ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ความฝัน

เรื่องที่ 1

พระสุบินนิมิตของพระมหามายาราชเทวี

ในกาลครั้งนั้น พระนครกบิลพัสดุ์กำลังมีงานพิธีเดือน 8 มหาชนต่างพากันเล่นนักษัตรตั้งแต่วันเพ็ญเดือนอาสาฬหะไปเจ็ดวัน พระมหามายาราชเทวี ก็ทรงเล่นนักษัตรที่ปราศจากสุรา แต่สมบูรณ์ด้วยเครื่องประดับ มีดอกไม้และของหอม ในวันที่เจ็ดตั้งแต่เช้าก็ทรงสรงน้ำหอม พระราชทานทรัพย์เป็นมหาทาน ประดับพระองค์ด้วยสรรพาภรณ์วิภูสิต เสวยโภชนาหารสุทธารส ทรงอธิษฐานองค์อุโบสถ ประทับ ณ ห้องสิริไสยาสน์อันประดับและตกแต่งแล้ว ณ แท่นสิริไสยาสน์เสด็จสู่พระบรรทม

ครั้นเมื่อพระนางมหามายาราชเทวีบรรทมแล้ว ก็บังเกิดพระสุบินนิมิตว่า ท้าวมหาราชทั้ง 4 ยกพระองค์ พร้อมด้วยแท่นบรรทมเข้าไปยังป่าหิมพานต์ แล้ววางไว้บนพื้นศิลาประมาณ 60 โยชน์ ภายใต้ต้นสาละ มีปริมาณมณฑลประมาณ 7 โยชน์ แล้วยืนเฝ้าอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นก็มีพระนางเทพีของท้าวมหาราชเหล่านั้นได้นำพระนางมายังสระอโนดาต ช่วยกันสรงเพื่อชำระมลทินมนุษย์ให้หมดจด แล้วให้ทรงภูษาทิพย์ ลูบไล้ด้วยทิพย์คันธชาติ ประดับด้วยดอกไม้ทิพย์ จากที่นั้นไม่ไกลนัก มีวิมานทองตั้งอยู่ที่ภูเขาเงินทางด้านปราจีน ลาดด้วยทิพยไสยาสน์สูงหน่อยหนึ่ง แล้วให้บรรทม ณ ที่นั้น

ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยาช้างเศวตกุญชร เที่ยวอยู่ที่ภูเขาทอง ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ลงจากภูเขาทอง แล้วมาขึ้นภูเขาเงินทางด้านอุตตรทิศ ถือดอกประทุมด้วย หางมีสีเหมือนพวงเงิน บรรลือโกญจนาทแล้วเข้ามายังวิมานทอง ทำประทักษิณสามรอบ ณ มาตุไสยาสน์ เหมือนกับทำลายพระปรัศว์เบื้องขวา เข้าอยู่ในพระกุจฉิประเทศ พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิ ณ วันนักษัตร เดือนอุตตราบาท ในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ (เดือน 8)

ครั้นวันรุ่งขึ้น พระมหามายาราชเทวี ได้กราบทูลพระสุบินนิมิตนั้นแก่พระเจ้าสุทโธทนมหาราช พระองค์ได้โปรดเชิญพราหมณ์ผู้มีความสามารถหลายท่านให้ทำนายพระสุบิน พราหมณ์ทั้งหลายทำนายว่า พระราชเทวีทรงพระครรภ์ และมหาบพิตรจะได้พระโอรส และพระราชโอรสพระองค์นี้ ถ้าอยู่ครองฆราวาสจักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ถ้าเสด็จออกผนวชจักเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรื่องที่ 2

การบำเพ็ญทุกรกิริยาของพระบรมโพธิสัตว์ก่อนตรัสรู้

พระบรมโพธิสัตว์ ได้ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างแรงกล้า ทรงกดพระทนต์ด้วยพระทนต์ (กัดฟันด้วยฟัน) กดพระตาลุด้วยพระชิวหา (กดเพดานด้วยลิ้น)ทรงข่มจิตใจบีบให้แน่น ร้อนจัด เหงื่อไหลออกจากรักแร้ จนกระทั้งได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ก็ยังไม่สามารถตรัสรู้ได้

หลังจากนั้น พระองค์จึงได้บำเพ็ญเพียรอย่างแรงกล้ายิ่งขึ้นไปอีก ด้วยการกลั้นลมหายใจออกและลมหายใจเข้า ทั้งทางปาก ทางจมูก จนกระทั้งลมดันออกทางช่องหูทั้งสอง ก็ยังไม่อาจตรัสรู้ได้ จึงกลั้นลมให้สูงขึ้นมาอีกทั้งทางปากและทางจมูก และทางช่องหู จนกระทั้งลมเสียดแทงขึ้นบนศีรษะ ได้รับทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ดุจว่าศีรษะถูกเชือดด้วยมีดโกนคมกริบฉะนั้น

พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาให้กล้าแข็งยิ่งขึ้นไปอีก โดยทรงยับยั้งพระกระยาหารทีละน้อยๆ จนในที่สุดอดพระกระยาหารโดยเด็ดขาด พระวรกายถึงซึ่งความซูบผอม ผิวพรรณที่เปล่งปลั่งดังสีทอง ก็กลายเป็นผิงดำคล้ำ มหาปุริสลักษณะทั้ง 32 ประการก็ไม่ปรากฏ ถูกเวทนาครอบงำจนถึงแก่วิสัญญีภาพ และล้มลง ณ ที่นั้น

อวัยวะน้อยใหญ่ของพระบรมโพธิสัตว์ เหมือนเถาวัลย์ที่มีข้อมาก ตะโพกปรากฏเหมือนเท้าอูฐ กระดูกสันหลังผุดขึ้นมาเหมือนเถาวัฏฏนาวีฬ ซี่โครงนูนขึ้นเป็นร่องๆ ดุจดังกลอนศาลาเก่าที่เครื่องมุงหล่นโทรมอยู่ ฉะนั้น ดวงตาลุ่มลึกเข้าไปในเบ้าตา ประดุจดวงดาวในบ่อน้ำลึก ผิวบนศีรษะเหี่ยวแห้งดุจผลน้ำเต้าที่ถูกแสงแดดอันแรงกล้าแผดเผา ผิวหนังท้องแห้งติดกระดูกสันหลัง เมื่อลุกขึ้นถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ก็ซวนเซล้มลง เมื่อเอาฝ่ามือลูบตามพระวรกาย ขนทั้งหลานมีรากเน่าหล่นออกมา แต่ก็หาสามารถตรัสรู้ได้ไม่

พระบรมโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาด้วยวิธีการต่างๆ อยู่ถึง 6 ปี ก็ไม่สามารถตรัสรู้ได้ จึงได้ทรงเปลี่ยนพระหทัยออกบิณฑบาต ครั้นเสวยพระกระยาหารแล้ว ต่อจากนั้นมาไม่ช้านัก มหาปุริสลักษณะทั้ง 32 ประการก็ปรากฏขึ้นตามเดิม พระวรกายกลับมีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดั่งในอดีต

ในครั้งนั้น มีหญิงผู้หนึ่งชื่อนางสุชาดา เกิดในเรือนของเสนะกฎุมพี ในเสนานิคมอุรุเวลาประเทศ เติบโตเป็นรุ่นสาว นางทำความปรารถนาไว้ที่ต้นไทรแห่งหนึ่งว่า ถ้าข้าพเจ้าได้สามีที่มีสกุลสมกันแล้ว ขอให้ได้ลูกชายคนหัวปี จะสละทรัพย์ประมาณแสนหนึ่งทำพลีกรรมแก่ท่านทุกๆ ปี ความปรารถนาของนางก็ได้สำเร็จสมความประสงค์ จึงได้ทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน 6 อันเป็นวันที่พระบรมโพธิสัตว์บำเพ็ญทุกรกิริยาครบ 6 ปีพอดี นางได้ถวายข้าวปายาสเพื่อกระทำพลีกรรมแก่เทวดา

พระบรมโพธิสัตว์ทรงสุบิน 5 ประการ

ณ ราตรีนั้น พระบรมโพธิสัตว์ทรงบรรทมแล้วเกิดเป็นพระสุบินนิมิต ซึ่งทรงตรัสเล่าด้วยพระองค์เอง ในสุปินสูตร อังคุตตรนิกายปัญจกนิบาต คือ

1.อยํ มหาปฐวี มหาสยํ อโหสิ

พระองค์เสด็จบรรทมเหนือปฐพี เป็นแท่นที่พระบวรสิริมหาไสยาสน์

หิมวา ปพฺพตราชา พิมฺโพหนํ อโหสิ

พระยาเขาหิมพานต์เป็นพระเขนย บ่ายพระเศียรไปทางทิศอุดร

ปุรตฺถิเม สมุทฺเท วาโม หตฺโถ โอหิโต อโหสิ

พระหัตถ์ซ้ายเหยียดยาวไป หย่อนลงในมหาสมุทร ด้านปุริมทิศ (ทิศตะวันออก)

ปุจฺฉิเม สมุทฺเท ทกฺขิโน หตฺโถ โอหิโต อโหสิ

พระหัตถ์ขวาเหยียดพาดหย่อนไปในมหาสมุทร ด้านปัจฉิม (ทิศตะวันตก)

ทกฺขิเณ สมุทฺเท อุโภ ปาทา โอหิโต อเหสํ

พระบาททั้งสองเหยียดพาดหย่อนลงไปในมหาสมุทร ด้านทิศทักษิณ (ทิศใต้)

2. ติณฺชาติ นาภิยา อคฺคนฺตวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ

หญ้าคางอกขึ้นมาแต่พระนาภีแล้วสูงขึ้นจนจรดนภากาศ

3. เสตา กิมี กณฺหสีสา ปาเทหิ อุสฺสกฺกิตฺวา ยาว ชานุมณฺฑลา ปฏิจฺฉาเทสํ

กิมิชาติ หมู่หนอนทั้งหลาย ตัวสีขาว ศีรษะดำ ไต่ขึ้นมาแต่พระบาททั้งสอง (ปกปิดพระบาทและพระชงฆ์) ตลอดจนถึงชานุมณฑล (เข่า)

4. จตฺตาโร สกุณา นานาวณฺณา จตูหิ ทิสาหิ อาคนฺตวา ปาหมูเล นิปติติตฺวา สพฺพเสตา สมฺปชฺชีสุ

นกทั้งหลายสี่จำพวก มีสีต่างๆ กัน (เป็นสี่สี)บินมาจากทิศทั้ง 4 แล้วมาหมอบอยู่ใกล้พระบาทแห่งพระองค์ แล้วก็กลับกลายสรีระเป็นสีขาวเหมือนกันหมดทั้ง 4 จำพวก

5. สมาโน มหโต มิฬฺฆปพฺพตสฺส อุปรูปริ จงฺกมติ อลิปฺปมาโน มิฬฺเหน

พระองค์ทรงเสด็จจงกรมไปมาในเบื้องบนแห่งภูเขาใหญ่อันเต็มไปด้วยคูถ แต่พระบาทจะได้แปดเปื้อนด้วยคูถแม้แต่น้อยหนึ่งก็หามิได้

<< ย้อนกลับ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย