ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
สุนทรียศาสตร์อินเดีย
รศ. สมเกียรติ ตั้งนโม (โครงการจัดตั้ง ACT: Art Criticism & Theory)
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
นาฏยศาสตร์ของภารตะมุนี และในคัมภีร์อุปนิษัท
นาฏยศาสตร์ของภารตะมุนี(Bharata Muni's Natya Sastra)
(ตำราเกี่ยวกับทฤษฎีและการปฏิบัติทางการละคร - Treatise on dramaturgy)
(ได้รับการเขียนขึ้นในช่วงระหว่าง 2 ศตวรรษก่อนคริสตศักราช จนถึงคริสตศตวรรษที่ 2)
ถือเป็นงานเขียนชิ้นแรกในทางทฤษฎีการละคร
ผลงานชิ้นดังกล่าวอ้างถึงมนุษยเริ่มรู้สึกทุกข์ทรมานจากความหยิ่งทะนง
และชีวิตที่เปี่ยมสุขต้องกลับกลายเป็นความทุกข์ทรมานอย่างเต็มที่
พระพรหมได้สร้างสรรค์การละครขึ้นด้วย - ดนตรี บทกวี และการร่ายรำประกอบกัน
เพื่อยกระดับมนุษยชาติขึ้นสู่เรื่องทางศีลธรรมและจิตวิญญานโดยวิธีการทางสุนทรีย์
(รส rasa) (Bharata, 2003)
จากภารตะ(Bharata) เรื่องอารมณ์ความรู้สึก (รส - rasa, หมายถึง รสนิยม หรือ
รสชาติ-"flavor" or "relish")
ได้ถูกรับรู้ในฐานะหัวใจหรือแก่นของการละครและศิลปกรรมทั้งมวล
ด้วยเหตุนี้รสจึงหมายถึงความรู้สึกที่นักกวีคนหนึ่งถ่ายทอดสู่ผู้อ่านที่เป็นไปอย่างสอดคล้องกัน,
มีรสนิยมทางสุนทรีย์คล้ายๆ กัน หรือมีความปลาบปลื้มพึงใจทางสุนทรีย์ลงรอยกัน
(Gupta)
รส
ความปลาบปลื้มพึงใจทางสุนทรีย์เคล้าคลอไปกับความรู้สึกซาบซึ้งในการร่ายรำและการละคร
ได้รับการกล่าวถึงในคัมภีร์อุปนิษัท(Upanishads),
และบางครั้งถูกอ้างในเชิงเปรียบเทียบได้กับความเข้าใจหรือเข้าถึงถึงความจริงระดับอันติมะ[ความจริงสูงสุด](Tripurari,
p. 10). ความแตกต่างระหว่างรสทางสุนทรีย์(aesthetic rasa) กับ
การเข้าถึงพรหมมันเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของสิ่งสมบูรณ์(Brahman realization of the
form of the Absolute) กลายเป็นประเด็นปัญหาทางปรัชญาที่สำคัญ .
รส-ลีลาของพระกฤษณะ (การร่ายรำด้วยความรักของพระองค์กับพระนางราธา - Krishna's
rasa-lila [his love dance with Radha]) คือคำตอบหนึ่งของปัญหาทั้งหลายเหล่านี้
และน้อมนำสู่การพัฒนาทางปรัชญาเกี่ยวกับประเภทต่างๆ ของความรัก (Tipurari, p. 37)
การร่ายรำนี้
ได้รับการอรรถาธิบายครั้งแรกในภควตะบูรณะ(Bhagavata Purana) (ราวศตวรรษที่ 10)
และอยู่ในรูปของร้อยกรองในศตวรรษที่ 12
ที่ได้ให้แรงบันดาลใจในงานจิตรกรรมและบทกวีต่างๆ (เรียกรวมกันว่า ragamala
(ราก้ามาลา) - มาลัยท่วงทำนอง);
ซึ่งได้สร้างเนื้อในสำหรับสุนทรียะแห่งการอุทิศตนที่เรียกว่าภักดีรส(bhakti rasa)
อันเป็นที่นิยมชมชอบใน Vedanti (เวทานติ)[Tripurari].
นับเนื่องวันเวลาจากศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา
มาลัยท่วงทำนอง(the ragamala) (พวงร้อยของท่วงทำนอง - garland of ragas)
คือภาพชุดงานจิตรกรรม บ่อยครั้งประกอบด้วยบทกวี ที่ขานเป็นท่วงทำนองเพลง
เป็นดนตรีทางโลกที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกต่างๆ โดยเฉพาะรสนิยม (rasa).
งานจิตรกรรมเขียนภาพวีรบุรุษหรือวีรสตรีหรือพระผู้เป็นเจ้า
โดยการคล้องจองชื่อและสัญลักษณ์ ในฉากของความรักประสานสอดคล้องไปกับวันเวลา ฤดูกาล
และวิธีการทางสุนทรีย์. แม้ความเข้าใจภายในกรอบของศาสนาฮินดู,
รส-ลีลาจะไกลโพ้นออกไป แต่ในราชวงศ์โมกุล คือบรรดาชนชั้นสูงมุสลิม
ได้มีการมอบหมายให้เขียนภาพต่างๆ เกี่ยวกับ รส-ลีลานี้ด้วย
ด้านดนตรีในอินเดีย
มีขนบจารีตทางสุนทรีย์มายาวนานในทำนองเดียวกัน
สามเวทได้ปฏิบัติกับดนตรีในฐานะศิลปะชั้นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บรรดาปรัชญาเมธีอินเดียได้ให้ความสนใจในสุนทรียศาสตร์ทางด้านเสียง(Malik),
ดนตรีและการร่ายรำ(Mittal; Iravati), และรวมไปถึงท่วงทำนองบทสวดและการเล่าเรื่อง
(Kaushal).
****แหล่งอ้างอิงทางวิชาการ (บางส่วน)
http://en.wikipedia.org/wiki/Aesthetics#Indian_aesthetics
http://science.jrank.org/pages/8188/Aesthetics-in-Asia-India.html
ระสะ : รสชาติทางอารมณ์ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในผลงานศิลปะ
นาฎยศาสตร์: คัมภีร์พระเวทอันดับห้า (ยุคเสื่อม)
ทฤษฎีรส พัฒนาขึ้นโดยนักสนุทรียศาสตร์แคชเมียร์
รส-ธวานิหรือข้อเสนอแนะเชิงบทกวี
ความสำคัญของรส ศูนย์กลางเกี่ยวกับประสบการณ์ของมนุษย์
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับกามะ-กาม
นาฏยศาสตร์ของภารตะมุนี และในคัมภีร์อุปนิษัท