ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พญานาคที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
พญานาคมีปรากฎหลายแห่งทั้งในพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาเถรวาทและอรรถกถาดังต่อไปนี้
ในวินัยปิฎก มหาวรรค (4/5/7) กล่าวถึงมุจจลินทนาคราช ความว่าครั้นล่วง 7 วัน
พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้อชปาลนิโครธ
เข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ
ควงไม้มุจจลินท์ตลอด 7 วัน ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว
ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด 7 วัน มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน
ได้แวดวงพระกายพระผู้มีพระภาคด้วยขนด 7 รอบ
ได้แผ่พังพานใหญ่เหนือพระเศียรสถิตอยู่ด้วยหวังใจว่า ความหนาว
ความร้อนอย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด
และสัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค ครั้นล่วง 7 วัน
มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่งปราศจากฝนแล้ว
จึงคลายขนดจากพระกายของพระผู้มีพระภาค จำแลงรูปของตนเป็นเพศมาณพ
ได้ยืนประคองอัญชลีถวายมนัสการพระผู้มีพระภาค ทางเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
ในอรรถกถาพระวินัย สมันตปาสาทิกา มหาวิภังควรรณนา หน้า 202
ในการอรรถาธิบายพระพุทธคุณบทว่า ปุริสทมฺมสารถิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นที่ทรงพระนามว่า ปุริสทมฺมสารถิ
เพราะอรรถวิเคราะห์ว่ายังบุรุษผู้พอจะฝึกได้ให้แล่นไป มีอธิบายไว้ว่าย่อมฝึก
คือแนะนำ สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ก็ดี มนุษย์ผู้ชายก็ดี อมนุษย์ผู้ชายก็ดี
ผู้ที่ยังมิได้ฝึก ควรเพื่อจะฝึกได้ ชื่อว่าปุริสทัมมา ในคำว่าปุริสทมฺมสารถินั้น
แม้สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้มีอาทิอย่างนี้ คือ อปลาลนาคราช จุโฬทรนาคราช มโหทรนาคราช
อัคคิสิขนาคราช ธูมสิขนาคราช อาลวาฬนาคราช ช้างชื่อธนบาลก์
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกแล้วคือทรงทำให้สิ้นพยศแล้วให้ตั้งอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย
อรรถกถาปาสราสิสูตร มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม 1 ภาค 2
หน้าที่ 456 ได้กล่าวถึงพญานาคไว้ว่า
เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จไปยังริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราแล้ววางถาดทองไว้ริมฝั่งลงสรงน้ำเสด็จขึ้นแล้ว
ทรงปั้นข้าวมธุปายาสจำนวน 49 ก้อน เสวยข้าวมธุปายาสแล้วทรงเสี่ยงทายว่า
ถ้าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าวันนี้ ขอถาดจงลอยทวนกระแสน้ำดังนี้แล้วทรงเหวี่ยงถาดไป
ถาดก็ลอยทวนกระแสน้ำแล้วหยุดหน่อยหนึ่ง เข้าไปสู่ภพของท้าวกาฬนาคราช
วางทับถาดของพระพุทธเจ้า 3 พระองค์
อรรถกถาพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1 หน้าที่ 115
กล่าวไว้ทำนองเดียวกันว่า พระโพธิสัตว์ครั้นเสวยข้าวข้าวปายาสนั้นแล้ว
จับถาดทองทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในวันนี้ไซร้
ถาดของเราใบนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป ถ้าจักไม่ได้เป็นจงลอยไปตามกระแสน้ำ
ครั้นทรงอธิษฐานแล้วได้ลอยถาดไป ถาดนั้นลอยตัดกระแสน้ำไปถึงกลางแม่น้ำ ณ
ที่ตรงกลางแม่น้ำนั่นแลได้ลอยทวนกระแสน้ำไปสิ้นสถานที่ประมาณ 80 ศอก
เปรียบเหมือนม้าซึ่งเพียบพร้อมด้วยฝีเท้าอันเร็วไวฉะนั้น
แล้วจมลงที่น้ำวนแห่งหนึ่งจมลงไปถึงภพของกาลนาคราช
กระทบถาดเครื่องบริโภคของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ มีเสียงดังกริ๊ก ๆ
แล้วได้วางรองอยู่ใต้ถาดเหล่านั้น กาลนาคราชครั้นได้สดับเสียงนั้นแล้ว กล่าวว่า
เมื่อวานนี้พระพุทธเจ้าทรงบังเกิดแล้วองค์หนึ่ง วันนี้บังเกิดอีกองค์หนึ่ง
จึงได้ยืนกล่าวสดุดีด้วยบทหลายร้อยบท ได้ยินว่า
เวลาที่มหาปฐพีงอกขึ้นเต็มท้องฟ้าประมาณหนึ่งโยชน์สามคาวุต ได้เป็นเสมือนวันนี้
หรือวันพรุ่งนี้แก่กาลนาคราชนั้น
อายุของกาลนาคราชยืนยาวมากเพราะหากถือตามนี้หนึ่งพุทธันดรเท่ากับ 1 วันของพญานาค
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 1
หน้าที่ 119 บรรยายไว้ว่า เวลาเย็นทรงรับหญ้าที่นายโสตถิยะถวาย
มีพระคุณอันพระยากาฬนาคราชชมเชยแล้ว เสด็จสู่ควงไม้โพธิ
ปฏิญญาว่า"เราจักไม่ทำลายบัลลังก์นี้
ตลอดเวลาที่จิตของเราจักยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายด้วยการไม่เข้าไปถือมั่น"
อรรถกถารัฏฐปาลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม 2 ภาค 2
หน้าที่ 48 ได้กล่าวถึงพญานาคเคยถวายทานแด่พระพุทธเจ้าว่า
ครั้งนั้นกุฏุมพีทั้งสองนั้นทำการบำรุงดาบสเหล่านั้นจนตลอดชีวิต
เมื่อเหล่าดาบสบริโภค แล้วอนุโมทนา รูปหนึ่งกล่าว พรรณนาคุณของภพท้าวสักกะ
รูปหนึ่งพรรณนาคุณภพของนาคราช เจ้าแผ่นดิน
บรรดากุฏุมพีทั้งสอง คนหนึ่งปรารถนาภพท้าวสักกะ
ก็บังเกิดเป็นท้าวสักกะ คนหนึ่งปรารถนาภพนาคก็เป็นนาคราชชื่อปาลิตะ
ท้าวสักกะเห็นนาคนั้นมายังที่บำรุงของตน จึงถามว่า
ท่านยังยินดียิ่งในกำเนิดนาคอยู่หรือ ปาลิตะนาคราชนั้นตอบว่า
เราไม่ยินดีดอกท้าวสักกะบอกว่าถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระสิ
แล้วทำความปรารถนาจะอยู่ในที่นี้ เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข
นาคราชนิมนต์พระศาสดามาถวายมหาทาน 7 วันแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมี ภิกษุ 100,000
รูป เป็นบริวาร เห็นสามเณรโอรสของพระปทุมุตตรทศพลชื่ออุปเรวตะ วันที่ 7
ถวายผ้าทิพย์แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขจึงปรารถนาตำแหน่งของสามเณร
อรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม 3 ภาค
2 หน้าที่449 พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปแม่น้ำชื่อ นิมมทา
ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับ
พระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค
นาคราชนั้นกราบทูลขอว่าได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงบทเจดีย์ รอยพระบาท
ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา รอยพระบาทนั้นเมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด
เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่
เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์
ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่ามหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ
แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน
แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด
ๆ ฉะนั้นต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวัน
(เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแม่น้ำว่าแม่น้ำนัมมทานที แต่ในอรรถกถาปปัญจสูทนี
ฉบับภาษาบาลี หน้า 882 เขียนเป็น "นิมมทานที" อาจจะฟังแปลกหูไปบ้าง
ผู้เรียบเรียงจึงใช้ตามที่ปรากฎในอรรถกถาฉบับบาลีและฉบับแปล
ขอผู้รู้ใคร่ครวญพิจารณาว่า "นิมมทานที กับ "นัมมทานที" มีที่มาอย่างไร)
ในรัตนสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 225
กล่าวถึงการต้อนรับของพญานาคว่าครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสารทรงทำเรือขนาน 2
ลำแล้วสร้างมณฑปประดับด้วยพวงดอกไม้ ปูลาดพุทธอาสน์ทำด้วยรัตนะล้วน ณ มณฑปนั้น
ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์นั้น แม้ภิกษุ 500
รูปก็ลงเรือนั่งกันตามสมควร
พระราชาส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงน้ำประมาณแต่พระศอกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักอยู่กันริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้นี่แหละจนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จกลับมา
แล้วก็เสด็จกลับ
เทวดาเบื้องบนจนถึงอกนิษฐภพได้พากันทำการบูชานาคราชทั้งหลายมีกัมพลนาคและอัสสตรนาคเป็นต้น
ซึ่งอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำคงคา ก็พากันทำการบูชาด้วยการบูชาใหญ่อย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางแม่น้ำคงคาสิ้นระยะทางไกลประมาณโยชน์หนึ่ง
ก็เข้าเขตแดนของพวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลี
ในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1
หน้าที่ 58 กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็นพญานาคว่า
ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า อตุละมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว
ออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงถวายด้วยทิพยดนตรี
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ
พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่าจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ชื่อเมขลา พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ
เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาทรงพระนามว่าสิริมา
พระอัครสาวกสององค์คือสรณะและภาวิตัตตะ พระอุปราชนามว่าอุเทนะ
พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า โสณาและอุปโสณา และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้
พระสรีระสูงได้ 90 ศอก ประมาณพระชนมายุได้ 90,000 ปี ด้วยประการฉะนี้
- พญานาคที่ปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
- พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค
- เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล
- นาคเทวีตามหาพระสวามี
- พญานาคเชิญพระเจ้ากาสิกราชชมเมือง
- พระราชาเสด็จนาคพิภพ
- มนุษยโลกประเสริฐกว่านาคพิภพ