ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
สรุปปรัชญาพุทธศาสนา ภาคอภิปรัชญาพุทธศาสนา
ในภาคอภิปรัชญา ความจริงนี้
คือสิ่งที่มีอยู่จริง พุทธปรัชญามีทัศนะว่า สิงที่มีอยู่จริง เรียกว่า ปรมัตถธรรม
มี 4 ประการ คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน และ จิต เจตสิก และรูป 3 สิ่งนี้
มีลักษณะ 3 ประการคือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน
ส่งวนพระนิพพาน นั้น มีลักษณะเป็นนิจจัง ไม่เป็นทุกขัง และเป็นอนัตตา
พุทธศาสนากับอภิปรัชญา
ข้อแตกต่างระหว่าง อภิปรัชญาตะวันตกกับอภิปรัชญาเชิงพุทธปรัชญา
อภิปรัชญาตะวันตกโดยมากมักจะศึกษาปัญหาปฐมเหตุของโลกและจักวาล
และโลกและจักรวาลมีพัฒนาการมาจากปฐมเหตุนั้นอย่างไร
ปฐมเหตุหรือปฐมธาตุนั้นเรียกว่าสิ่งที่แท้จริง หรือสิ่งที่มีอยู่จริง (reality)
หรือ เรียกง่ายๆว่า ความจริงทางอภิปรัชญา
ซึ่งในทางตะวันตกก็ถกเถียงกันและได้คำตอบที่ไม่ลงรอยกัน หลักๆ อยู่ 2
ฝ่ายคือฝ่ายที่ยืนยันว่า จิต คือสิ่งที่มีอยู่จริง(จิตนิยม) และอีกฝ่ายยืนยันว่า
สสาร (สสารนิยม) และบางฝ่ายก็ยืนยันว่าทั้งจิตและสสาร (ธรรมชาตินิยม)
ส่วนพุทธปรัชญา หากมองในแง่ที่ว่า อะไรคือปฐมธาตุของโลกและจักรวาลเช่นนี้
ทางพุทธปรัชญาจะไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาแบบนี้
เพราะมันไม่มีประโยชน์ในแง่ของการสิ้นทุกข์ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของพุทธปรัชญา
แต่พุทธปรัชญาก็มีทัศนะเกี่ยวกับสิ่งที่มีอยู่จริง คือ สิ่งที่มีอยู่จริงคืออะไร
และมีอยู่อย่างไร ซึ่งนั่นก็คือ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน
ที่มีอยู่จริงในทัศนะพุทธปรัชญา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปฐมเหตุของโลกและจักรวาล
แต่มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ ไม่มีผู้สร้าง
สิ่งทั้งหลายนี้รวมกันเข้าแล้วปรากฏเป็นสิ่งทั้งหลาย
เมื่อรู้ธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้แล้ว
จะได้วางท่าทีและปฏิบัติให้สอดคล้องกับธรรมชาติโดยมีจุดหมายคือการพ้นทุกข์
หลักการของพระพุทธเจ้าในการจะถกปัญหาทางอภิปรัชญาหรือไม่นั้น
มาจากหลักที่พระองค์ยึดถือ คือว่า เรื่องนั้น ต้องจริง มีประโยชน์
และเหมาะสมแก่เวลาและสภาพแวดล้อม (ดูอภัยราชกุมารสูตร) ในจูฬมาลุงโกยวาทสูตร
ได้พูดถึงหลักการที่สอนและไม่สอน ดังนี้ ไม่สอนเรื่องโลกเทียง หรือไม่เที่ยง
มีที่สุดและไม่มีที่สุด เรื่องอัตตา เรื่องตายแล้วเกิดหรือสูญ ปัญหาเหล่านี้
เรียกว่า อพยากตปัญหา คือเรื่องที่ไม่ทรงตอบ และไม่สอน เพราะ ไม่มีประโยชน์
ไม่เป็ฯไปเพื่อสิ้นทุกข์ และไม่เป็ฯไปเพื่อทำลายความโลภ โกรธ หลง ให้สิ้นไปได้
ชีวิตในพุทธปรัชญา
- ความหมายและกำเนิดชีวิต (ชีวิตคืออะไร) ดูหลักคำสอน เรื่องขันธ์ 5 การเกิดของมนุษย์
- ชีวิตมีลักษณะอย่างไร ดูหลักธรรมเรื่องไตรลักษณ์ ประโยชน์ของการศึกษาเรื่องไตรลักษณ์
- ชีวิตเป็นไปอย่างไร ดูหลักธรรมเรื่อง วิญญาณ 6 จิตรับรู้โลก 17 ขณะ ปฏิจจสมุปบาท กรรม
ธรรมชาติของชีวิต ในที่นี่หมายถึง ธรรมชาติของมนุษย์ ล้วนมีความต้องการ
พื้นฐาน 4 ประการ คือ ชีวิตุกามะ คืออยากมีชีวิตอยู่ อมริตุกามะ
อยากไม่ตายหรือไม่อยากตาย สุขกามะ คือ อยากมีความสุขไม่อยากมีทุกข์ และ
ทุกขปฏิกกูละ คือ รังเกียจความทุกข์ หรือไม่ต้องการทุกข์
ปรากฏการณ์ของชีวิต
ปรากฏการณ์ของชีวิตมนุษย์ คือ สุข ทุกข์ สุข หมายถึงความสบายกาย-ใจ ทุกข์
หมายถึง คสวามไม่สบายกาย-ใจ มีเหตุเกิดมาจากหลายอย่าง พุทธปรัชญา ตอบว่า เกิดจาก
โรคภัยไข้เจ็บ ธรรมชาติแวดล้อม การดูแลสุขภาพ การกระทำของผู้อื่น และผลกรรมของตน
ชีวิตที่ดี ชีวิตกับความตาย ชีวิตที่ดี
คือชีวิตที่พอเพียงด้วยวัตถุและคุณธรรมจริยธรรม ชีวิตที่ประเสริฐ
คือชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา (ดู สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (เล่ม 15 หน้า 203 ข้อ 58)
ท่าทีของพุทธปรัชญาต่อความตาย ความตาย คือ
การแยกจากกันของสิ่งที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนคือร่างกายนี้ อันได้แก่ ธาตุ 6 คือ
ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาส และวิญญาณธาตุ การตายและการเกิดของมนุษย์
จึงเป็นเพียงกระบวนการแยกกัน และรวมกันของสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้กล่าวถึงความตายไว้ว่า คนที่จวนจะตายร่างกายจะซูบซีดลง อินทรีย์ทั้งหลายคือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา จะดับไปตามลำดับ ความสามารถด้านต่างๆจะลดน้อยลงเหลือแค่พอรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานเท่านั้น วิญญาณจะนึกถึงครุกรรมคือกรรมหนักบ้าง กรรมที่ทำในช่วงใกล้ๆมานี้บ้าง กรรมที่ทำไว้ก่อนบ้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วกรรมที่นึกถึงได้นั้น ก็จะปรากฏขึ้นต่อจากนั้น
สังขารคือบุญ-บาป และตัณหาก็จะนำวิญญาณนั้น (จุติวิญาณ) ไปสู่ภพใหม่ (ปฏิสนธิวิญญาณ) ตามแต่กรรมที่ทำไว้จะพาไป การตาย-เกิด นี้จะดำเนินต่อไป ตราบเท่าที่ปัจจัยต่างๆ คือ สังขาร คือ บุญ-บาป และกิเลสคือตัณหา ยังดำมีอยู่ เมื่อพัฒนาชีวิตให้เกิดวิชชา กิเลสก็ดับ สังขารคือบุญ-บาปดับ การเกิด-ตายก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ พระพุทธปรัชญา สอนให้วางท่าทีว่าไม่ให้กลัวตาย เพราะเป็นธรรมชาติ มีเกิดก็ต้องมีตาย สอนให้ระลึกถึงความตายแล้วนำมาเตือนใจตนเองรีบทำความดี พัฒนาชีวิต ให้พ้นจากตายและเกิด จะได้หมดทุกข์อย่างสิ้นเชิง (นิพพาน)