ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร

รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท

ไม่มีอะไรได้...ไม่มีอะไรเสีย

2

            สมัยก่อนธรรมะยังไม่เปิดหูเปิดตาของสัตว์ทั้งหลายทุกวันนี้ชาวบ้านก่อบ้านน้ำคำเหล่านี้สบาย คนตายก็ตายไปช่วยกันทำเมรุ หัวเราะกันได้ อยู่ง่ายอยู่สบายไม่มีอะไรคนเราก็มาอย่างนี้ ก็ไปอย่างนี้แหละ ถ้าไม่ไปอย่างนั้นจะได้มาอย่างนี้หรือ มาอย่างนี้ก็ไปอย่างนั้น ก็เพราะหนทางมันเป็นอยู่อย่างนี้ จะไปห้ามโลกไม่ให้เป็นอย่างนั้น จะไปห้ามอย่างไร พวกเราไม่ได้คิดกันอย่างนี้ นั่นแหละการฟังธรรมให้รู้เรื่อง สิ่งเหล่านี้ ให้รู้เรื่องความเป็นจริงอย่างนี้ ใครรู้เรื่องอย่างนี้ ผู้นั้นก็เข้าใจธรรม ใครเข้าใจธรรมก็เข้าใจเรื่องนี้มาฟังเทศน์ฟังธรรมกันทุกวันพระก็เพื่อให้รู้จักสิ่งเหล่านี้ถ้าเข้าใจดีแล้ว ทุกข์ไม่มีทุกข์ไม่เกิด ถ้าเราพลัดจากกันก็ให้นึกเสียว่ามันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท่านที่ละไปท่านได้สร้างคุณงามความดีไว้ ท่านสบายแล้ว ยังเหลือแต่พวกเรานี่แหละยังสาระวนอยู่กับเป็ดกับไก่กับหมูกับหมากับวัวกับควายอยู่เดี๋ยวนี้ ท่านที่เสร็จแล้วท่านสบายแล้วยังเหลือแต่พวกเรานี่แหละ จะให้สร้างคุณงามความดี ก็บอกว่ายุ่งกับสิ่งนั้นสิ่งนี้

            พระพุทธเจ้าก็ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านตรัสรู้ธรรมก็คือมารู้เรื่องสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริงมารู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มารู้เรื่องวิมุติสมมุติ เหล่านี้มารู้เรื่องสมมุติ สังขารเหล่านี้ มารู้จักสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา สังขาร คือสกนธ์ร่างกายของเรานี้ไม่ใช่ของเราตามธรรมชาติ เพราะเราบอกมันไม่ได้ ใช้มันไม่ฟัง เป็นไปตามธรรมชาติของมัน ถึงเราจะร้องไห้กับมันมันก็เป็นอย่างนั้นถึงเราจะหัวเราะกับมัน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้นของมันเป็นอยู่ อย่าง นั้น

            ดังนั้นพวกเขาจึงมาเรียนให้มันรู้จัก พดถึงเรื่องนี้ต่างกันมากกับญาติโยม จะให้มาวัด บอกว่าโลภหลายโกรธหลาย หลงหลาย บาปหลาย มายังไม่ได้หรอกไม่ได้ใจว่ามาวัดเพื่ออะไร มาเพื่อศึกษาให้มันรู้ความจริงตามธรรม ถ้ารู้แล้วมันจะหมดทุกข์ รู้แล้วมันจะหมดอยากรู้แล้วมันจะหายลำบาก จะไม่มีไม่โศกาปริเทวนารำพัน มันจะรู้เสมอภาคว่า สภาพทั้งหลายของสังขารที่มันเป็นอยู่นี้ตามความเป็นจริง ถ้ารู้ตามความเป็นจริงแล้ว พวกเราจะไม่พากันเป็นทุกข์ จะพากันสบาย ของมันได้มาก็ได้มาอย่างนี้ ได้มาอย่างนี้มันก็ไปอย่างนั้น ใจเราดูจะไม่ยึด ไม่มั่น มีลูกก็ให้รู้ว่าสมมุตินะนี่นะ มีบ้านมีเรือนก็รู้แต่ว่ามันเป็นเพียงสมมุติ เลยไม่มีของเราจริงๆ มันก็จะได้คิด

            ถ้าคนไม่รู้จักก็มีแต่ของกูๆ ลูกกู เมียกู หลานกูกู๊...กูๆๆ อยู่อย่างนั้นเหมือนกันกับนกเขา อยู่บนต้นมะขามร้อง กูๆ กูๆ มีแต่ของกูของกู หรือเหมือนบ่างตาโตกินมะขามจะว่าของกูอยู่นั้นเหรอ... พากันดูหน่อยดูข้างหน้าข้างหลังหน่อย ดูข้างล่างดูข้างบนหน่อย โยมไม่เคยเห็นหมอลำเขารำหรือ โยมพ่อออกแม่ออกหมอลำเขาว่าอย่างไร? เขาว่า“เอา...จึ๊กเข้าไปเข้าไปข้างในข้างนอก”ได้ยินไหมล่ะไม่รู้อะไร? ไม่รู้ข้างในไม่รู้ข้างนอก รู้ไหมล่ะ ข้างในก็เหมือนข้างนอกข้างนอกก็เหมือนข้างใน เขาก็เหมือนเรา เราดูเหมือนเขามันไม่ได้แปลกอะไรกัน ลูกท่านหลานท่านก็เหมือนกับลูกเราหลานเรา พ่อท่านแม่ท่านก็เหมือนพ่อเราแม่เรา ของเราก็เหมือนของท่าน นี่แหละท่านจึงว่า ให้รู้เข้าไปข้างในข้างนอกยังจะพูดเล่นอยู่นั้นหรือ อย่าว่าของเราของเขา ต้องมีเมตตา กรุณา ดูให้มันทั่วให้มันถึง ถ้าเรามีธรรม รู้จักธรรมแล้วเราจะสบายกันมาก จะพากันถอนความโลภออก ถอนความโกรธออก ถอนความหลงออก หลงว่าของคนโน้นหลงว่าของคนนี้ หลงว่าของกูหลงว่าของมึง หลงยึดหลงหมาย หลงทุกข์หลงยาก หลงลำบาก แต่ที่สุดก็ไม่มีอะไร ให้พากันเข้าใจเอาไว้ให้พากันรู้เรื่องเอาไว้ ถ้ารู้เรื่องสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ข้างนอกก็ดีข้างในก็ดี ข้างนอกคือต้นไม้ภูเขาเครือเขาเถาวัลย์ก็ดีทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนเป็นของไม่แน่นอน เกิดมาแล้วก็ละลายไปเป็นธรรมดา เห็นไหมล่ะ? ต้นไม้บ้าง ดินบ้าง มันมีที่สูงที่ต่ำ ต้นไม้ก็มีต้นคดต้นงอ เป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น เป็นธรรมชาติของสังขารข้างในเราก็เหมือนกัน ตาบ้าง ห้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ก็ไม่เหมือนกัน เป็นของไม่แน่นอน เป็นไปตามสภาพของมัน หูมันอยากหนวกวันไหนมันก็หนวก ตามันอยากบอดวันไหนมันก็บอด กายมันอยากเจ็บตรงไหนมันก็เจ็บ อยากพิการตรงไหนมันก็พิการมันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จะไปร้องขอยอมือกับมันก็ไม่ได้ถึงคราวมันจะเป็นมันก็เป็น อันนั้นมันเป็นของเขาแท้ๆ เป็นสังขารแท้ๆ ไม่ใช่เป็นของเราตามเป็นจริง เป็นของเราโดยฐานสมมุติ ดังนั้น พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดีท่านพ้นจากทุกข์ จากความยากลำบาก ก็เพราะท่านมารู้ตามความเป็นจริง รู้อะไร? ก็คือรู้เจ้าของรู้ว่ามันไม่แน่ “อัชฌัตตา ธัมมา พะหิทธา ธัมมา” อัชฌัตตา ธัมมา ก็คือภายใน พะหิทธา ธัมมา ก็คือภายนอก “จึ๊กเข้าไป ข้างในข้างนอก” ภาษาพระพุทธเจ้าว่า อัชฌัตตา ธัมมา พะหิทธา ธัมมา ธรรมภายในก็ดี ภายนอกก็ดี ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของไม่แน่นอน มีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแก่เป็นท่ามกลาง มีความตายเป็นที่สุดเหมือนกันหมดจะเป็นข้างในก็ดี ข้างนอกก็ดี หนุ่มก็ดี แก่ก็ดี ทุกข์ก็ตามรวยก็ตามจะเป็นเจ้าพระยาไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ก็ตาม ก็เป็นอยู่อย่างนี้ เวลาจะไป (ตาย) ใครมีมากก็ทิ้งไว้มาก ใครมีน้อยก็ทิ้งไว้น้อยตายก็เห็นหมดทุกคนนั้นแหละไม่เว้นใครนี้ท่านเรียกว่า ข้างในก็เหมือนข้างนอก ข้างนอกก็เหมือนข้างใน...เหมือนกัน...

            เราทั้งหลายต้องมาเรียนธรรมไว้ในปัจจุบันให้มันรู้จักถ้ารู้จักแล้วมันสบาย..สบายอย่างไร?เหมือนเราเห็นรังต่อเราก็ไม่เข้าไปใกล้ ตรงนั้นมีเสือ ตรงนั้นมีงู เรารู้จักอย่างนี้เราก็หนีไม่เข้าไปใกล้ ถ้าคนไม่รู้จักก็เดินสวบๆ ตกลงไปหลุมต่อมันก็ต่อยหัวเอาเท่านั้นแหละ คนไม่รู้จักอนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา ก็เสกคาถาว่าของกูๆ อยู่อย่างนั้น ถ้าคราวมิใช่ของกู ก็ร้องไห้โก๊กๆ เท่านั้นแหละ นั่นเป็นเครื่องหมายของคนบาป ถ้ามาฟังธรรมแล้วมันก็จะหายบาปแล้วก็ดีด้วย เป็นผู้มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อยู่ใกล้กันไม่ทะเลาะกันไม่ทุ่มเถียงกัน สงเคราะห์กัน สบายนั้นท่านเรียกว่าคนมีบุญ คนมีบุญอยู่ที่ไหนก็เป็นบุญกุศลอยู่ที่ไหนก็เย็น ก็เป็นสุคโต อยู่ก็เป็นสุข ไปก็เป็นสุขมีแต่เรื่องเป็นสุขมีแต่เรื่องสบาย

            ถ้าเราฟังธรรมพิจารณาถูกต้องแล้วรู้สิ่งทั้งหลายหล่านี้แล้ว ตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าท่านว่าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ซึ่งอริยสัจจ์ นี้เรียกว่า เรารู้ความจริง รู้ตามความเป็นจริง ว่าโลกมันเป็นอยู่อย่างนี้ หลายชาติ หลายตระกูลมาแล้ว ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราท่านก็เป็นมาเหมือนเรานี่แหละ ผลที่สุดท่านก็ไป ไปในรูปนี้แหละ เราเกิดมาก็จะไปในรูปเดียวกันนี้แหละไม่มีใครอยู่ ฉะนั้นควรศึกษาธรรมศึกษาให้มันพ้นทุกข์

            ทุกวันนี้เราทั้งหลายถ้ามาวิจัยตามเหตุการณ์แล้วถึงเรากินก็กินเพื่อความพ้นทุกข์ ถึงเราเดินก็เดินเพื่อความพ้นทุกข์ ถึงแม้จะนอนก็นอนเพื่อความพ้นทุกข์ จะไปในที่ไหนๆ ก็ไปเพื่อความพ้นทุกข์ ถ้าดูให้ดีแล้วถึงแม้กินข้าวก็กินเพื่อจะไม่กินอีกถึงแม้เดินก็เดินเพื่อจะไม่เดินอีกนั้นแหละคืออยากให้มันเสร็จ แต่มันก็ไม่เสร็จ เดินแล้วก็เดินอีก นั่งแล้วก็นั่งอีก นอนแล้วก็นอนอีก กินแล้วก็กินอีก พูดแล้วก็พูดอีก อยู่อย่างนี้ ความเป็นจริงก็ไปตรงที่มันหมดนั่นแหละ มุ่งไปที่มันจริง ดังนั้นท่านจึงให้พิจารณาซึ่งอนัตตา... เอามันจนหมดเนื้อหมดตัวโน้นแหละ ถ้ามันมีของกูของมึงไม่หมดล่ะ เอาให้หมดเนื้อหมดตัว หมดอัตตา ไม่มีใคร ดินน้ำ ไฟ ลม ถ้ามันแตกก็พวกดิน พวกน้ำ พวกไฟ พวกลมมันแตกไป ตัวสัตว์ตัวบุคคลนั้นไม่มี ถ้าไม่มีก็ไม่มีอะไรเสีย ถ้าไม่มีก็ ไม่มีอะไรได้ เลยเป็นคนผู้ไม่ได้ไม่เสีย เป็นคนที่ไม่รวย เป็นคนที่ไม่จน เป็นคนผู้ไม่สุข เป็นคนผู้ไม่ทุกข์อย่างนี้ อยู่ตรงที่มันหมดเหตุหมดผลท่านจึงให้พิจารณา พวกเราทั้งหลายก็จะมุ่งไปตรงนั้นแหละ แต่ว่าความรู้สึกของปุถุชนเราทั้งหลาย เหมือนกันกับเด็กน้อย มันชอบเล่นอะไรมันเปรอะเปื้อน ที่ไหนสกปรกชอบเล่น ตอนเย็นแม่จับไปอาบน้ำ... มันกลัวน้ำ.. วิ่งหนีแม่ตามไปจับมามันร้องไห้ มันกลัวจะสะอาดให้หน้ามันมอมอยู่อย่างนั้น ให้ขี้มูกมันย้อยอยู่
อย่างนั้น ให้มันเหม็นอยู่อย่างนั้น เด็กมันเป็นอย่างนั้นมันกลัวความสะอาด..(ซั่นแหลว)

<< ย้อนกลับ | หน้าถัดไป >>

» การปล่อยวาง

» จิตที่ตื่นรู้

» ตามดูจิต

» สมถวิปัสสนา

» บัว 4 เหล่า

» ธาตุ 4

» มรรค 8

» ทางพ้นทุกข์

» บ้านที่แท้จริง

» ฝึกจิตให้มีกำลัง

» ตุจโฉโปฏฐิละ

» การทำจิตให้สงบ

» อ่านใจธรรมชาติ

» สองหน้าของสัจธรรม

» ทางสายกลาง

» ธรรมะกับธรรมชาติ

» นอกเหตุเหนือผล

» อยู่กับงูเห่า

» ภาวนาพุทโธ

» อยู่เพื่ออะไร

» อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย

» ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย

» ปลาไม่เห็นน้ำ

» สงบจิตได้ปัญญา

» สมาธิภาวนา

» ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย