช้ต้องแช่น้ำก่อนเพื่อให้รากนิ่ม แล้วนำมาทุบ
ให้ละเอียดจึงนำไปสกัดเป็นสารกำจัดศัตรูพืชได้ บางครั้งนำรากสดมาหั่นเป็น ชิ้นเล็กๆ
ตากให้แห้งแล้วบดเป็นผงก็เก็บไว้ใช้ได้เช่นกัน
รากของหางไหลนี้ถ้านำมาทุบแล้วแช่น้ำไว้ประมาณ 1 คืน
น้ำจะขุ่นขาวคล้ายน้ำซาวข้าว นำไปพรมพืชหรือฉีดพ่นป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้หางไหลยังสามารถปลูกเพื่อไถกลบเป็นปุ๋ยสดบำรุง ดิน
และยังสามารถใช้เป็นพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการสูญเสียความชื้นและ
การชะล้างหน้าดินได้ สำหรับคุณประโยชน์ด้านสมุนไพรนั้น ในสมัยโบราณ
แพทย์ในชนบทใช้ผสมกับยาอื่นๆ ปรุงเป็นยาขับระดูสตรี แก้ระดูเป็นลิ่มหรือ ก้อน
รากแห้งหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สำหรับดองสุราใช้เป็นยาขับและบำรุงโลหิต ยาถ่ายเส้นเอ็น
ขับลม และขับเสมหะ
ลักษณะการออกฤทธิ์ต่อศัตรูพืช
จากการทดสอบสารสกัดที่ได้ จากหางไหลกับแมลงหลายชนิดพบว่า
มีฤทธิ์ถูกตัวตายและกินตาย
นอกจากนี้ยังมีแมลงบางชนิดไม่ยอมกินใบพืชที่มีการฉีดพ่นสารสกัดจากหาง ไหล
ซึ่งอาจเรียกได้ว่ามีผลยับยั้งการกิน เช่น หนอนผีเสื้อกินใบปอเทือง เป็นต้น
การสกัดหางไหล ทำได้โดยใช้น้ำแอลกอฮอล์ 10% Sodium hydrogen sulfate หรือ
Dichioromethane แต่โดยทั่วไปจะใช้แอลกอฮอล์ เพราะหาง่าย ราคาไม่แพงเกินไป
โดยใช้หางไหลที่บดเป็นผง แช่ในตัวทำ ละลาย ถ้าเป็นน้ำจะใช้ 10 กรัมต่อ 1 ลิตร แช่ 1
คืนแล้วนำไปใช้ได้เลย ส่วนตัวทำละลายแอลกอฮอล์ใช้อัตรา 200-300 กรัมต่อ 1 ลิตร
แช่ไว้ 7-10 วัน ทำการกรองและนำไปเจือจางก่อน ใช้ที่ความเข้มข้น 1-5% ตามขนาด
ของแมลง
สำหรับศัตรูพืชที่ใช้สารสกัดจากหางไหลกำจัดได้ผลดีนั้น
มีเพลี้ยจักจั่นมะม่วง ด้วงหมัดผัก ด้วงเต่าแตง เพลี้ยไฟมะเขือเทศ ไรขาว พริก
มวนร่างแหโหระพา และยังใช้ป้องกันกำจัดศัตรูสัตว์เลี้ยงอื่นๆ ได้อีก เช่น หมัดสุนัข
เห็บวัว ไรไก่ เป็นต้น
สารฆ่าแมลง เพลี้ย และไรแดง
ส่วนประกอบและการจัดทำ นำหางไหล (รากของต้นโล่ติ๊น) 1.5 กิโลกรัม ทุบให้แหลกหมักด้วย นำสะอาด 10 ลิตร หมักนาน 1 คืน การนำไปใช้ นำน้ำที่หมักผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นตามใบ ทุก 7 วัน ก็จะสามารถกำจัดแมลง เพลี้ยทุกชนิดและไรแดงได้
สำนักงานเกษตรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
» กานพลู
» สมุนไพรรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
» ประโยชน์และโทษ สรรพคุณสมุนไพรจีน
» ชะคราม วัชพืชสมุนไพรต้านอนุมูลอิสระในป่าชายเลน
» มะรุม
» สะระแหน่