ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

ภูมิศาสตร์ประเทศไทย

ภาคเหนือ
ภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ภาคใต้

ภาคใต้

ภาคใต้เป็นภูมิภาคซึ่งมีพื้นที่เป็นรูปแหลมยาวยื่นลงไปในมหาสมุทร มีทิศทางจากเหนือ ณ แนวกั้นอ่าวไทยที่เส้นรุ้ง 13 องศา ลงไปทางใต้จดมาเลเซีย ที่เส้นรุ้ง 5 องศา 30 ลิปดา กั้นมหาสมุทรอินเดียไว้ทางด้านทิศตะวันตก และทะเลจีนใต้ทางด้านทิศตะวันออก มีทิวเขาอันต่อเนื่องจากที่ราบสูงยูนนานเป็นแกนหรือโครงของแหลม ต่อลงไปจนจดเส้นศูนย์สูตรที่สิงคโปร์

ภาคใต้ของไทยติดต่อกับประเทศพม่าทางทิศตะวันตก โดยมีทิวเขาตะนาวศรี และลำน้ำปากจั่นเป็นพรมแดน ติดต่อกับมาเลเซียทางด้านทิศใต้ โดยมีทิวเขาสันกาลาคีรี กับลำน้ำนราธิวาสเป็นพรมแดน มีพื้นที่ ประมาณ 75,000 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1 ใน 7 ของพื้นที่ประเทศ ตอนแคบที่สุดกว้าง ประมาณ 15 กิโลเมตร และตอนแคบที่สุดของแหลมที่คอคอดกระ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กว้างประมาณ 40 กิโลเมตร ส่วนกว้างที่สุดไม่เกิน 200 กิโลเมตร ส่วนยาวประมาณ 750 กิโลเมตร

สภาพทางธรณีวิทยา

ภาคใต้มีโครงสร้างอันประกอบด้วยทิวเขาเป็นแถบของแหลม อยู่ประมาณตอนกลาง ยาวตลอดจากเหนือไปใต้ ทำให้ตัวแหลมมีความคงทนต่อการทำลายของธรรมชาติ มีพื้นที่ลาดเทลงสู่ทะเลทั้งด้านอ่าวไทย และมหาสมุทรอินเดีย แนวรอยพับย่นของธรณีมีอยู่หลายแห่ง เช่น ทางตะวันตกของอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช และมีต่อทอดลงไปในทะเลด้วย บริเวณหมู่เกาะทางตะวันออกของ อำเภอบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี กับในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของ จังหวัดสงขลา

ภูเขา

ภาคใต้นอกจากจะมีทิวเขาเป็นแนวยาวตลอดทั้งภาค อยู่ตอนกลางของพื้นที่แล้ว ยังมีทิวเขาสั้น ๆ แทรกอยู่มีทิศทางขนานไปกับทิวเขาหลักเกือบทั้งสิ้น เราสามารถแบ่งทิวเขาในภาคใต้ ออกเป็นทิวเขาใหญ่ ๆ ได้ 5 ทิวคือ ทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขาระนองหรือภูเก็ต ทิวเขาสันกาลาคีรี ทิวเขานครศรีธรรมราช และทิวเขาสามร้อยยอด

ทิวเขาตะนาวศรี

ทางเหนือเริ่มตั้งแต่ช่องเจดีย์สามองค์ ทอดตัวยาวลงไปทางใต้ จดบริเวณจังหวัดชุมพร ตอนลำน้ำปากจั่น ทิวเขาตะนาวศรีเป็นเทือกเดียวกับทิวเขาถนนธงชัย เป็นทิวเขาหิน เว้นบางตอนทางด้านตะวันตก ในเขตดินแดนมอญ มีภูเขาหินปูนอยู่บ้าง

ทิวเขาตะนาวศรี เป็นทิวเขาต่อเนื่องตลอดทิว มีความกว้าง และความสูงมากที่สุดในพื้นที่ระหว่าง จังหวัดเพชรบุรี ถึงลำน้ำปราณ ต่อจากบริเวณนี้ลงไป จะมีลักษณะแคบและเตี้ยกว่าทางตอนเหนือ ยอดเขาสูงสุดในตอนใต้นี้ คือ ยอดเขาหลวง อยู่ในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ทางใต้ของช่องสิงขร

ทิวเขาตะนาวศรีตอนใต้สุด แยกออกไปสองฟากของลำน้ำ ส่วนตะวันตกอยู่ในเขตพม่า ส่วนตะวันออกอยู่ในเขตไทย ซึ่งได้ชื่อใหม่ว่าทิวเขาภูเก็ต ช่องทางในทิวเขาตะนาวศรีที่สำคัญมีอยู่สามช่อง คือ ช่องเจดีย์สามองค์ ช่องสิงขร และช่องบ้านเลียบญวน

ทิวเขาตะนาวศรีปันน้ำลงทั้งสองฟากทิวเขาคือ

- ลงสู่มหาสมุทรอินเดีย ได้แก่ ลำน้ำทะวาย ลำน้ำตะนาวศรี และลำน้ำอัตรัน (เชียงกราน)
- ลงสู่อ่าวไทย ได้แก่ ลำน้ำแม่กลอง ลำน้ำเพชรบุรี ลำน้ำปราณ คลองท่าตะเภา และคลองชุมพร

ยอดเขาสูงส่วนใหญ่อยู่ในเขตพม่า ที่สูงเกิน 1,000 ขึ้นไปมีอยู่ 8 ยอดด้วยกัน อยู่ในเขตไทย 7 ยอดด้วยกัน คือ เขาแดนใต้ เขาเราะแระ อยู่ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี เขาหวานน้อย เขาว่านมี อยู่ทางตะวันตกของจังหวัดเพชรบุรี เขาใหญ่อยู่ทางตะวันตกของอำเภอปราณบุรี เขาหลวงอยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเขากูบอยู่ในเขต อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ทิวเขาภูเก็ต (หรือทิวเขาระนอง)

เป็นทิวเขาที่แยกออกจากทิวเขาตะนาวศรีเริ่มจาก จังหวัดชุมพร นับจากแม่น้ำปากจั่นลงไปทางใต้เป็นแนวไปในแหลมมลายู ไปสุดตอนที่ต่อกับทิวเขานครศรีธรรมราช และทิวเขาสันกาลาคีรีในจังหวัดสตูล นอกนั้นเป็นทิวที่ล้ำลงไปในทะเลเกิดเป็นเกาะภูเก็ตขึ้น จึงให้ชื่อว่าทิวเขาภูเก็ต และเนื่องจากว่าทิวเขานี้ผ่านจังหวัดระนอง จึงได้ชื่อว่าทิวเขาระนอง ทิวเขานี้เป็นเขาหินแกรนิต ได้ปันน้ำลงสองฟาก คือ ด้านอ่าวไทย และด้านมหาสมุทรอินเดีย

ทางด้านอ่าวไทย มีคลองสวี ลำน้ำหลังสวน และลำน้ำคีรีรัฐ (ไหลลงอ่าวบ้านดอน)
ทางด้านมหาสมุทรอินเดีย มีลำน้ำกระ (มีคลองปากจั่น และคลองสะอุ่นไหลมาบรรจบ) และลำน้ำตะกั่วป่า

ทิวเขานี้มียอดเขาสูงที่สำคัญ คือ เขากะทะคว่ำ สูง 1,092 เมตร เขาปลายบางโต๊ะ สูง 1,047 เมตร เขาทั้งสองลูกนี้อยู่ตอนเหนือของจังหวัดพังงา เขาพระมี สูง 1,106 เมตร อยู่ในเขตอำเภอคอเขา จังหวัดพังงา เขาหลังคาตึก สูง 1,272 เมตร อยู่ในเขตอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง ยังมียอดเขาที่สูงเกิน 1,000 เมตร อีกหลายยอด แต่ไม่มีชื่อเรียกกัน

ทิวเขาภูเก็ตกั้นเขตแดน ระหว่างฟากตะวันออกกับฟากตะวันตก ของสี่จังหวัดในภาคใต้คือ ทางตอนเหนือกับจังหวัดชุมพร (ตะวันออก) กับจังหวัดระนอง (ตะวันตก) ทางตอนใต้กั้นจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ตะวันออก) กับจังหวัดพังงา (ตะวันตก)

ทิวเขานครศรีธรรมราช

เป็นทิวเขาที่อยู่ทางตะวันออกของทิวเขาภูเก็ต และเป็นแกนของแหลมต่อลงไปอีกแนวหนึ่ง ทิวเขานี้กั้นที่ราบสุราษฎร์ไว้ตอนกลาง โดยมีภูเขาลูกโดด ๆ แทรกอยู่เป็นตอน ๆ มีความสูง 200-300 เมตร มี เขาพนมเบญจา สูง 1,404 เมตร เป็นยอดสูงสุด เป็นเขาหินแกรนิต ที่มีทิศทางทอดตัวจากเหนือไปใต้ จากริมฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยไปสุดยังฝั่งทะเลด้านตะวันตก เริ่มจากทางใต้ของลำน้ำตาปี ทางใต้จดทิวเขาสันกาลาคีรี ตอนเหนือของทิวเขานี้มียอดสูงหลายยอด ส่วนตอนกลาง และตอนใต้ยอดไม่สูงนัก ส่วนที่ยื่นลงไปในทะเลของทิวเขานี้ได้แก่เกาะสมุย และเกาะพงัน ส่วนทางตอนใต้ในจังหวัดต่าง ๆ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ทางด้านตะวันออกมีจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ทางด้านตะวันตกมี จังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล เป็นสันปันน้ำ ทางด้านอ่าวไทย และด้านทะเลอันดามัน

ด้านอ่าวไทย มีลำน้ำตาปี และลำคลองต่าง ๆ ที่ไหลลงทะเลสาบสงขลา
ด้านทะเลอันดามัน มีลำน้ำตรัง

ยอดเขาสูงที่สำคัญได้แก่ เขาหลวง อยู่ทางตะวันตกของ อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช สูง 1,786 เมตร เขาเหม็นอยู่ในเขต อำเภอฉวาง สูง 1,309 เมตร เขาสอยดาวอยู่ในเขต จังหวัดตรัง สูง 993 เมตร

ช่องทางที่สำคัญมีอยู่ 3 ช่องทางคือ ช่องทางรถไฟระหว่างนครศรีธรรมราช ผ่านอำเภอทุ่งสง ไปตรัง ช่องทางระหว่างคอนเนียงไปสตูล เป็นช่องทางถนน

ทิวเขาสันกาลาคีรี

เป็นทิวเขาที่ต่อเนื่องกับทิวเขานครศรีธรรมราช เป็นทิวเขาหินแกรนิต และแยกออกเป็นหลายแนว มีทิศทางขนานกันจากเหนือลงใต้ ตอนย่านกลางมีความสูง ประมาณ 1,500 เมตร ตอนริมทั้งด้านตะวันตก และตะวันออก มีความสูงประมาณ 400 เมตร ทิวเขานี้เริ่มตั้งแต่จังหวัดสตูล ไปสุดในเขตจังหวัดนราธิวาส มีลักษณะลดหลั่นเป็นขั้นบันได ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ กั้นเขตแดนไทยกับมาเลเซียในเขตจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา และนราธิวาสของไทย กับเขตรัฐไทรบุรี ปลิส เปรัค และกลันตันของมาเลเซีย

ช่องทางที่สำคัญคือ ช่องทางถนนและเส้นทางรถไฟ จากหาดใหญ่ไปปาดังเบซาร์ และช่องทางถนนจากยะลาไปเบตง

ยอดเขาสูงเกินกว่า 1,000 เมตร มีอยู่เป็นจำนวนมากประมาณ 14 ยอด มีชื่อเป็นภาษาพื้นเมือง ยอดสูงสุดคือ กุหนุงฮูลูติติบาซาร์ สูง 1,535 เมตร

ทิวเขาสามร้อยยอด

 เป็นทิวเขาหินปูนเตี้ย ๆ สูง ระหว่าง 300-600 เมตร แยกอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทิวเขาตะนาวศรี มีทิศทางขนานกับทิวเขาตะนาวศรี เริ่มต้นจากจังหวัดเพชรบุรีในเขต อำเภอชะอำ ทอดตัวไปทางใต้ ผ่านอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ลงไปเป็นหมู่เกาะต่าง ๆ ในอ่าวประจวบ ฯ ตัวเขาสามร้อยยอดแท้ ๆ อยู่ชิดกับชายฝั่งอ่าวไทย บริเวณใต้อำเภอปราณบุรี

ระบบการระบายน้ำ

ภาคใต้เป็นภาคที่มีฝนตกมาก ทั้งในด้านปริมาณฝน และระยะเวลาที่ฝนตก จากรูปร่างของพื้นที่ ซึ่งแคบและยาว มีทิวเขาอยู่ในย่านกลางเป็นส่วนมาก เว้นตอนกลางของภาคที่มีทิวเขาขนานกันสองทิวคือ ทิวเขาภูเก็ต และทิวเขานครศรีธรรมราช ดังนั้นน้ำจึงไหลลงฝั่งทะเลทั้งสองฟาก ตามแนวลำธารด้วยลักษณะที่ไหลเชี่ยวมากในตอนต้นน้ำ เมื่อไหลลงสู่ที่ราบชายฝั่ง หรือในลุ่มน้ำกว้าง ๆ จึงไหลช้าลงก่อนไหลลงสู่ทะเล ลำน้ำโดยทั่วไปเป็นลำน้ำสายสั้น ๆ ไม่กว้างมากนัก แบ่งออกได้เป็นสองพวกตามทิศทางการไหลลงสู่ทะเลคือ

ลำน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทรอินเดีย มีลำน้ำกระหรือลำน้ำปากจั่น และลำน้ำตรัง เป็นลำน้ำที่อยู่ทางซีกตะวันตกของทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขาภูเก็ต และทิวเขานครศรีธรรมราช



ลำน้ำกระหรือลำน้ำปากจั่น

ยาวประมาณ 120 กิโลเมตร ต้นน้ำเกิดจากแควสองสายคือ แควกระน้อย และแควงาน แล้วไหลผ่านเขตอำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร ไปทางทิศตะวันตกผ่านอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ลงสู่อ่าวระนอง

- แควกระน้อย ต้นน้ำเกิดจากภูเขาชั้นบนในทิวเขาตะนาวศรี แควนี้นับว่าเป็นตัวลำน้ำกระด้วย ใช้เป็นเส้นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า
- แควงาน ต้นน้ำเกิดจากภูเขาคลองกุ่นในเขตพม่า แล้วไหลมาบรรจบแควกระน้อย ที่บ้านน้ำทูน

ลำน้ำกระโดยทั่วไปตอนต้นน้ำไหลผ่านไปตามซอกเขา และหุบเขาแคบ ๆ ตอนกลางไหลผ่านพื้นที่เป็นเนินและที่ราบ ตอนปลายไหลผ่านหุบเขาอีกครั้งหนึ่ง พื้นท้องน้ำเป็นทราย มีเกาะแก่งอยู่หลายแห่ง ฝั่งลำน้ำทางด้านตะวันตกสูงกว่าทางฝั่งไทย และมีลักษณะเป็นทิวเขาตลอด ส่วนฝั่งตะวันออกเป็นทิวเขาต่ำกว่า และเป็นเนิน

ลำน้ำกระ มีสาขาที่สำคัญทางด้านฝั่งตะวันออกคือ

- ลำน้ำจั่น ต้นน้ำเกิดจากเขาทางเหนือของทิวเขาภูเก็ต แล้วไหลไปทางทิศตะวันตก ไปบรรจบลำน้ำกระที่บ้านปากจั่น
- ลำน้ำลำเลียง เกิดจากภูเขาขานาง แล้วไหลไปทางทิศตะวันตก ไปบรรจบลำน้ำกระในเขตบ้านกาลาม
- คลองละอุ่น เกิดจากทิวเขาตะนาวศรี แล้วไหลไปทางทิศเหนือ ผ่านเขตอำเภอละอุ่น แล้วไหลวกไปทางทิศตะวันตก ไปบรรจบลำน้ำปากจั่นที่บ้านเขาฝาชี

ลำน้ำปากจั่นสามารถเดินเรือทะเลเข้าไปได้ถึงปากคลองละอุ่น ประมาณ 80 กิโลเมตร จากปากน้ำ สำหรับเรือยนต์ขนาดใหญ่เดินได้ถึง อำเภอกระบุรี

ลำน้ำตรัง

ยาวประมาณ 135 กิโลเมตร มีน้ำตลอดปี ให้น้ำหล่อเลี้ยงพื้นที่ได้มากที่สุดในภาคใต้ เพราะมีแควต่าง ๆ ไหลมาบรรจบมากสายด้วยกัน ต้นน้ำเกิดจากเขาเหม็นในทิวเขานครศรีธรรมราช ไหลผ่านเขต อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอห้วยยอด และอำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ไหลลงสู่ทะเลอันดามัน ที่อ่าวตรัง

ลำน้ำตรังมีน้ำเชี่ยวมากในฤดูฝน ที่ปากน้ำมีสันดอน ทำให้เรือเดินทะเลแล่นเข้าสู่ลำน้ำไม่ได้ เรือที่ผ่านได้ต้องกินน้ำลึกน้อยกว่า 2 เมตร และแล่นเข้าไปได้ถึงบ้านควนธานี อำเภอกันตัง ส่วนเรือยนต์ขนาดกลางเดินได้ถึง อำเภอเมืองตรัง การเดินทางต่อไปต้องใช้เรือถ่อ ซึ่งมีขนาดกว้าง 3 เมตร ยาว 10 เมตร จึงจะเดินได้ถึงอำเภอห้วยยอด

ลำน้ำที่ไหลลงสู่อ่าวไทย ได้แก่ ลำน้ำที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทิวเขาตะนาวศรี ทิวเขาภูเก็ต และทิวเขานครศรีธรรมราช มีลำน้ำที่สำคัญอยู่ 7 สายด้วยกันคือ

ลำน้ำชุมพร

หรือคลองท่าตะเภา ยาวประมาณ 100 กิโลเมตร กว้างประมาณ 50 - 120 เมตร ต้นน้ำประกอบด้วย แควสองสายคือ ห้วยท่าแซะ และคลองรัพโร
- ห้วยท่าแซะ เป็นแควสายตะวันออก เกิดจากทิวเขาตะนาวศรี บริเวณตะวันตกของ อำเภอบางสะพานน้อย แล้วไหลลงไปทางทิศใต้ มีคลองบางทะลายไหลมาบรรจบที่ ตำบลท่าเงาะ แล้วไหลไปรวมกับคลองรัพโรที่ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร

ลำน้ำตาปี

เป็นลำน้ำใหญ่สายหนึ่งในภาคใต้ มีลุ่มน้ำกว้างขวางอยู่ในพื้นที่ราบระหว่างทิวเขาภูเก็ต กับทิวเขานครศรีธรรมราช ลำน้ำตาปียาว ประมาณ 380 กิโลเมตร ต้นน้ำเกิดจากแควใหญ่สองแควคือ แควคีรีรัฐ และแควหลวง

แควคีรีรัฐ เป็นแควสายตะวันตก ได้รับน้ำจากลำห้วยหลายสาย ซึ่งเกิดจากเขาหลังคาตึก เขาตะกั่วป่า เขาแหยง และเขากะทะคว่ำ ในทิวเขาภูเก็ต มีลำห้วยที่ไหลมาบรรจบได้แก่ คลองแอ จากเขาหลังคาตึก และคลองโสก จากเขาตะกั่วป่า ลำห้วยทั้งสองไหลมาบรรจบแควคีรีรัฐที่บ้านท่าขนอน จากนั้นแควคีรีรัฐก็ขยายใหญ่ออก แล้วไหลไปทางทิศตะวันออก ไปรวมกับแควแม่น้ำหลวงที่บ้านท่าข้าม เรือกลไฟขนาดเล็กเดินได้ในฤดูน้ำ

แควหลวง เป็นแควสายใต้ ซึ่งมีขนาดใหญ่และยาวมาก ได้รับน้ำจากลำห้วยหลายสายทางด้านทิศใต้และทิศตะวันตกคือ

- คลองยาว เกิดจากภูเขาล้อมและเขาพนมเบญจา ในทิวเขาภูเก็ต แล้วไหลไปทางทิศเหนือถึงบ้านข้าวโพด แล้วไหลวกมาทางทิศตะวันออก ไปบรรจบแควหลวงที่บ้านไฟตา
- คลองอีปัน เกิดจากเขาพนมเบญจา แล้วไหลไปทางทิศเหนือ ไปบรรจบคลองยาวที่บ้านพาน
- คลองอีพัน เกิดจากเขาสามจอม แล้วไหลไปทางทิศเหนือไปบรรจบแควหลวงที่บ้านปากน้ำ
- คลองแม่น้ำ เกิดจากเขากระเบียด แล้วไหลไปทางทิศใต้ มารวมกับลำห้วยซึ่งเกิดจากเขาหลวง เขาเหม็น ที่อำเภอฉวาง เป็นแควหลวงต่อไป
- คลองหลวง ไหลไปทางทิศเหนือ ไปรวมกับแควคีรีรัฐที่บ้านท่าข้าม แล้วกลายเป็นลำน้ำตาปี แควหลวงใช้เดินเรือขนาดเล็ก และใช้ได้เฉพาะฤดูน้ำเท่านั้น

ลำน้ำตาปี แม้จะเป็นลำน้ำใหญ่ แต่ท้องน้ำตื้นมาก ในฤดูแล้ง (มี.ค. - ส.ค.) น้ำจะลึกเพียง 2 เมตร อาจใช้เรือขนาดเล็กเดินได้ถึงบ้านอารักษ์ (ประมาณ 80 กิโลเมตร จากปากน้ำ) ในฤดูน้ำเรือเดินได้ถึง อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ลำน้ำปัตตานี

เป็นลำน้ำในแถบใต้สุด ยาวประมาณ 180 กิโลเมตร ต้นน้ำเกิดจากเขาอูลูตีตีบาซา และเขามิติบาซาในทิวเขาสันกาลาคีรีในเขา อำเภอเบตง จังหวัดยะลา ในตอนต้นน้ำจากอำเภอเบตง ถึงอำเภอบันนังสตาร์ ลำน้ำนี้จะไหลอยู่ในหุบเขา และมีคลองยะฮา ซึ่งเป็นแควเล็ก ๆ ไหลจากทิศตะวันออก มาบรรจบที่บ้านกำปงโยะ และคลองดอนไหล จากเขามูดีบาซา ทางทิศตะวันตก มาบรรจบทางทิศใต้ของอำเภอบันนังสตาร์ จากนั้นได้ไหลต่อไปทางทิศเหนือ ผ่านเขตจังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี ลงสู่อ่าวไทยที่อ่าวปัตตานี จากบริเวณบ้านกุระ ลำน้ำปัตตานีแยกออกเป็นสองสาขา สาขาทางด้านทิศตะวันตก ไหลลงสู่ที่หล่มชายฝั่ง บริเวณคลองท่าเรือ ส่วนตัวลำน้ำปัตตานีไหลลงสู่ทะเลทาง อำเภอเมืองปัตตานี ทางด้านทิศตะวันตกของแหลมโพธิ์

ลำน้ำปัตตานี เป็นลำน้ำขนาดเล็กและตื้นเขิน มีสันดอนที่ปากน้ำ ทำให้เรือกลไฟแล่นเข้าไปในลำน้ำไม่ได้ คงใช้ได้เฉพาะเรือขนาดเล็ก จากปากน้ำ ผ่านอำเภอเมืองปัตตานี อำเภอยะรัง อำเภอเมืองยะลา เรือขนาดเล็กเดินได้ตลอดปี จากอำเภอบันนังสตาร์ ไปถึงอำเภอเบตง ก่อนมีเขื่อนรัชประภา (บางลาว) ใช้ได้เฉพาะเรือแจว เฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น

ลำน้ำสายบุรี (สุไหงตาลุบัน)

เป็นลำน้ำที่ขนานกับลำน้ำปัตตานี อยู่ทางด้านตะวันออก ต้นน้ำเกิดจากทิวเขาโบริง และภูเขาลีเปในทิวเขาสันกาลาคีรี ในเขตอำเภอโต๊ะโม๊ะ จังหวัดนราธิวาส แล้วไหลไปทางทิศเหนือ ผ่านเขตอำเภอรือเซาะ อำเภอรามัน อำเภอสายบุรี ไหลลงสู่ทะเลที่บ้านปากบาง อำเภอสายบุรี

ลำน้ำสายบุรี ยาวประมาณ 170 กิโลเมตร มีน้ำตลอดปี น้ำลึกเป็นช่วง ๆ ตลิ่งสูง ลำน้ำคดเคี้ยวมาก ตอนต้นน้ำจะไหลอยู่ในซอกเขา จนถึงอำเภอรือเซาะ จึงเริ่มไหลลงสู่ที่ราบ เมื่อถึงบ้านปากหอย จึงไหลไปทางทิศตะวันออก แล้วแยกออกเป็นสองสาย สายเหนือเรียกว่าคลองตาปิง ไหลผ่านอำเภอสายบุรี ลงสู่ทะเลที่บ้านปากบาง สายใต้ไหลผ่านบ้านกอตอ ลงสู่ทะเลที่บ้านท่าช้าง ลำน้ำนี้ใช้เรือขนาดย่อมเดินได้ถึง อำเภอรือเซาะได้ตลอดปี

ลำน้ำโกลก (สุไหงโกลก)

เป็นลำน้ำสายเล็ก และสั้น แต่มีความสำคัญในฐานะที่ใช้เป็นพรมแดนไทย กับมาเลเซีย ต้นน้ำเกิดจากเขาลีเปในทิวเขาสันกาลาคีรี ในเขตอำเภอโต๊ะโม๊ะ ตอนต้นน้ำลำน้ำไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านเขตอำเภอแว้ง อำเภอสุไหงโกลก จนถึงบ้านลิปางัน ลำน้ำได้แยกออกเป็นสองสาย สายตะวันตก ได้แก่ ลำน้ำบางนรา ไหลขนานกับฝั่งทะเลไปออกทะเลที่จังหวัดนราธิวาส มีแควจากเขาตาแว ไหลมาบรรจบที่บ้านคาย สายตะวันออกคือตัวลำน้ำโกลก ไหลต่อไปทางเหนือไปออกสู่ทะเลที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ลำน้ำโกลกเต็มไปด้วยเกาะแก่ง จึงใช้เดินเรือไม่ได้เลย

ทะเลสาบ หนองน้ำ และที่ลุ่มหล่ม

ภาคใต้มีทะเลสาบ และที่ลุ่มหล่มขังน้ำอยู่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่มีอยู่ทางแถบตะวันออกของภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางตะวันออกของทิวเขานครศรีธรรมราช และในบริเวณที่ใกล้ชายฝั่งทะเล

ทะเลสาบสงขลา

เป็นทะเลสาบแห่งเดียวในประเทศไทย อยู่ในพื้นที่ระหว่างทิวเขานครศรีธรรมรา ทางด้านตะวันตก และอ่าวไทยทางด้านตะวันออก อยู่ในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา แบ่งออกได้เป็น สองตอนคือ

ทะเลหลวง

เป็นตัวทะเลสาบสงขลาที่แท้จริง มีบริเวณกว้างใหญ่ มีความยาวประมาณ 80 กิโลเมตร และกว้างสุดประมาณ 25 กิโลเมตร ตอนกลางเป็นตอนแคบ ๆ จากปากพยูน ลงมาทางใต้ถึงแหลมจาก จึงแบ่งทะเลหลวงออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นทะเลสงขลา และส่วนที่เป็นทะเลหลวงพัทลุง ทะเลหลวงได้รับน้ำจากแควต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากทิวเขานครศรีธรรมราช เช่น คลองพระในเขตจังหวัดพัทลุง คลองพันทราย คลองป่าบน และคลองรัตภูมิ จากเขาสังเวียน คลองอู่ตะเภา จากทิวเขาชินาในทิวเขานครศรีธรรมราช กับเขาติงกีและเขากะท้อนในทิวเขาสันกาลาคีรี ทะเลหลวงมีช่องทางออกทะเลจีนที่ตำบลแหลมทราย ในเขตอำเภอเมืองสงขลา

ทะเลน้อย

มีขนาดเล็กกว่าทะเลหลวง อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอำเภอเมืองพัทลุง ทางด้านเหนือของทะเลหลวง ติดต่อกับทะเลหลวงใต้ ตามพื้นที่หล่มโคลนซึ่งกั้นอยู่ จากทะเลน้อยมีคลองควน คลองท่าเสม็ด และคลองปากพนัง ต่อขึ้นไปทางเหนือ ออกสู่อ่าวไทยในเขตอำเภอปากพนัง บริเวณสองฟากของคลองควน และคลองท่าเสม็ด เป็นบริเวณพื้นที่ลุ่มหล่ม ยาวจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือ ยาวประมาณ 30 กิโลเมตร กว้างประมาณ 15 กิโลเมตร

ทะเลสาบสงขลา สามารถใช้เรือขนาด 40-50 ตันเดินไปมาได้ และสามารถทะลุออกไปทางอำเภอปากพนังได้ด้วย

ฝั่งทะเล

ภาคใต้มีฝั่งทะเลทั้งสองด้าน คือด้านอ่าวไทยและด้านมหาสมุทรอินเดีย ฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย (ฝั่งตะวันตก) เริ่มตั้งแต่ก้นอ่าวไทยไปทางทิศใต้จนถึง จังหวัดนราธิวาส มีความยาวประมาณ 1,250 กิโลเมตร เป็นชายฝั่งทะเลที่ไม่เว้าแหว่งมากนัก แต่ก็มีอ่าวพอที่จะใช้เป็นท่าจอดเรือได้หลายแห่งด้วยกัน เช่นบริเวณเกาะพงัน และเกาะสมุย ตรงหน้าอ่าวบ้านดอน และบริเวณทะเลสาบสงขลา เป็นต้น

ลักษณะชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่จะเป็นทรายและกรวด มีลักษณะเป็นฝั่งลาด และเป็นหาดยาว ๆ สลับกับแถบที่เป็นหน้าผาชั้นบ้างเล็กน้อย มีส่วนที่เป็นชายฝั่งเลน อยู่ตามปากลำน้ำสายยาว ๆ เช่นบริเวณก้นอ่าวไทย จนถึงจังหวัดเพชรบุรี บริเวณปากน้ำชุมพร ปากน้ำหลังสวน อ่าวบ้านดอน ปากพนัง และบริเวณอ่าวปัตตานี

ภูมิประเทศบริเวณชายฝั่ง ประกอบด้วยป่าโกงกาง สลับกับบริเวณป่าสน และหินผาโดยทั่วไป

เกาะตามบริเวณชายฝั่งมีอยู่มากพอสมควร มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่อยู่เป็นกลุ่ม คือ บริเวณหน้าอ่าวประจวบ บริเวณอ่าวชุมพร และบริเวณอ่าวบ้านดอน ตอนใต้ของอ่าวบ้านดอนลงไป มีเกาะอยู่เพียงเล็กน้อย เกาะค่อนข้างใหญ่จะอยู่บริเวณอ่าวบ้านดอน เช่นเกาะเต่า เกาะที่สำคัญคือ เกาะพงัน และเกาะสมุย

ฝั่งทะเลด้านมหาสมุทรอินเดีย เริ่มตั้งแต่ปากลำน้ำกระลงมาทางทิศใต้จนถึง จังหวัดสตูล มีความยาวประมาณ 740 กิโลเมตร ชายฝั่งมีลักษณะเว้าแหว่ง และมีเกาะแก่งมากมาย ซึ่งมีลักษณะต่อเนื่องมาจากบริเวณก้นอ่าวมะตะบันในเขตพม่า แม้จะมีอ่าวอยู่หลายแห่งเช่น อ่าวระนอง อ่าวเป็ดน้ำ (ในเขตจังหวัดพังงา) อ่าวกระบี่ อ่าวบ่อฝรั่ง อ่าวต้นเคียน (ในเขตจังหวัดตรัง) และอ่าวเล็ก ๆ รอบ ๆ เกาะภูเก็ต แต่อ่าวดังกล่าวทั้งหมด ยังหาท่าเรือที่ดีๆ ได้ยาก จะมีใช้ได้ก็บริเวณเกาะภูเก็ตเท่านั้น

ลักษณะชายฝั่งเป็นชายฝั่งที่เป็นโคลนเลน มีป่าไม้จำพวกโกงกางอยู่หนาแน่น และกว้างขวางกว่าทางด้านอ่าวไทย

เกาะต่าง ๆ บริเวณชายฝั่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก และเป็นเกาะขนาดใหญ่อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ได้แก่ เกาะช้าง เกาะพยาม เกาะขานใหญ่ เกาะรา เกาะสีโมยา เกาะปู เกาะลันตาใหญ่ เกาะไห เกาะมุกข์ เกาะกระดาน เกาะลิบง เกาะสุคน และเกาะตะรุเตา โดยอยู่ในระยะน้ำลึกประมาณ 10 - 15 เมตร สำหรับเกาะใหญ่ ซึ่งอยู่ห่างฝั่งออกไป และมีระดับน้ำลึกมีไม่มากนัก เช่น เกาะสินธารา หมู่เกาะสิมิลัน หมู่เกาะรายา และหมู่เกาะราไว ในบรรดาเกาะเหล่านี้เกาะที่สำคัญที่สุดได้แก่เกาะภูเก็ต

พื้นที่ราบ

ส่วนมากเป็นพื้นที่ราบชายฝั่งทะเล ซึ่งมีภูเขาและที่สูงอยู่ภายใน จึงเป็นที่ราบแคบ ๆ และยาวไปตามฝั่งทะเล บางตอนจะมีทิวเขากั้นแบ่งออกจากกันเป็นตอน ๆ ที่ราบเหล่านี้จะมีอยู่ทั้งสองด้านฝั่งทะเล ที่ราบที่สำคัญได้แก่

ที่ราบสุราษฎร์ธานี

เป็นที่ราบผืนใหญ่ที่สุดของภาคใต้ อยู่ระหว่างทิวเขานครศรีธรรมราช กับทิวเขาภูเก็ตกับภูเขาโดด ๆ เรียงรายเป็นหย่อมอยู่ทางใต้ มีพื้นที่กว้างขวาง ตอนกลางมีลำน้ำตาปีกับลำน้ำคีรีรัฐหล่อเลี้ยงให้ เป็นย่านกสิกรรมอันสำคัญของภาคใต้ มีทางออกสู่ทะเลที่อ่าวบ้านดอน

ที่ราบพัทลุง

เป็นที่ราบชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของทิวเขานครศรีธรรมราช และในบริเวณชายฝั่งทะเลสาบสงขลา มีลำน้ำหลายสายซึ่งไหลจากทิวเขาไปทางตะวันออก ลงสู่ทะเลสาบสงขลา พื้นที่ราบพัทลุงมีความยาวไปตามทะเลสาบสงขลา ประมาณ 80 กิโลเมตร และกว้างประมาณ 30 กิโลเมตร พื้นที่จะลาดจากทิวเขานครศรีธรรมราช (บริเวณเขาถ้ำเสือ เขาผีปัน เขาหลวง และเขาสังเวียน) ลงสู่ทะเลสาบสงขลา บริเวณนี้จึงเป็นพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง

ที่ราบปัตตานี

เป็นที่ราบตอนใต้สุดภาคชายแดนไทย อยู่ระหว่างทิวเขาสันกาลาคีรี กับฝั่งทะเล มีลำน้ำหลายสายไหลมาหล่อเลี้ยง จากทิวเขาสันกาลาคีรี ซึ่งเป็นพรมแดนด้านใต้ของไทยกับมาเลเซีย ลงสู่ชายฝั่งทะเลทางทิศเหนือ เฉพาะลำน้ำที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ลำน้ำเทพา ลำน้ำปัตตานี ลำน้ำสายบุรี และลำน้ำนราธิวาส พื้นที่ราบปัตตานีทอดยาวไปตามฝั่งทะเล จากบริเวณเขาแดน เขาควนพัง ทางใต้ของลำน้ำสะกอบไปจนจดลำน้ำโกลก มีความยาวประมาณ 100 กิโลเมตร กว้างอยู่ระหว่าง 25 ถึง 60 กิโลเมตร จึงเป็นแหล่งกสิกรรมอีกแห่งหนึ่งของภาคใต้

นอกจากที่ราบผืนใหญ่ ๆ ทั้งสามแห่งดังกล่าวแล้ว ยังมีพื้นที่ราบชายทะเลผืนเล็ก ๆ แคบ ๆ ประกอบด้วยลำน้ำสายสั้น ๆ อยู่ตอนกลาง ที่ราบเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปทั้งสองภาค เช่น บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สงขลา ตรัง และสตูล

สภาพลมฟ้าอากาศ

ภาคใต้เป็นบริเวณที่ผิดแปลกไปจากภาคอื่น ๆ ที่กล่าวมาแล้ว โดยที่เป็นพื้นที่ที่อยู่ระหว่างทะเล และตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มากกว่าภาคอื่นของไทย จึงจัดเข้าอยู่ในจำพวกแถบร้อนฝนชุก ทำให้มีอุณหภูมิสูง และฝนตกมากตลอดปี เพราะอยู่ในย่านมรสุมทั้งสองทิศทาง จนได้ฉายาว่าเป็นภาคฝนแปดแดดสี่ คือมีฝนแปดเดือน มีแดดสี่เดือน ไม่มีฤดูหนาว

อุณหภูมิในภาคใต้แม้จะอยู่ในเกณฑ์สูง แต่ก็มีความผันแปรของอุณหภูมิตลอดปีเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามทางฝั่งตะวันออกจะมีอุณหภูมิผันแปรมากกว่าฝั่งตะวันตก

ภาคใต้เป็นพื้นที่ซึ่งมีฝนมากที่สุดของประเทศไทย และอยู่ในเขตฝนตกชุกของโลกด้วย ประมาณฝนเฉลี่ยประมาณปีละ 2,627 มิลลิเมตร ส่วนใหญ่เป็นฝนมรสุม และมีฝนภูเขาและฝนพายุหมุนมาผสมด้วย มีฝนตกเฉลี่ยปีละประมาณ 170 วัน ฝนจะเบาบางในช่วงเดือนมกราคม ถึงมีนาคม การแผ่กระจายของฝน จะมีปริมาณมากน้อยกว่ากันตามลักษณะภูมิประเทศ กล่าวคือในแถบฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตก จะมีปริมาณฝนเฉลี่ยปีละ 3,300 มิลลิเมตร เคยตกมากที่สุดถึง 6,606 มิลลิเมตร ที่อำเภอตะกั่วป่า เมื่อปี พ.ศ. 2458 ทางด้านนี้ฝนจะตกชุกในระหว่างเดือน พฤษภาคม ถึง พฤศจิกายน ส่วนทางฝั่งด้านทิศตะวันออก จะมีฝนน้อยกว่าเล็กน้อย และจะตกชุกในช่วงเดือน ตุลาคม ถึง ธันวาคม และยังอาจมีฝนจากพายุหมุนมาเพิ่ม ปริมาณฝนในพื้นที่ระหว่าง จังหวัดชุมพร ถึง สงขลา ทำให้เกิดน้ำท่วมได้บ่อย ๆ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย