ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชุมชนโบราณที่แสดงถึงการมีอยู่ของแคว้นศรีโคตรบูร
หลักฐานประเภทโบราณวัตถุสถานสำคัญที่แสดงถึงความเชื่อของผู้คนในอาณาบริเวณ
พระธาตุพนม ในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง คือ วัฒนธรรมการสร้างเสมาหรือหินตั้ง
ซึ่งเดิมน่าจะเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในลัทธิการบูชาผีบรรพบุรุษ
แต่เมื่อวัฒนธรรมอินเดียแพร่เข้ามา จึงได้ปรับมาใช้เป็นเสมาตามคติในพุทธศาสนา
(ศรีศักร วัลลิโภดม. 2533 : 18)
ดินแดนที่มีความสัมพันธ์กับพระธาตุพนม
โดยพิจารณาจากหลักฐานจากตำนานอุรังคธาตุแล้ว ได้แก่
บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำชี ซึ่งเป็นบริเวณที่แคว้นสำคัญ ได้แก่ ศรีโคตรบูร
หนองหานหลวง หนองหานน้อย และสาเกตหรือร้อยเอ็ด ส่วนที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำมูลนั้น
คงเป็นเขตแคว้นของเจนละหรืออินทปัฐ ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป
จากข้อมูลในตำนานอุรังคธาตุ ได้แสดงให้เห็นว่า
เขตแดนของแคว้นศรีโคตรบูรครอบคลุมบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่จังหวัดอุดรธานี
หนองคาย เวียงจันทน์ นครพนม ลงไปจนจดเขตจังหวัดอุบลราชธานี
โบราณวัตถุสถานสำคัญที่ยืนยันให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของดินแดนแห่งแคว้นศรีโคตรบูร
แยกกล่าวได้ดังนี้
บ้านเชียง
แหล่งโบราณคดีแห่งนี้อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดอุดรธานี
ในสมัยโบราณตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำโขงมากกว่าปัจจุบัน
มีร่องรอยที่ปรากฏในภาพถ่ายทางอากาศแสดงให้เห็นว่า
แม่น้ำโขงเปลี่ยนทางเดินห่างจากบ้านเชียงไปราว 20 กิโลเมตร
โบราณวัตถุที่ค้นพบเป็นของที่มีมาแต่ยุคโลหะในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยทวารวดีและลพบุรี ในชั้นดินที่ต่ำที่สุดอยู่ลึกประมาณ 3 เมตร
พบโครงกระดูกมนุษย์ ปนอยู่กับโลหะสำริด คาดว่าทำขึ้นราว 6,000 กว่าปีมาแล้ว
พบภาชนะดินเผาแบบลายเชือกทาบ
ซึ่งเป็นแบบที่มีอยู่แทบทุกยุคสมัยในดินแดนประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง
และภาชนะดินเผาสีดำ ภาชนะแบบนี้พบในแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ ที่บ้านเก่า
จังหวัดกาญจนบุรีเหมือนกัน นักโบราณคดีบางท่านสันนิษฐานว่าเป็นวัฒนธรรมลุงชาน
ที่พบในกลุ่มชนที่เคยอยู่ในดินแดนจีน
บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ที่มีการสืบเนื่องมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์
เพราะถัดจากชั้นดินที่พบภาชนะเขียนสีขึ้นมานั้น
พบโบราณวัตถุที่เป็นของสมัยทวารวดีและลพบุรี ได้แก่ ลูกปัดหินและที่ทำด้วยแก้วสี
โบราณวัตถุที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสมัยทวารวดี คือ เสมาหิน
ซึ่งมีรูปสลักกลีบบัวอยู่ที่ฐาน ซึ่งทำขึ้นเนื่องในพระพุทธศาสนา ส่วนโบราณ
วัตถุสมัยลพบุรีนั้นมีพบอยู่ตามผิวดินเป็นเศษเครื่องปั้นดินเผาเคลือบสีเขียวอ่อนและสีน้ำตาล
บางชิ้นเป็นภาชนะที่เผาจากเตาบ้านกรวดในเขตจังหวัดบุรีรัมย์
ศรีศักร วัลลิโภดม (2533 : 22-23) ได้อธิบายว่า
จากข้อมูลทางโบราณคดีที่พบที่บ้านเชียง
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องราวในตำนานอุรังคธาตุ ทำให้สมมติฐานได้ว่า
กลุ่มชนที่เป็นเจ้าของภาชนะดินเผามีลายเขียนสีนั้นเป็นเชื้อสายของผู้ที่อพยพจากบริเวณหนองแส
ในเขตยูนนานมาตามลำแม่น้ำโขง แล้วมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในบริเวณที่ต่อมา คือ
แคว้นศรีโคตรบูร แคว้นหนองหานหลวง และหนองหานน้อย ในราว 2,000 กว่าปีมาแล้ว
ผู้คนในเขตนี้มีการติดต่อกับกลุ่มชนแถวปากแม่น้ำโขง
รับวัฒนธรรมบางอย่างจากต่างประเทศขึ้นมา เช่น การหลอมแก้ว
ทำเครื่องประดับด้วยลูกปัดแก้ว และโลหะสัมฤทธิ์และเหล็ก
ส่วนกลุ่มชนที่อยู่ใกล้ทะเลแถวปากแม่น้ำโขงในตอนนั้น คงได้แก่ แคว้นอินทปัฐ
นอกจากนั้นยังมีอีกแคว้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ทะเลอาจติดต่อถึงกันได้ คือ แคว้นจุลณี
ซึ่งอาจหมายถึงพวกที่มีรกรากอยู่แถบตังเกี๋ยของเวียดนาม
ภูกูเวียน หรือภูพาน และเมืองพาน
แหล่งชุมชนโบราณภูกูเวียนหรือภูพาน
และเมืองพานอยู่ในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี
ในบริเวณนี้ได้พบโบราณวัตถุสถานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ จนถึงสมัยทวารวดีและลพบุรี
โบราณวัตถุก่อนประวัติศาสตร์ ได้แก่ ภาพเขียนสีบนผนังเพิงหิน เป็นรูปเรขาคณิต
รูปสัตว์ และสัญลักษณ์บางอย่าง นอกนั้นมีหินตั้งและขวานหินขัด
โบราณวัตถุสมัยทวารวดี ได้แก่ เพิงหินบางแห่งที่มีการตกแต่งให้เป็นศาสนสถาน
มีเสมาหินปักล้อม โขดหินบางแห่งมีการสลักเป็นรูปพระพุทธรูปยืน นั่ง
อยู่ซุ้มและรูปเทวรูป โขดหิน
เพิงหินเหล่านี้ได้ใช้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่อมาจนถึงสมัยลพบุรี
เพราะมีการนำพระพุทธรูปหินทรายที่เป็นศิลปะในสมัยลพบุรีมาประดิษฐานไว้ตามเพิงหิน
นอกจากนั้นยังพบใบเสมาหินสลักเป็นภาพนูนต่ำของพระโพธิสัตว์อีกด้วย
แหล่งโบราณวัตถุสถานสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่พบในบริเวณนี้ คือ
รอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำขึ้นในสมัยทวารวดี
เป็นรอยเท้าคนขนาดใหญ่สกัดบนพื้นหินอย่างหยาบ ๆ ไม่มีลวดลายแต่อย่างใด มีพบหลายแห่ง
เช่น พระบาทบัวบก พระบาทบัวบาน และพระบาทหลังเต่า เป็นต้น
จากเนื้อหาในตำนานอุรังคธาตุมีกล่าวถึงแหล่งโบราณคดีบนเทือกเขาภูพานนี้ว่า
เป็นที่อยู่ของพญานาค ชื่อ สุวรรณนาคและสุทโธปาปนาค
ซึ่งแต่เดิมหนีจากหนองแสมาตามแม่น้ำโขง แล้วมาอาศัยอยู่ในบริเวณนี้
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าได้มาโปรดสัตว์ที่แคว้นศรีโคตรบูรได้แวะมาที่นี่
และทรงทรมานจนพญานาคยอมแพ้ แล้วทรงเหยียบรอยพระพุทธบาทไว้ให้นาคได้สักการะบูชา
เวียงจันทน์และศรีเชียงใหม่
ร่องรอยชุมชนโบราณในบริเวณนี้เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่อยู่สองฝั่งแม่น้ำโขง
ลักษณะเป็นเมืองอกแตก และมีรูปร่างไม่สม่ำเสมอเป็นแบบเมืองทวารวดีทั่วไป
ทางฝ่ายเวียงจันทน์ มีร่องรอยของกำแพงดินและคูน้ำยังอยู่ในสภาพที่เห็นได้ชัดเจน
แสดงถึงการขุดลอกและบูรณะในระยะหลังลงมา นอกจากนั้นยังมีการขยายคันดิน
ซึ่งอาจจะเป็นถนนหรือดินกั้นน้ำเป็นรูปสี่เหลี่ยมไปทางด้านเหนืออีกด้วย
ส่วนทางศรีเชียงใหม่ อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
คูเมืองและคันดินอยู่ในลักษณะที่ลบเลือน แสดงให้เห็นถึงการถูกทิ้งให้ร้างมานาน
โบราณวัตถุสถานที่พบในเขตเมืองโบราณทั้งสองฟากนี้
มีตั้งแต่สมัยทวารวดีลงมาจนถึงล้านช้างและอยุธยา ที่สำคัญได้แก่ ดอนชิงชู้
ที่เป็นเกาะอยู่กลางแม่น้ำโขงระหว่างเมืองทั้งสองฝั่งนี้
ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศลาว มานิต วัลลิโภดม เคยสำรวจพบโคกเนินที่เป็นซากวัด
มีพระพุทธรูป หินทราย ปัจจุบันโคกเนินได้ถูกทำลายเพื่อก่อสร้างสิ่งใหม่
และพระพุทธรูปเหล่านั้นกระจัดกระจาย ถูกขนย้ายไปเกือบหมดสิ้น
บริเวณฝั่งขวาของแม่น้ำโขง
ในเขตศรีเชียงใหม่เรื่อยลงมาตามชายฝั่งน้ำจนถึงอำเภอท่าบ่อ
มีซากพระอารามหรือวัดเรียงรายอยู่มากมาย โดยเฉพาะที่เวียงคุกมีมากกว่าที่อื่น
ส่วนมากเป็นศิลปะแบบล้านช้าง แต่บางแห่งคงสร้างทับรากฐานเดิมที่มีมาแต่สมัยทวารวดี
ที่วัดยอดแก้วที่เวียงคุก เคยพบชิ้นส่วนของเทวรูปศิลาทรายแบบก่อนขอม
ซึ่งได้รับการดัดแปลงตกแต่งให้เป็นพระพุทธรูป
เทวรูปองค์นี้คงเป็นของคนในแถบนี้สร้างขึ้นเลียนแบบศิลปะแบบก่อนเมืองพระนครในศิลปะแบบพนมดา
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวนี้คงอยู่ในสมัยทวารวดี
เวียงจันทน์และศรีเชียงใหม่ เดิมเป็นเมืองเดียวกัน
เป็นเมืองมาตั้งแต่สมัยทวารวดีตอนปลาย ซึ่งตรงกับเหตุการณ์ในตำนานอุรังคธาตุ
เป็นเมืองที่มีความสำคัญต่อจากเมืองมรุกขนครของแคว้นศรีโคตรบูร
ส่วนเมืองเวียงคุกนั้น ในตำนานได้ระบุว่าเป็นเมืองของท้าวบารถ
ซึ่งไปมีความสัมพันธ์กับนางอุษา เจ้าเมืองพานบนเทือกเขาภูพาน ในเขตอำเภอบ้านผือ
จังหวัดอุดรธานี
พระพุทธบาทเวินปลา
การสร้างรอยพระพุทธบาทขึ้นเคารพบูชา
เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายของกลุ่มชนที่นับถือพระพุทธศาสนาในบริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง
ตั้งแต่เขตจังหวัดอุดรธานี จนถึงนครพนม
ตำนานอุรังคธาตุระบุถึงการประทับรอยพระพุทธบาทไว้ในที่ต่าง ๆ คือ
บริเวณภูกูเวียน บนเทือกเขาภูพาน ในเขตอำเภอบ้านผือ บริเวณอำเภอโพนพิสัย คือ
พระพุทธบาทโพนฉันโพนแพง บริเวณหนองหานหลวง บริเวณดอยนันทกังฮี
และบริเวณอำเภอเมืองนครพนม ที่เรียกว่าพระพุทธบาทเวินปลา
โดยเฉพาะพระพุทธบาทเวินปลานั้น อยู่บนโขดหินบนเกาะกลางแม่น้ำโขง
มีผู้คนไปสักการะเป็นประจำ รอยพระพุทธบาทนี้มีลักษณะเป็นรอยเท้าคนขนาดใหญ่
สกัดลงบนแผ่นหินเช่นเดียวกันกับที่พบที่เทือกเขาภูพาน
จัดเป็นรอยพระพุทธบาทในสมัยทวารวดี
บ้านหลักศิลา
ชุมชนโบราณบ้านหลักศิลาอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง
ในเขตอำเภอธาตุพนม อยู่ห่างจากพระธาตุพนมขึ้นไปทางเหนือประมาณ 8 กิโลเมตร
เป็นแหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้เคียงพระธาตุพนมมากกว่าแหล่งอื่น ๆ
หลักฐานทางโบราณคดีที่เก่าที่สุดมีอยู่สิ่งเดียว คือ เสมาหินทราย
ตรงกลางสลักเป็นรูปสถูปแบบหม้อน้ำในสมัยทวารวดี
และมีจารึกสมัยหลังปัลวะที่ลบเลือนกำกับอยู่ข้างบน
เสมาหินนี้ปักอยู่กลางลานวัดหลักศิลา
หลักฐานอื่นรองลงมาเป็นซากพระเจดีย์และซากโบสถ์วิหาร ซึ่งเหลือเพียงกองอิฐ
คงเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนในสมัยล้านช้างลงมา
การพบหลักเสมาหิน ซึ่งเป็นโบราณวัตถุเก่าแก่ในสมัยทวารวดี
และเป็นวัตถุที่เนื่องในพระพุทธศาสนานี้มีความสำคัญมาก
เพราะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าในท้องถิ่นที่ใกล้ชิดกับพระธาตุพนมนั้น
เป็นย่านของกลุ่มชนที่นับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งมีมาแต่สมัยทวารวดีแล้ว
และคงเป็นกลุ่มชนที่เกี่ยวข้องกับพระธาตุพนมด้วย บริเวณบ้านหลักศิลานั้น เชื่อว่า
คือเมืองมรุกขนคร ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นหนองเป็นบึงไปแล้ว
พระธาตุพนม
แหล่งโบราณสถานสำคัญในบริเวณนี้ คือพระธาตุพนม
ซึ่งในตำนานอุรังคธาตุอธิบายว่า ตั้งอยู่บนดอยภูกำพร้า เป็นที่สูงอยู่ริมแม่น้ำโขง
ซึ่งเมื่อก่อนแม่น้ำโขงอยู่ใกล้กับองค์พระธาตุพนมมากกว่าบริเวณนี้
ร่องรอยของทางเดินแม่น้ำเก่ายังเห็นอยู่ ที่เรียกว่าบึงธาตุในปัจจุบัน
โบราณวัตถุสถานในเขตวัดรอบพระธาตุพนม
เป็นสิ่งที่มีมาแต่สมัยทวารวดีจนถึงสมัยล้านช้างและอยุธยา
โดยเฉพาะที่เป็นสมัยทวารวดี ได้แก่ หลักหินและเสมาหิน ที่ปักอยู่ตามทิศต่าง ๆ
รอบพระธาตุพนม บางหลักเป็นแท่นหินทรายขนาดใหญ่ไม่มีลายจำหลัก
บางหลักมีรอยรูปสถูปและกลีบบัวที่ฐาน
เสมาหินเหล่านี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา
เพื่อปักแสดงเขตศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุพนมมาตั้งแต่สมัยทวารวดี
การปักเสมาหินรอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เป็นคติโบราณของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะ นอกจากเสมาหินแล้ว
ยังมีผู้นำรูปสลักหินทราย
เป็นรูปสิงห์มาตั้งรวมไว้กับเสมาเหล่านี้เป็นของโบราณเช่นเดียวกัน ไม่ทราบยุคสมัย
แต่ในตำนานอุรังคธาตุ เรียกว่า อัจมูขี ที่มีลักษณะเป็นสิงห์ทวารบาล
บริเวณรอบ ๆ วัดพระธาตุพนมมีชิ้นส่วนศิลาแลงเป็นจำนวนมาก
แสดงให้เห็นว่าในสมัยหนึ่งก่อนสมัยล้านช้าง
คงมีการก่อสร้างอาคารทางศาสนาในบริเวณใกล้ ๆ กับพระธาตุพนม
ซึ่งอาจจัดอยู่ในสมัยลพบุรี หรือสร้างขึ้นในสายวัฒนธรรมแบบเขมร
เพราะเคยมีผู้พบไหเคลือบสีน้ำตาลแบบลพบุรี
บรรจุกระดูกคนตายที่เผาแล้วฝังไว้ตามเนินดินต่าง ๆ ในย่านใกล้เคียงกับวัด
ลักษณะของไหเคลือบนี้ แม้ว่าจะจัดอยู่ในแบบลพบุรีก็ตาม
แต่ก็ไม่ใช่ลักษณะไหขอมแบบที่ทำจากเตาบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์
อาจเป็นของที่ผู้คนในย่านนี้ทำขึ้นโดยเฉพาะ
โบราณสถานที่สำคัญที่สุดของวัดพระธาตุพนม คือ เจดีย์พระธาตุพนม
จากการศึกษาประวัติพระธาตุพนมจากตำนานอุรังคธาตุที่ผ่านมา
ประกอบกับลักษณะรูปแบบทางศิลปกรรม ตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดี ทำให้เข้าใจได้ว่า
พระธาตุพนมคือสถาปัตยกรรมในทางศาสนาที่มีอายุเก่าที่สุดในอาณาบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
การมองพื้นที่บริเวณพระธาตุพนมสมัยโบราณผ่านตำนานอุรังคธาตุ
ทำให้เห็นความสำคัญของพื้นที่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง
ที่เชื่อมโยงชุมชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เนื่องจากพื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม
มีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของผู้คนมาตั้งแต่ในอดีตอันยาวนาน
ตำนานอุรังคธาตุจึงเป็น ตัวบทสำคัญ
ทำให้เห็นบริบทของเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่ตำนานได้สร้างขึ้น
นำไปสู่การเชื่อมโยงทำความเข้าใจบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ตำนานอุรังคธาตุเป็นทั้งนิทานปรัมปราที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถานที่สำคัญทางศาสนา
โดยเฉพาะรอยพระพุทธบาทกับตำนานการกำเนิดเมืองต่าง ๆ ในแถบนี้
โดยมีเมืองศรีโคตรบูรเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเครือข่ายเมืองต่าง ๆ
ในลุ่มแม่น้ำโขงเข้าด้วยกัน
ผ่านการเดินทางประทับรอยพระพุทธบาทของพระพุทธองค์ในพื้นที่ต่าง ๆ
ของรัฐโบราณในบิเวณลุ่มแม่น้ำโขง
ตำนานอุรังคธาตุจึงดำรงอยู่ในสถานะตำนานทางภูมิศาสตร์ หรือ
ตำนานในเชิงพื้นที่ของลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง
ด้วยการนำเสนอตำแหน่งและทำเลที่ตั้งของอาณาบริเวณของรัฐโบราณ
รวมทั้งภูมิสัณฐานของพื้นที่ทางกายภาพในลุ่มแม่น้ำโขง คือ เมืองศรีโคตรบูร
เมืองหนองหานหลวง เมืองหนองหานน้อย เมืองอินทปัฐ เมืองสาเกตหรือร้อยเอ็ด
เมืองกุรุนทนครหรืออโยธยา เมืองจุลณี
และตำนานการเกิดแม่น้ำสายสำคัญผ่านการกระทำของนาค เช่น แม่น้ำอู แม่น้ำพิง
แม่น้ำงึม แม่น้ำโขง แม่น้ำมูลนที และแม่น้ำชีวายนที เป็นต้น
ตำนานในความหมายของการเป็นรากฐานอารยธรรม
ความสำคัญตำนานอุรังคธาตุ
สาระสำคัญจากตำนานอุรังคธาตุ
การลำดับเรื่องราวในตำนานอุรังคธาตุ
ช่วงระยะเวลาก่อนพระพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพาน
ช่วงระยะเวลาหลังจากพระพุทธเจ้าเข้าสู่ปรินิพพาน 8 ปี
ช่วงร่วมระยะเวลาเดียวกันกับพระเจ้าอโศก
ช่วงระยะเวลาแห่งราชอาณาจักรลาวล้านช้าง
ระยะเวลาในการเรียบเรียงตำนานอุรังคธาตุ
พระธาตุพนมในมิติของการเป็นศูนย์กลางของรัฐโบราณ :
แคว้นศรีโคตรบูร
ตำนานอุรังคธาตุคือตำนานของการสร้างความสัมพันธ์ของผู้คนในลุ่มแม่น้ำโขง
ชุมชนโบราณที่แสดงถึงการมีอยู่ของแคว้นศรีโคตรบูร
บทส่งท้าย