วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>
ทักษะการเขียน
นางสาวชนิดา ภูมิสถิตย์
การเขียนเป็นระบบการสื่อสาร
หรือบันทึกถ่ายทอดภาษาเพื่อแสดงออกซึ่งความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดย
ใช้ตัวหนังสือ และเครื่องหมายต่างๆเป็นสื่อ ดังนั้น การเขียนจึงเป็นทักษะการใช้
ภาษา แทนคำพูดที่สามารถสื่อความหมายให้เป็นหลักฐานปรากฏได้นานกว่าการพูด
การเขียนที่เป็น เรื่องราวเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงตามความมุ่งหมายของผู้เขียนนั้น
จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด
ส่วนสำคัญขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนมีทักษะในการใช้ภาษาเขียนได้ดีเพียงใด
ทักษะการใช้ภาษาเขียน ต้องอาศัย พื้นฐานความรู้จากการฟัง การพูด และการอ่าน
เพราะจากพื้นฐานดังกล่าว จะทำให้มีความรู้ มีข้อมูล และมี
ประสบการณ์เพียงพอที่จะให้เกิดความคิด
ความสามารถในการเรียบเรียงและถ่ายทอดความคิดออกมา
สื่อสารกับผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะในการเขียน : ศาสตร์และศิลป์แห่งการใช้คำ
การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมายเป็นศาสตร์ที่ผู้ใช้ต้องรู้จักคำและเลือกใช้คำให้ถูกต้อง
เหมาะสม ตรง ความหมาย ตรงราชาศัพท์ เหมาะกับกาลเทศะ ไม่ใช้คำซ้ำซ้อน
รู้จักหลบคำโดยไม่เกิดความกำกวม และใช้ คำให้เกิดภาพพจน์
ในการนำคำที่เลือกแล้วมาเรียบเรียงเป็นประโยค เป็นข้อความ ถือเป็นศิลป์แห่งการใช้
คำ ที่มิใช่เพียงแต่สื่อความรู้ความเข้าใจเท่านั้น หากยังสามารถก่อให้เกิดภาพ เสียง
และความรู้สึกได้อีกด้วย
- คำและความหมายของคำ คำในภาษาไทยมีหลายลักษณะ เช่น คำเดี่ยว คำประสม
คำสมาส คำสนธิ นอกจากนี้ยังมีหลายประเภท เช่น คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา
คำวิเศษณ์ คำสันธาน และคำบุพบท
- คำบัญญัติ คือ การสร้างคำหรือกำหนดคำใหม่ขึ้นใช้ในภาษาไทย
เนื่องจากความเจริญก้าวหน้า ทางวิชาการหรือประดิษฐกรรมใหม่
ทำให้เกิดคำศัพท์ที่มักใช้ในวงวิชาชีพ จึงมีความจำเป็นในการ
ใช้ศัพท์บัญญัติเพื่อสื่อความเข้าใจให้ตรงกัน เช่น
- การบัญญัติศัพท์โดยคิดคำไทยขึ้นใหม่ ได้แก่ adapt = ดัดแปลง change = เปลี่ยนแปลง
- การบัญญัติศัพท์โดยการทับศัพท์ตามหลักการออกเสียงของเจ้าของภาษา ได้แก่ Computer = คอมพิวเตอร์ Al Queda = อัล กออิดะห์
- หลักเกณฑ์การเขียนคำทับศัพท์ จะไม่ใส่วรรณยุกต์เพราะคำภาษาต่างประเทศ ถ้าถอดคำตาม ตัวอักษรจะไม่เหมือนการออกเสียง ได้แก่ FORD = ฟอร์ด OTOP = โอท็อป - ราชาศัพท์ คือ คำที่ใช้กับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
ต่อมาจึงใช้รวมถึงพระสงฆ์ ข้าราชการและสุภาพชน ราชาศัพท์
เป็นภาษาที่มีแบบแผนการใช้ นอกจากจะแปรไปตามระดับ
ฐานะของบุคคลแล้วยังแปรไปตามประเภทของคำทางไวยากรณ์อีกด้วย
การใช้ราชาศัพท์ยังมี ข้อยกเว้นอยู่มาก
บางครั้งเป็นพระราชนิยมที่โปรดให้ใช้ในแต่ละยุคสมัย ราชาศัพท์ที่ใช้บ่อย ได้แก่
- ทรง เช่น ทรงกราบ ทรงบาตร ทรงพระราชนิพนธ์ คำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ใช้ ทรง นำหน้า
- เป็น เช่น เป็นพระราชอาคันตุกะ คำนามราชาศัพท์ ไม่ต้องมี ทรง ซ้อนข้างหน้า ทรงเป็นประธาน คำนามสามัญ ต้องมี ทรง ซ้อนข้างหน้า
- เสด็จ เช่น รับเสด็จ ส่งเสด็จ เป็นคำราชาศัพท์ หมายความว่า ท่าน เสด็จพระราชดำเนินไป เป็นคำกริยา ราชาศัพท์ หมายความว่า ไป
- ถวาย เช่น ถวายพระพร ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เป็นคำกริยา หมายความว่า ให้ มอบให้
- องค์ เช่น พระบรมราโชวาท 2 องค์ พระที่นั่งองค์ใหม่ เป็นลักษณะนาม ราชาศัพท์ใช้เรียก อวัยวะ สิ่งของ คำพูด หรือสิ่งที่เคารพบูชาในศาสนา
- พระองค์ เช่น พระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ รู้สึกพระองค์ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ใน ระบอบประชาธิปไตย
- โอกาส เช่น ขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาส ประทานพระวโรกาสให้เข้าเฝ้า โอกาส ใช้ได้ 2 กรณีเท่านั้น คือ ขอโอกาสและให้โอกาส
- ลักษณะนาม คือ คำที่แสดงลักษณะของสิ่งของต่าง ๆ
มีหลักเกณฑ์กำหนดว่าคำนามใดต้องใช้ ลักษณะนามอย่างใด เช่น จังหวัด 3 จังหวัด
ยังไม่ได้รับงบประมาณ ทั้งนี้ คำที่มีความหมายเฉพาะ
บางคำนำลักษณะนามมาใช้ในรูปคำนามวลีจะใช้ตัวอักษรแทนตัวเลข เช่น
สามจังหวัดนี้ยังไม่ได้รับ งบประมาณ สี่กระทรวงหลัก สินค้าห้าดาว
- การเขียนคำย่อ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
- การย่อคำให้ใช้พยัญชนะต้นของพยางค์แรกของคำหลักเป็นตัวย่อ รวมแล้วไม่เกิน 4 ตัวอักษร ใส่จุดกำกับหลังอักษรตัวสุดท้าย เช่น กกต. = คณะกรรมการการเลือกตั้ง ขสมก. = องค์การขนส่ง มวลชนกรุงเทพ
ทั้งนี้ คำย่อที่ใช้กันมาก่อนอาจไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เช่น พ.ร.บ. = พระราชบัญญัติ พ.ศ. = พุทธศักราช
- การใช้คำย่อในงานเขียน ให้ใส่วงเล็บคำย่อไว้หลังคำเต็มในการอ้างถึงคำนั้นครั้งแรก และให้ใช้ คำย่อเมื่อต้องการกล่าวถึงคำนั้นในครั้งต่อๆไป
- การอ่านคำย่อ ให้อ่านคำเต็ม ยกเว้น คำย่อที่คนทั่วไปรู้จักดีแล้ว เช่น ปตท. อ่านว่า ปอ-ตอ-ทอ ก.พ. อ่านว่า กอ-พอ
- สำนวนไทย คือ ถ้อยคำที่กล่าวสืบต่อกันมา มักมีความหมายไม่ตรงตัว
หรือมีความหมายอื่นแฝง อยู่
เมื่อใช้ประกอบข้อความจะทำให้ข้อความนั้นมีลักษณะคมคายน่าสนใจยิ่งขึ้น
สำนวนไทยมีหลาย ประเภท เช่น สำนวน ภาษิต คำพังเพย คำคม และคำอุปมาอุปไมย
- การผูกประโยค ปัญหาที่พบในการเขียนประโยค คือ
การใช้ส่วนขยายผิดที่ทำให้ประโยคไม่ชัดเจน กำกวม การใช้รูปประโยคแบบภาษาอังกฤษ
และการใช้คำภาษาอังกฤษแทนคำภาษาไทย ทั้งนี้ หากประโยคมีความยาวมาก หรือ ซ้ำซ้อน
ควรขึ้นประโยคใหม่ ประโยคประกอบด้วย
- ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีคำกริยาเดียว
- ประโยคความรวม คือ การใช้คำกริยาหลายคำซ้อนกัน
- ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีมากกว่า 1 ใจความ โดยใช้คำเชื่อม เช่น ที่ ซึ่ง อัน ว่า และ ส่วน อย่างไรก็ตามใจความที่เชื่อมกันต้องมีความสัมพันธ์กันด้วย การใช้คำเชื่อมความและเชื่อม ประโยค ได้แก่ กับ แก่ แด่ ต่อ และ หรือ และ/หรือ ที่ ซึ่ง อัน ด้วย โดย ตาม ส่วน สำหรับ เช่น เป็น ต้น ได้แก่ ต้องใช้ให้ถูกต้องเหมาะสม - การเว้นวรรค คือ การเว้นช่องว่างระหว่างคำหรือข้อความ
เพื่อช่วยให้เนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น การ เว้นวรรคผิดที่หรือไม่เว้นวรรคเลย
นอกจากทำให้เนื้อความไม่ชัดเจนยังอาจก่อให้เกิดความเข้าใจ ผิดพลาดได้
- การใช้เครื่องหมายวรรคตอน ที่ใช้บ่อยได้แก่
- ทับ (/) ใช้คั่น ระหว่างคำ มีความหมายว่า ต่อ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
- ไม้ยมก (ๆ) ใช้เขียนหลังคำ วลี หรือประโยคที่เป็นคำซ้ำ เพื่อให้อ่านซ้ำ
- ยติภังค์ (-) ใช้เขียนไว้สุดบรรทัดเพื่อต่อพยางค์ของคำหลายพยางค์ ซึ่งจำเป็นต้องเขียนแยก บรรทัดกัน - การย่อหน้า เป็นลักษณะของวรรคตอนอย่างหนึ่ง ใช้เมื่อขึ้นต้นเรื่อง ข้อความใหม่ และใช้เมื่อ ข้อความนั้นต้องจำแนกแจกแจงหัวข้อเป็นหมวดหมู่เป็นขั้น ๆ ลงไป ซึ่งมักใช้ตัวเลขหรือตัวอักษร กำกับ ลักษณะย่อหน้าที่ดี คือ ต้องมีใจความสำคัญเพียงเรื่องเดียว ในแต่ละย่อหน้าต้องมีส่วนขยาย หรือใจความประกอบเพื่อช่วยให้ใจความสำคัญมีความชัดเจนขึ้นและที่สำคัญ คือ จำกัดความยาว ของย่อหน้าให้พอเหมาะ
ทักษะในการสรุปเรื่องและ/หรือสรุปประเด็น : ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร
ทำไม
การสรุปสาระสำคัญ มี 3 ขั้นตอน คือ
- อ่านทั้งเรื่องให้เข้าใจแจ่มแจ้ง อย่าอ่านผ่าน ๆ อ่านให้จบ อ่านให้ละเอียด ทำความเข้าใจทั้งหมด
- จับใจความสำคัญของเรื่อง ต้องรู้ว่าอะไรเป็นสาระหลัก อะไรเป็นรายละเอียดประกอบ
- สรุปความ ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร ทำไม
การบันทึกความเห็น
- ศึกษาเรื่อง ว่าเป็นเรื่องประเภทใด ขออนุมัติ หรือเสนอเพื่อทราบ ต้องตีความประเด็น ปัญหา ความเป็นมา ข้อเท็จจริง ตลอดจนแนวปฏิบัติ
- จับประเด็นเรื่อง ว่าเป็นเรื่องอะไร มีจุดประสงค์อย่างไร
- วิเคราะห์เรื่อง พิจารณาหลักเกณฑ์ เหตุผล ข้อดีข้อเสีย เสนอความเห็นคาดการณ์ล่วงหน้า พร้อมทั้งแนวทางป้องกัน
- วินิจฉัยเรื่อง ประเมินคุณค่าทางเลือกแต่ละทาง เลือกทางที่เป็นคุณมากที่สุด มีความเสี่ยงน้อย ที่สุด
ทักษะในการเขียนหนังสือราชการ
การเขียนหนังสือราชการ
เป็นการเขียนที่มีรูปแบบตามระเบียบงานสารบรรณของสำนัก นายกรัฐมนตรี
และอาจมีรายละเอียดเพิ่มเติมตามที่แต่ละหน่วยงานกำหนดขึ้นใช้เป็นการภายใน ทักษะจะ
เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน ไม่ใช่จากการฝึกอบรมเพียงอย่างเดียว
รูปแบบ
ส่วนหัวเรื่อง
-
ส่วนอ้างอิง : เป็นการบอกว่าหนังสือมาจากส่วนราชการใด
-
ชื่อเรื่อง : เป็นการบอกเนื้อเรื่องโดยสรุป
-
คำขึ้นต้น : เป็นการบอกว่าหนังสือฉบับนี้ทำถึงใคร
ส่วนเนื้อเรื่อง
-
ความนำ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น
-
เนื้อความ : เป็นสาระสำคัญของเรื่องที่ต้องการสื่อให้ผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ อย่างไร
-คำชี้แจง
-ข้อเท็จจริง
-ข้อพิจารณา
-ข้อยุติ -
จุดประสงค์ : เป็นการสรุปตอนท้ายว่าหนังสือฉบับนี้ต้องการให้มีการอนุมัติ หรือรับทราบ หรือดำเนินการ
ส่วนท้าย
-
คำลงท้าย : เป็นไปตามระเบียบงานสารบรรณ
-
การลงชื่อ : ต้องรู้ตำแหน่ง ยศ ฐานันดรศักดิ์
ภาษา
คือ
การนำถ้อยคำมาเรียบเรียงเป็นประโยคที่มีรูปประโยคเป็นภาษาไทยและถูกต้องตามแบบแผน
ของภาษา กรณีใดควรใช้ภาษาแบบแผน ภาษากึ่งแบบแผน หรือภาษาปาก
-
ถูกต้อง ถูกทั้งความหมาย ราชาศัพท์ ตลอดจนความหลากหลายของคำ เลือกให้เหมาะกับกาลเทศะ
-
ชัดเจน
-
กระจ่างในวัตถุประสงค์ ใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน ใช้คำที่สั้น ตรงจุดมุ่งหมาย ใช้คำหรือวลี ช่วยกระชับความ
-
รัดกุมไม่คลุมเครือ ไม่ใช้คำฟุ่มเฟือย ไม่สร้างความกำกวม ใช้คำที่มีความหมายกว้างแทน การแจกแจง
-
สละสลวยการวางส่วนขยายให้อยู่ติดกับคำที่จะขยาย ใช้คำที่เป็นภาษาระดับเดียวกัน ลำดับความ ก่อนหลังให้ถูกต้อง จัดข้อความที่ต้องการเน้นให้อยู่ในตำแหน่งที่มีน้ำหนัก ใช้คำซ้ำหรือคำคล้องจองช่วย สร้างความสละสลวย ใช้คำโน้มน้าวชักนำ ฯลฯ
-
มีภาพพจน์ ใช้ข้อความที่ขัดแย้งกัน สัมพันธ์กัน เกินจริง หรือเหน็บแนม มาเปรียบเทียบให้ผู้อ่านนึกเห็นภาพ ใช้ประโยคสั้น มีการลำดับเนื้อความก่อนหลัง
-
บรรลุจุดประสงค์และเป็นผลดี เขียนให้ผู้รับหนังสือเข้าใจว่า ผู้มีหนังสือไปต้องการอะไร จะให้ผู้รับหนังสือปฏิบัติอย่างไร และ โน้มน้าวจูงใจให้ผู้รับหนังสือปฏิบัติตาม โดยเป็นผลดีไม่มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดี หรือไม่ ก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรง
เนื้อหา
-
แบบต่อเนื่อง : เขียนเป็นย่อหน้า หน้าละใจความ
-
แบบลำดับตัวเลข : ลำดับขั้น ตอนการดำเนินงาน/การปฏิบัติงาน
-
แบบลำดับกระบวนการ : เรียงลำดับเป็นหัวข้อตามเนื้อเรื่อง
อย่างไรก็ตาม การเขียนเอกสารแต่ละประเภท จะมีรูปแบบและวิธีการในการนำเสนอแตกต่างกัน ออกไป ซึ่งผู้เขียนจำเป็นต้องมีทักษะในการเลือกใช้ และทักษะเกิดได้จากการอ่านมาก ฟังมาก และเขียน มาก ซึ่งจะต้องฝึกฝนอยู่เสมอ จึงจะเขียนให้สื่อสารกันอย่างประสบผลสำเร็จได้
แหล่งข้อมูล :
http://www.kruthacheen.com
http://www.cabinet.thaigov.go.th