ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
ภาษาบาลี
ภาษาบาลี หรือภาษามคธ เป็นภาษาของชาวชมพูทวีป
ปัจจุบันนี้เรียกว่า อินเดีย
ภาษาบาลีเป็นภาษาของชาวอินเดียโบราณที่เขาใช้พูดกันเมื่อสมัย 2,000 ปีล่วงมาแล้ว
ทุกวันนี้ชาวอินเดียเลิกพูดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น
ภาษาบาลีก็ยังแทรกปนอยู่กับคำพูดสมัยใหม่ของชาวอินเดียมากมายไม่ใช่เขาเลิกทิ้งหมดจริงๆ
เมื่อพระบรมศาสดาได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา
ทรงเสด็จเที่ยวสั่งสอนประชาชนในยุคนั้น
พระองค์ทรงใช้ภาษามคธเผยแผ่พระสัทธรรมคำสอนให้แก่ประชาชนในสมัยนั้นได้รู้
ได้ตรัสรู้ตาม เพราะภาษามคธ หรือภาษาบาลี
เป็นภาษาที่มีระเบียบแบบแผนไม่ยุ่งยากซับซ้อนเหมือนภาษาสันสกฤตที่ใช้อยู่ในยุคนั้น
ทั้งเป็นภาษาที่ชาวแคว้นมคธใช้ติดต่อสื่อสารกันอยู่แล้ว ดังนั้น
ภาษามคธจึงได้รับการยกย่องไว้ 4 ฐานะ คือ
- สัมพุทธโวหารภาษา คือภาษาอันเป็นโวหารของพระพุทธเจ้า
- อริยโวหารภาษา คือภาษาอันเป็นโวหารของพระอริยเจ้า
- ยถาภุจจโวหารภาษา คือภาษาสำหรับบันทึกสภาวะธรรม
- บาลีภาษา คือภาษาที่รักษาพระพุทธพจน์ไว้
เพราะเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ 4 ณ แคว้นมคธ
และพระองค์ทรงเที่ยวเสด็จจาริกแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทในแคว้นต่างๆ นั้น
ส่วนมากจะเสด็จจาริกอยู่ในสองแคว้นคือ โกศล และมคธ
ในสมัยนั้นพระเจ้าแผ่นดินผู้ปกครองแคว้นมคธ ก็มีพระเดชานุภาพยิ่งใหญ่
ทั้งชาวมคธต้องมีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจภาษามคธเป็นอย่างดีด้วย
จึงสามารถเข้าใจภาษามคธที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอันเป็นภาษาที่เข้าใจและใช้กันอยู่
ฉะนั้นในสัมโมหวิโนทนีอัฏฐกถาวิภังค์ จึงได้บัญญัติไว้ว่า
แม้พระพุทธองค์เมื่อทรงตรัสพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎกตามระเบียบแห่งบาลี
พระองค์ก็ทรงตรัสด้วยภาษามคธ ซึ่งมีลักษณะของภาษาดังนี้
ภาษามคธนับว่าเป็นภาษาที่สูงกว่าภาษาทั้งหลาย
เพราะสมบูรณ์ด้วยคุณวิเศษและสภาวะนิรุตติ คำว่า สภาวนิรุตติ
หมายถึงเป็นภาษาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงความหมายและอธิบาย
มีอำนาจในการแสดงอรรถและอธิบายได้แน่นอน
เป็นภาษาที่ผู้วิเศษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงใช้อยู่ หรือสภาวนิรุตติ
หมายถึงเป็นภาษาที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เสื่อม ตั้งอยู่โดยปกติ
ส่วนภาษาอื่นเมื่อถึงกาลเวลาหนึ่งย่อมเปลี่ยนแปลงและเสื่อมได้ สำหรับภาษามคธแล้วจะไม่มีการเปลี่ยน
แปลง หรือเสื่อมสลายก็เป็นเพราะผู้ศึกษา ผู้แสดง ผู้สอน เรียนผิด แสดงผิด และสอนผิด เท่านั้นเองภาษามคธเป็นมูลภาษา ภาษามคธจัดเป็นภาษาของมนุษย์ในยุคแรกของโลก เพราะเมื่อโลกถึงการแตกสลาย พรหมโลกมิได้ถึงการแตกสลายไปด้วย ฉะนั้น พรหมโลกจึงตั้งอยู่ตามสภาพเดิม โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง มนุษย์ในยุคแรกของโลกนั้นเป็นผู้จุติมาจากพรหมโลกด้วยอุปาทปฏิสนธิ มนุษย์ดังกล่าวนั้นพูดภาษามคธซึ่งเป็นภาษาที่ใช้กันในพรหมโลก ฉะนั้น ในคัมภีร์รูปสิทธิจึงแสดงไว้ว่าในบัญชีผู้พูดภาษามคทั้งหลายมีชื่อมนุษย์ยุคแรกของโลกด้วย ภาษามคธจึงนับได้ว่าเป็น มูลภาษา อันถือว่าเป็นต้นกำเนิดของภาษาทั้งหลาย และได้พบเห็นการใช้ภาษามคธ หรือภาษาบาลีว่า มูลภาษา
คำสอนของพระพุทธองค์เรียกว่า พระธรรมวินัยบ้าง พระพุทธพจน์บ้าง ซึ่งเหล่าสาวกทรงจำบอกกล่าวด้วยระบบวิธี มุขปาฐะ คือการทรงจำแสดงและบอกกล่าวด้วยปากเปล่า อันเป็นประเพณีนิยมในสมัยนั้น สงฆ์สาวกในยุคต่างๆ ก็จดจำหมวดธรรม หมวดวินัย ที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ได้อย่างแม่นยำ จนเกิดสำนักของพระผู้ทรงธรรม และพระผู้ทรงพระวินัย ภายหลังเมื่อพระพุทธองค์ ได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระกัสสปะ เป็นต้น ได้ประชุมพระอรหันต์ 500 รูป เพื่อรวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัยของพระองค์และคำสอนของพระสาวกเป็นต้นไว้ อันเป็นบ่อเกิดคัมภีร์ทางศาสนาต่อมา คือ พระไตรปิฎก และเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่อนุพุทธยุคหลังได้เรียนรู้และเข้าใจง่าย พระมหาเถระทั้งหลายผู้รู้พุทธาธิบายจึงได้รจนาคัมภีร์ อรรถกถา ฎีกา บาลี อนุฎีกา ซึ่งเป็นภาษาที่บันทึกคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั้น คือ ภาษาบาลี
คัมภีร์ไวยากรณ์เดิมที่ใช้ศึกษาเล่าเรียนกันมาแต่โบราณคือคัมภีร์ มูลกัจจายน์ ซึ่งพระมหากัจจายนเถระผู้ทรงดำรงอยู่ในตำแหน่งเอตทัคคะในการอธิบายความให้พิสดารได้รจนาคัมภีร์นี้ เพื่อให้นักศึกษาได้ศึกษาเล่าเรียนกันในส่วนบาลี หรือภาษามคธ ทั้งนี้เพราะเป็นภาษาที่ใช้เผยแผ่พระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล และเป็นภาษาท่องบ่นสาธยายทรงจำพระพุทธวจนะ หรือพระธรรมวินัยมาแต่สมัยพุทธกาลเช่นเดียวกัน เป็นเวลาหลายศตวรรษ
เมื่อพุทธศาสนาได้เสื่อมจากประเทศอินเดียไปเจริญรุ่งเรืองอยู่ในเกาะลังกา ประชาชนชาวเกาะลังกาได้มีความเลื่อมใสต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก แต่มีคนจำนวนน้อยที่เข้าใจภาษามคธ ส่วนมากแล้วเข้าใจภาษาสิงหลมากกว่า ดังนั้นผู้ที่ฉลาดในภาษาจึงแปลหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาให้เป็นภาษาสิงหล เพื่อให้ง่ายต่อการสั่งสอนแก่ประชาชนในเกาะลังกานั้น ต่อมาในสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย พระสงฆ์ในเกาะลังกาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าพระพุทธวจนะที่ถ่ายทอดกันมาโดยวิธีท่องจำนั้น อาจจะขาดตกบกพร่องได้ในภายภาคหน้า เพราะผู้สามารถจดจำได้มีเหลือน้อยลงประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นกำลังอยู่ในความไม่สงบ เพราะเกิดศึกยืดเยื้อระหว่างพวกทมิฬกับชาวลังกา จึงได้บันทึกพระไตรปิฎกเป็นลายลักษณ์อักษร
ต่อมาสมัยพระเจ้ามหานามพระพุทธโฆสาจารย์ ได้เดินทางจากประเทศอินเดียไปยังเกาะลังกาเพื่อแปล พระไตรปิฎก พร้อมทั้งอรรถกถา จากภาษาสิงหล เป็นภาษาบาลี เนื่องจากในประเทศอินเดีย มีเพียงพระไตรปิฎก ไม่มีพระอรรถกถา ผลจากการแปลพระอรรถกถาในครั้งนี้ทำให้ได้ ธัมมัปทัฏฐกถา เพิ่มมาอีกด้วย
ผลพวงของภาษาบาลี นี้ที่สำคัญคือเป็นภาษาที่ดิ้นไหลไปตามกระแสความปรารถนาแห่งหัวใจมิได้ โดยเป็นภาษาที่มีระเบียบแบบแผนตายตัวพรั่งพร้อมด้วยหลักไวยากรณ์มี วิภัตติ ปัจจัย กิริยา นาม อาขยาต กิตก์ สมาส ตัทธิต อภิธาน สนธิ สัมพันธ์ และระเบียบลีลาต่างๆ มากมายไม่อาจดิ้นความไปเป็นอื่นได้ จะต้องดำเนินตรงไปตามหลักการไม่ต้องตีความกันเหมือนภาษาอื่นๆ ที่ต้องตีความกันอยู่เสมอ เพราะดิ้นความกันไปได้ ส่วนภาษาบาลีต้องดำเนินไปตามหลักวากยสัมพันธ์ และรูปแบบของภาษาโดยแน่นอนเท่านั้น ดังนั้น ภาษาบาลีจึงเหมาะที่จะคงพระพุทธพจน์ไว้ด้วยประการทั้งปวง