สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ศาสตราจารย์ ดร. ซามูเอ็ล พี. ฮันทิงตัน
3
ส่วนศาสตราจารย์ฮันทิงตันมีความเห็นว่า ทุกความพยายามที่จะสร้างแบบ หรือ model
เพื่ออธิบายการเมืองโลกในช่วงเวลาต่อไปนี้ต่างได้ละเลยที่จะพิจารณาประเด็นเรื่องที่ว่า
น้ำหนักของการเมืองโลกได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยได้ย้ายจาก "โลกตะวันตก"
ไปสู่ดินแดนของอารยธรรมอย่างอื่น ซึ่งเขาหมายถึงดินแดนในเอเซียตะวันออกไกล
และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อมีการพูดถึงคำว่า "อารยธรรม" นั้น
ศาสตราจารย์ฮันทิงตันให้ความหมายว่า เป็นหน่วยทางวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุด
ที่มนุษย์แต่ละคนในวัฒนธรรมเดียวกันจะกำหนดเอกลักษณ์ของตนเองได้ เช่น
การพูดภาษาเดียวกัน มีประวัติศาสตร์เดียวกัน
หรือมีประเพณีความประพฤติปฏิบัติที่ร่วมกัน
ศาสตราจารย์ฮันทิงตันยังมีความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า ในศตวรรษที่ผ่านมา
การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทางเศรษฐกิจและสังคม
ได้ทำให้มนุษย์ในฐานะที่เป็นสัตว์สังคมต้องกลับมาแสวงหา"ความรู้สึกร่วม"อีกครั้งหนึ่ง
และในกรณีเช่นว่านี้
ความรู้สึกต่อรัฐชาติก็ไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการมีเอกลักษณ์ร่วมกันได้
เพราะมนุษย์เรานั้น อาจจะเป็นฝรั่งเศสครึ่งหนึ่ง
และอีกครึ่งหนึ่งอาจจะเป็นอาหรับด้วยก็ได้
แต่ไม่มีทางที่จะรู้สึกเป็นคาโธลิคครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นอิสลามด้วย
ศาสตราจารย์ฮันทิงตันมีความเห็นว่า
ในอนาคตการเมืองโลกจะเป็นเรื่องของปฏิสัมพันธ์ระหว่างอารยธรรมใหญ่เพียง 7 ถึง 8
วัฒนธรรม กล่าวคือ อารยธรรมตะวันตก อิสลาม จีน ญี่ปุ่น ฮินดู สลาฟ
ลาตินอเมริกา(การแบ่งตรงนี้ ศาสตราจารย์ฮันทิงตันก็ไม่มีความแน่ใจนัก
เพราะในประเด็นหนึ่งอาจนับเนื่องได้ว่า ลาตินอเมริกามีอารยธรรมแบบตะวันตก
แต่ในอีกแง่หนึ่ง อารยธรรมของลาตินอเมริกาก็มีการพัฒนาจนมีรูปแบบเฉพาะของตนแล้ว)
และบางทีอาจจะต้องนับอารยธรรมอาฟริกันด้วย
ในสถานการณ์ของโลกในปัจจุบัน
แนวคิดเชิงทฤษฎีของศาสตราจารย์ฮันทิงตันก็ปรากฏให้เห็นเป็นจริงอยู่บ้างแล้ว
หากเราจะลองพิจารณาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกเวลานี้ เช่นที่ในคาบสมุทรบอลข่าน
(เซอร์เบียนซึ่งเป็นคริสต์กับบอสเนียนที่เป็นอิสลาม) การสงครามในเชสเนียน
(ชาวคริสตรัสเซียกับมูจาฮิดินที่เป็นอิสลาม)
ความพยายามของกลุ่มประเทศอิสลามและจีนที่จะ ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์
ความขัดแย้งในเรื่องการค้าระหว่างอเมริกาและญี่ปุ่น
ซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ตามความเห็นศาสตราจารย์ฮันทิงตัน
เส้นแบ่งทางอารยธรรมธรรมที่เป็นอันตรายที่สุด
และมีความเป็นไปได้สูงสุดที่จะเกิดสงครามใหญ่ได้คือ เส้นที่ลากผ่านคาบสมุทรบอลข่าน
ในเทือกเขาคอเคซัส ในเอเซียกลาง ในดินแดนตะวันออกใกล้ และในทวีปอาฟริกาตอนเหนือ
แม้ในทวีปยุโรปเองก็ไม่ปลอดภัยนัก หากจะนึกถึงการสู้รบในยูโกสลาเวีย
การสู้รบระหว่างชาวเซอร์เบียนกับชาวอัลบาเบียน
ความขัดแย้งระหว่างชาวกรีกและชาวตุรกีในไซปรัส
แต่เมื่อมีการนำข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มาร่วมพิจารณาด้วยว่า
ความเลวร้ายสุดขีดในมนุษยชาตินั้นมักเกิดขึ้นภายในวัฒนธรรมเดียวกัน
โดยพวกของตนเองเท่านั้น เช่น
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หลายครั้งหรือการกวาดล้างทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาในอดีต
ล้วนเกิดขึ้นภายในวัฒนธรรมเดียวกันทั้งสิ้น
เช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีต่อชาวยิว การกวาดล้างทางการเมืองของสตาลิน
หรือแม้แต่ในกรณีของเขมรแดง เป็นต้น
หรือการที่สงครามหลายต่อหลายครั้งไม่จำเป็นต้องมีรากฐานมาจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมเสมอไป
หากแต่มาจากความขัดแย้งภายในวัฒนธรรมเดียวกัน
เช่นกรณีของชาวโปรแตสตันและชาวคาโธลิคในไอร์แลนด์เหนือ ชาวฮูตูและชาวตูตซีในราวันดา
หรือกลุ่มทาลิบันและกลุ่มอุเบสเค็นในอาฟกานิสถาน ซึ่งต่างก็เป็นมุสลิมเหมือนกัน
ศาสตราจารย์ฮันทิงตันได้ยอมรับว่า การมองเช่นนั้นอาจมีส่วนถูกเหมือนกัน
แต่ในปัจจุบัน เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่มีวัฒนธรรมเป็นตัวกำหนด
และศาสตราจารย์ฮันทิงตันก็ได้แย้งด้วยว่า เขาไม่ได้สรุปว่า
ข้อขัดแย้งทั้งหมดจะต้องเกิดขึ้นระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
มีข้อขัดแย้งจำนวนมากมายที่เกิดขึ้นภายในวัฒนธรรมเดียวกัน
และก็จะไม่เป็นการแปลกเลยว่า ความร่วมมือระหว่างชาติอิสลาม(คูเวต
และซาอุดีอาราเบีย) และชาติตะวันตก
ในความขัดแย้งกับชาติอิสลามอีกชาติหนึ่ง(อิรัค)ก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
บางครั้งความขัดแย้งหลายๆครั้งก็น่าจะได้รับการพิจารณาว่า
เป็นความขัดแย้งอันเนื่องจากการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ
อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบ่อยครั้งในประวัติศาสตร์