ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พระเจ้าสิบชาติ
พระเตมีย์ ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีพระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี
พระเนมิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
มโหสถบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
พระมหานารทกัสสปะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
วิธุรบัณฑิต ผู้บำเพ็ญสัจบารมี
พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี
พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี
ในวันรุ่งขึ้น พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้ทรงมอบพระนางมัทรี
ให้เป็นทานแก่ท้าวสักกเทวราช ซึ่งทรงแปลงเพศเป็นพราหมณ์ มาทูลขอเป็นปิยทารทาน
แล้วท้าวสักกเทวราช ก็ถวายพระมัทรีคืน ให้พระโพธิสัตว์ แล้วพระราชทานพร 8 ประการ
พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงขอพร 8 ประการ คือ
1.ขอให้พระราชบิดาเชิญพระองค์ เสด็จกลับพระราชนิเวศน์ และให้ปกครองราชสมบัติดังเดิม
2.ข้าพระองค์ไม่ชอบการฆ่าคน ขอให้มีอำนาจงดโทษแก่ผู้ทำผิดร้ายแรง
อันเป็นโทษประหารได้
3.ขอให้ข้าพระองค์เป็นที่พึ่งของปวงชน ทั้งที่เป็นคนแก่ คนหนุ่ม และคนกลางคน
4.ข้าพระองค์ไม่พึงล่วงภรรยาผู้อื่น ยินดีเฉพาะภรรยาของตนเอง
และไม่อยู่ในอำนาจของสตรี
5.ขอให้บุตรของข้าพระองค์ ที่พลัดพรากจงมีอายุยืน ได้ครองแผ่นดินโดยธรรม
6.ขอให้อาหารทิพย์ปรากฏมี เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น
7.ขอให้ทรัพย์ที่ข้าพระองค์บริจาค อย่าได้มีความหมดสิ้นไป
บริจาคแล้วไม่พึงเดือดร้อนภายหลัง
8.เมื่อข้าพระองค์จุติจากอัตภาพนี้ พึงไปอุบัติในดุสิตสวรรค์
จุติจากภพนั้นมาเป็นมนุษย์ พึงเป็นผู้ไม่เกิดอีก
ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า พระราชบิดาของพระองค์ จักเสด็จมาพบพระองค์ในไม่ช้านี้
พระราชทานพรแด่พระเวสสันดรแล้ว เสด็จไปยังดาวดึงสพิภพ
ชูชกพราหมณ์พาพระกุมารทั้ง 2 ไปในมรรคา ล่วงไปได้กึ่งเดือนก็ไปถึงเมืองเชตุดร
ด้วยอำนาจเทวดาชักพาไป ในราตรีกาลนั้น พระเจ้ากรุงสญชัยทรงพระสุบินว่า
มีชายผิวดำนำดอกปทุม 2 ดอกมาวางไว้ในพระหัตถ์ ทรงรับดอกปทุมนั้นมาแล้ว
ทรงประดับไว้ที่พระกรรณ ละอองเกสรดอกปทุมได้ล่วงลงบนพระอุระ ทรงตื่นบรรทม
พอรุ่งเช้า พระเจ้ากรุงสญชัยทรงโปรดให้ทำนายพระสุบินนั้น พวกเขาทำนายว่า
พระประยูรญาติของพระองค์ ที่ทรงจากไปนานจักเสด็จกลับมา
พระราชาได้ทรงสดับดังนั้นทรงยินดีนัก ขณะที่ประทับนั่งเพื่อเสวยนั่นเอง
ทอดพระเนตรเห็นพราหมณ์ กับพระกุมารยืนอยู่ที่พระลานหลวง
จึงทรงให้ราชบุรุษไปตามตัวมาตรัสถาม เมื่อทรงทราบว่าเป็นพระชาลีกัณหาหลานรัก
ที่พระบิดาพระราชทานให้แก่พราหมณ์ จึงทรงขอไถ่ตัว 2 กุมาร
ไว้ตามที่พระเวสสันดรทรงตีราคา ไถ่ตัวไว้ทุกประการ ชูชกพราหมณ์กลายเป็นมหาเศรษฐี
ไปในพริบตาเดียว มีทรัพย์สมบัติ ข้าทาสบริวารมากมาย
ได้รับการเลี้ยงฉลองอย่างเต็มที่ ด้วยอาหารอย่างดีวิเศษ
จึงรับประทานอย่างเต็มที่จนเกินประมาณ อาหารที่รับประทานเข้าไปทำพิษ หรือย่อยไม่ทัน
จึงทำกาลกิริยา (ตาย) ในที่นั้นนั่นเอง พระเจ้ากรุงสญชัยให้ตีกลองป่าวประกาศ
หาญาติผู้เป็นทายาทของชูชก เพื่อให้มารับทรัพย์สมบัติ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครเป็นญาติ
ผู้เป็นทายาท จึงโปรดให้ขนทรัพย์สมบัติทั้งมวลนั้น เข้าพระคลังหลวงดังเดิม
ครั้นแล้ว พระเจ้ากรุงสญชัย จึงตรัสสั่งเสนาอำมาตย์ จัดกองทัพนับได้จำนวน 12
อักโขภิณี ยกเป็นกองทัพใหญ่ออกจากพระนครเชตุดร มีพระชาลีราชกุมาร เป็นผู้นำทางเสด็จ
ทรงรับพระเวสสันดร และพระนางมัทรีกลับมาอภิเษก ให้ครอบครองราชสมบัติ
ในนครเชตุดรตามเดิม พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีต่อไป ภพนี้เป็นภพสุดท้าย
ที่ทรงบำเพ็ญบารมี เบื้องหน้าแต่หน้าก็จักเสด็จอุบัติในดุสิตพิภพ
และเมื่อเสด็จจุติจากดุสิตพิภพ นั้นแล้ว ก็จะเสด็จอุบัติในมนุษยโลก
เป็นพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระชาติสุดท้าย ไม่ทรงเกิดอีกต่อไป.