ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม>>
คู่มือดับทุกข์
แนวทางในการที่จะเอาชนะความทุกข์ในชีวิต การปฎิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น อันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ ที่จะให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อความหมดทุกข์ทางใจ
- จงประพฤติศีล 5 ให้สมบูรณ์ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด
ไม่ขโมยสิ่งของๆใคร ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหลอกลวงใคร
และไม่ดื่มหรือเสพสิ่งเสพติดมึนเมา
- แบ่งเวลาในแต่ละวันให้พอเหมาะพอดีแก่สภาพชีวิตของตน
มีเวลาทำงานเพียงพอ มีเวลาพักผ่อนเพลิดเพลินในครอบครัวตามสมควร
สำหรับผู้เป็นฆราวาส และมีเวลาฝึกสมาธิเพื่อทำจิตให้สงบ
- ในการฝึกสมาธินั้น ให้นั่งอยู่อย่างสงบสำรวม
อย่าเคลื่อนไหวอวัยวะมือเท้า จะนั่งกับพื้น
เอาขาทับขาข้างใดข้างหนึ่งก็ได้ หรือจะนั่งพับเพียบก็ได้
หรือจะนั่งบนเก้าอี้ตามสบาย ไม่มีปัญหา
- วิธีฝึกสมาธินั้น ขอให้เข้าใจว่า ท่านจะทำจิตให้สงบ
ปราศจากความคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องภายนอก ทุกชั่วเวลาที่ทำสมาธินั้น
ท่านจะไม่ปรารถนาที่จะพบเห็นรูป สี แสง เสียง สวรรค์ นรก
หรือเทวดาอินทร์พรหมที่ไหน
เพราะสมาธิที่แท้จริงจะไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตใจ
สมาธิที่แท้มีแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และสงบเท่านั้น
- พอเริ่มทำสมาธินั้น โดยปกติแล้ว ให้หลับตาพอสบาย
สำรวมจิตนับที่ลมหายใจ ทั้งหายใจเข้าและหายใจออก โดยจะนับอย่างนี้ว่า
หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทีแรกนับช้าๆ
เพื่อให้สติต่อเนื่งอยู่กับการนับนั้น แต่ต่อไปพอจิตเข้าที่แล้ว
นับก็จะหยุดนับของมันเอง
- หรือบางทีอาจจะกำหนดพุทโธก็ได้ หายใจเข้ากำหนดว่า พุท
หายใจออกกำหนดว่า โธ อย่างนี้ก็ได้ ไม่ขัดแย้งกันเลย
เพราะการนับอย่างนี้เป็นเพียงอุบายที่จะทำให้จิต
หยุดคิดปรุงแต่งเท่านั้น
- แต่ในการฝึกแรกๆนั้น ท่านจะยังนับหรือกำหนดไม่ได้อย่างสม่ำเสมอ หรืออย่างตลอดรอดฝั่ง เพราะมักจะคิดเรื่องต่างๆนานา แทรกเข้ามาในจิต ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ช่างมัน ให้เข้าใจว่าฝึกแรกๆ มันก็จะเป็นอย่างนี้ ให้ท่านตั้งนาฬิกาเอาไว้ตามเวลาที่เหมาะสม ว่าจะทำสมาธินานเท่าไร เริ่มแรกอาจจะสัก 15 นาที และเฝ้านับหรือกำหนดอยู่จนครบเวลาที่ตั้งไว้ จิตมันจะมีความคิดมากหรือน้อยก็ช่างมัน ให้พยายามกำหนดนับตามวิธีการที่กล่าวมาแล้วจนครบเวลา ไม่นานนักจิตก็จะหยุดนิ่งและสงบได้ของมันเอง
- การฝึกสมาธินั้นพยายามทำทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง แรกๆให้ทำครั้งละ 15
นาที แล้วจึงค่อยๆเพิ่มมากขึ้น จนถึงครั้งละ 1 ชั่วโมง
หรือมากกว่านั้นตามต้องการ
- ครั้นกำหนดจิตด้วยการนับอย่างนั้นจนมีประสบการณ์พอสมควรแล้ว
ท่านก็จะรู้สึกว่า จิตนั้นสะอาด สงบเย็น ผ่องใส ไม่หงุดหงิด ไม่หลับไหล
ไม่วิตกกังวลต่อสิ่งใด นั่นแหละคือสัญญาลักษณ์ที่แสดงว่า
สมาธิกำลังเกิดขึ้นในจิต
- เมื่อจิตสงบเย็น ไม่หงุดหงิดเช่นนั้นแล้ว อย่าหยุดนิ่งเสีย
ให้ท่านเริ่มน้อมจิตและพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ต่อไป ถ้ามีปัญหาชีวิต
หรือปัญหาใดๆ ที่ทำให้ท่านเป็นทุกข์หรือกำลังกลัดกลุ้มอยู่
ก็จงน้อมจิตเข้าไปนึกพิจารณาปัญหา ด้วยความสุขุมรอบคอบ ด้วยความมีสติ
- จงยกเอาปัญหานั้นมาพิจารณาว่า ปัญหานี้มันมาจากไหน
มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะอะไรจึงหนักใจ ทำอย่างไรจะแก้ไขได้
ทำอย่างไรจึงจะเบาใจ และไม่เป็นทุกข์กับมัน
- การพิจารณาอยู่ด้วยสติอันสงบเย็นนี้ การถามหาเหตุผลกับตัวเองอย่างนี้
จิตจะค่อยๆรู้เห็น
และเกิดความคิดนึกรู้สึกอันฉลาดขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน
จิตจะสามารถเข้าใจต้นสายปลายเหตุของปัญหาต่างๆ
ได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง นักปฎิบัติจึงต้องพยายามพิจารณาปัญฟาต่างๆ
อย่างนี้เรื่อยไป หลังจากที่จิตสงบแล้ว
- ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหาความทุกข์เกิดขึ้น
หลังจากที่จิตสงบเป็นสมาธิแล้ว
จงพยายามคิดหาหัวข้อธรรมะหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งมาพิจารณา เช่น
ยกเอาชีวิตของตนเองมาพิจารณาว่า มันมีความมั่นคง จีรังยั่งยืนอะไร
เพียงไหน ท่านจะได้อะไรจากชีวิต คือร่างกายและจิตใจนี้
ท่านจะอยู่บนโลกนี้นานเท่าไร เมื่อท่านตายท่านจะได้อะไร
ให้พยายามถามตัวเองเช่นนี้เสมอ
- หรือท่านอาจจะน้อมจิตไปสำรวมการกระทำของตัวเองเท่าที่ผ่านมา
พิจารณาดูว่า ท่านได้ทำประโยชน์อันใดให้แก่ส่วนรวม
ท่านได้ทำอะไรผิดพลาด และตั้งใจว่า ต่อไปนี้ท่านจะไม่ทำในสิ่งที่ผิด
จะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ดี จะไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่สบายใจ
ท่านจะพูดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่โลกนี้
ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของชีวิตท่านเอง
- จงเข้าใจว่า เป้าหมายที่ถูกต้องของการฝึกสมาธินั้น คือท่านจะฝึกสมาธิให้จิตสงบจากอารมณ์ภายนอก ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้ว จิตนั้นจะมีกำลัง และมั่นคงสภาวจิตเช่นนั้นเอง ที่มันจะมีความพร้อมในการรับรู้ จะเข้าใจปัญหาต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมตัวท่านอยู่ ได้อย่างถูกต้องตามเป็นจริง