ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ชีวิตเพื่อสันติสุขและสันติภาพ

พระทศพล  เขมาภิรโต

ความเชื่อและทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาล โลก และชีวิต

มนุษย์มีความสนใจในเรื่องของจักรวาลมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีปรัชญาและคำสอนในศาสนาต่าง ๆ ที่ได้กล่าวถึงเรื่องของจักรวาล โลก และมนุษย์ไว้มากมาย

ปโตเลมี (Cluadius Ptolemy) นักดาราศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักภูมิศาสตร์ ชาวเมืองอเลกซานเดรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวศตรรษที่ 2 แห่งคริสตกาล ได้เสนอทฤษฎีว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวต่าง ๆ โคจรรอบโลก ทำให้ชาวตะวันตกในสมัยโบราณและสมัยกลางมีความเชื่อถือในทฤษฎีนี้สืบต่อกันมาเป็นเวลานับด้วยพันปี

ในคัมภีร์ไบเบิลตอนต้นคือส่วนที่เป็นพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) ได้กล่าวถึงบทปฐมกาล หรือกำเนิดของสรรพสิ่งไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างโลกขึ้นมาก่อนในวันแรก หลังจากนั้นได้ทรงสร้างสรรพสิ่งตาง ๆ ขึ้นในอีกหกวันต่อมาตามลำดับ

ในคัมภีร์ฉบับนี้ได้กล่าวถึงโครงสร้างของจักรวาล ว่ามีโลกเป็นศูนย์กลาง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวล้วนเป็นบริวารของโลก และต่างก็โคจรรอบโลกทั้งสิ้น ความเชื่อตามหลักศาสนาในเรื่องของจักรวาลจึงสอดคล้องกับทฤษฎีของปโตเลมีที่ได้กล่าวมาแล้ว

ความเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้สร้างจักรวาล โลกและสรรพสิ่งต่าง ๆ ได้สืบทอดกันเรื่อยมาจากอดีตจนถึงปลายศตวรรษที่ 16 แห่งคริสตกาล ได้มีนักดาราศาสตร์ชาวโปแลนด์คือ โคเปอร์นิคัส (Nicholas Copernicus 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีใหม่ขึ้นมาว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล โดยมีโลก และดาวพระเคราะห์อื่น ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์

หลังจากนั้น กาลิเลโอ ( Galilei Galileo 1564- 1642) นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวฟลอเรนซ์ ได้ใช้กล้องส่องดูท้องฟ้าและค้นพบดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี และได้ประกาศสนับสนุนว่า ทฤษฎีของโคเปอร์นิคัสถูกต้อง พร้อมกับได้เสนอข้อมูลที่ค้นพบเป็นการสนับสนุนความคิดในทฤษฎีนี้ จึงได้เกิดแนวความคิดขึ้นใหม่ว่า จักรวาล โลก มนุษย์ มิได้เกิดขึ้น จากการเนรมิตของพระผู้เป็นเจ้า แต่เกิดขึ้นจากกระบวนการวิวัฒนาการของธรรมชาติ นับได้ว่าเป็นการเริ่มต้นจุดประกายความคิดให้มนุษย์ได้พยายามศึกษา แล้วกำหนดเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลในเวลาต่อมา

ทฤษฎีกำเนิดจักรวาลจุดเริ่มต้นทัศนะแบบองค์รวม

ทฤษฎีเกี่ยวกับกำเนิดจักรวาลมีหลายทฤษฎี แต่ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับและมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากมายที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลสามารถนำมาสนับสนุนได้อย่างชัดเจน คือทฤษฎีที่ชื่อว่าการระเบิดครั้งใหญ่ (The Big Bang Theory) ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ในปี พ.ศ. 2470 อับเบ จอร์จ ลิเมตเทรต (Abbe George Lemaitre 1894-1966) นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวเบลเยี่ยม ได้เสนอทฤษฎีกำเนิดของจักรวาลขึ้นมาใหม่ และเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คือทฤษฎีการระเบิดครั้งใหม่ โดยกล่าวว่าในเบื้องต้น สรรพสิ่งในจักรวาลได้รวมตัวกันเป็นมวลสารที่มีความหนาแน่นมาก เรียกว่าฟองไข่คอสมิค (Cosmic Egg) ซึ่งได้ระเบิดครั้งใหญ่ยิ่งเมื่อประมาณ 15,000 ล้านปีมาแล้ว แรงระเบิดมีความรุนแรงมหาศาลของมวลสารที่อัดตัวกันแน่น ทำให้ชิ้นส่วนแตกละเอียดเปลี่ยนสภาพเป็นก๊าซร้อน กระเด็น กระจาย จากจุดระเบิดซึ่งเป็นศูนย์กลางออกไปทุกทิศทุกทาง การเสนอทฤษฎีกำเนิดจักรวาลของ อับเบ จอร์จลิเมตเทรต ที่ให้ความคิดว่า แม้จักรวาลทั้งหลายมีอยู่มากมายมหาศาล แต่ทั้งหมดถือกำเนิดมาจากฟองไข่คอสมิคก้อนเดียวกัน ดังนั้นสภาพที่ปรากฏว่ามีความหลากหลายนั้นที่แท้จริง ถือกำเนิดมาจากความเป็นหนึ่ง หรือความเป็นองค์รวมนั่นเอง ทัศนะใหม่เกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้นักคิดจากตะวันตกได้มองสรรพสิ่งต่าง ๆ ในลักษณะเชื่อมโยงสัมพันธ์กันซึ่งทัศนะที่แตกต่างไปจากที่เคยคิดกันมาก่อนสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งไปกว่านั้นคือ การเกิดความคิดใหม่เรื่องกำเนิดของจักรวาล ทำให้นักคิด นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตก ได้หันมาสนใจแนวความคิดและหลักปรัชญาทางตะวันออกอย่างละเอียด มีการนำหลักธรรมคำสอนในศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า และพุทธศาสนานิกายเซนมาเพ่งพินิจพิจารณา ทำให้เกิดการค้นพบว่า หลักคำสอนในศาสนาเหล่านี้ มีความสอดคล้องกับหลักความจริงทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ทั้งสิ้น นับตั้งแต่เรื่องเล็กที่สุด คือเรื่องโครงสร้างของอะตอม และสภาวะของอนุภาคต่าง ๆ จนถึงเรื่องใหญ่ที่สุดใหญ่ คือการกำเนิดของจักรวาลและสภาวะของจักรวาล

การค้นพบความจริงในเรื่องนี้นับว่าเป็นภาวะที่สั่นคลอนโลกทัศน์ ของนักคิด นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกอย่างรุนแรง นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในการรับรู้ของมนุษย์ (ฟริตจ๊อป ขับประ เต๋าแห่งฟิสิกส์ 2527 : 55)

หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย