ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์>>
สุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่น
กวีนิพนธ์ญี่ปุ่น: ความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ถ้อยแถลงที่สำคัญเป็นอันดับแรกเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ญี่ปุ่นคือ
ส่วนคำนำของหนังสือรวบรวมบทกวีต่างๆ ตั้งแต่สมัยโบราณถึงสมัยใหม่(the Collection
of Poems Ancient and Modern (Kokinwakshu, ca. 920).
ในถ้อยความนั้นได้สะท้อนความรู้สึกเกี่ยวกับความเชื่อมโยงอันคุ้นเคยระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ
ที่พบในลัทธิชินโตและสุนทรียศาสตร์จีน
กวีนิพนธ์คือปฏิกริยาซึ่งเป็นธรรมชาติอันหนึ่งต่อสิ่งที่กำลังขับเคลื่อนทางอารมณ์ความรู้สึกใชั่วขณะนั้นๆ
โดยเฉพาะธรรมชาติและความรัก ที่เป็นบริบทหลักทั้งคู่ต่อความรู้สึกอันลึกซึ้ง
การเป็นมนุษย์คือสิ่งที่ถูกขับเคลื่อนโดยความงามของธรรมชาติ
และเป็นการแสดงออกทางอามรณ์ความรู้สึกของคนๆ หนึ่ง และด้วยเหตุนี้
กวีนิพนธ์จึงเป็นธรรมชาติเท่าๆ กันกับเสียงร้องเพลงของนก
การแสดงออกทางศิลปะทางด้านอารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นมาในฐานะการกลั่นกรองและเติมเต็มความเคลื่อนไหวที่เป็นธรรมชาติของเราให้สมปรารถนา
mono-no-aware อารมณ์ความรู้สึกต่อความเป็นอนิจจัง (impermanence)
การเพ่งความสนใจไปที่ธรรมชาติ การยอมรับเกี่ยวกับภาวะเพียงแค่ชั่วคราวของสรรพสิ่ง
ของความงาม และอุดมคติเกี่ยวกับความเงียบสงบ(tranquility)
ได้ก่อรูปพื้นฐานอุดมคติต่างๆ ทางสุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่นจำนวนมากขึ้นมา
ความคิดในด้านสุนทรียภาพในเชิงรากฐานที่สุดอาจเป็นเรื่องของ mono-no-aware,
กล่าวคือ พลังกระตุ้นให้เกิดความรู้เศร้าหรือสงสารในสิ่งต่างๆ (pathos of
things).
อันนี้ไปเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหวอย่างรุนแรงต่อความเป็นอนิจจัง(impermanence
เปลี่ยนแปลง ไม่มั่นคง), ไม่ว่าในเรื่องของการจากลา
หรือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของอายุไปสู่วัยชราของตัวเองก็ตาม
ชนิดหนึ่งของความเศร้าอันหวานชื่น(sweet sorrow)
ซึ่งเกิดขึ้นจากการยืนยันถึงความงดงาม ในเวลาเดียวกันก็ยอมรับการจากไป
อันประกอบด้วยความรู้สึกของการยอมรับ
ผลแห่งความรู้สึกเศร้าที่มาจากการมองเห็นและการปรับให้สอดคล้องกับคุณภาพอันเป็นแก่นของชีวิต
ด้วยเหตุนี้ การตระหนักรู้(aware) จึงหมายถึง
เงื่อนไขในเชิงวัตถุวิสัยของความจริง และภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ
Yugen (mysterious depth) ความจริง ที่ท้าทายและขัดขืนต่อแนวคิดของมนุษย์ Yugen
(mysterious depth ความลึกซึ้งอันลึกลับ)
เป็นอุดมคติหนึ่งซึ่งโดดเด่นในสมัยกลางของญี่ปุ่นโดยเฉพาะ(ค.ศ.1186-1603)
จำเพาะเมื่อสุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายเซน แม้ศัพท์คำว่า
yugen จะได้รับการตีความในหลากหลายความหมายตลอดเวลานับศตวรรษ แต่โดยทั่วไปแล้ว
หมายถึงความรุ่มรวยอันไม่สิ้นสุดของความจริง ที่ท้าทายและขัดขืนต่อแนวคิดของมนุษย์
(the inexhaustible richness of reality that defies human conception).
โลกคือมิติหนึ่งของความลึกลับซับซ้อนที่พวกเราเพียงรู้สึกถึงได้อย่างอ้อมๆ
หรือโดยสหัชญาน(ไม่ผ่านกระบวนการของเหตุผล)เท่านั้น (The world has a dimension of
mystery that we can only indirectly feel or intuit)
เนื่องมาจากความหมายเช่นนี้เกี่ยวกับความสงสัยและความลึกล้ำ บ่อยครั้งที่ yugen
จึงถูกตราหรือให้คุณลักษณ์พิเศษโดยความรู้สึกหนึ่งของความโศกเศร้า
การถวิลหาความสงบสำหรับความงามที่ไม่สามารถถูกคว้ามาได้อย่างเต็มที่ ดั่งเช่นนักกวี
Fujiwara no Shunzei (ค.ศ.1114-1204) กล่าวถึง สหัชญานอันลึกซึ้งในภาวะ yugen
สามารถรับรู้หรือเข้าถึงได้โดยผ่าน shikan,
ความสงบเยือกเย็นและความเข้าใจอย่างถ่องแท้(tranquility and insight),
รูปแบบหนึ่งของพุทธศาสตร์เกี่ยวกับการทำสมาธิ บนความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและไพศาล
เกี่ยวกับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอันเป็นคุณลักษณะเฉพาะพิเศษของโลก
มันได้รับการนำเสนอในกวีนิพนธ์ด้วยภาพลักษณ์ต่างๆ
ที่ส่งเสียงก้องกังวานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความหมาย
ซึ่งได้สรรค์สร้างบรรยากาศที่ไม่อาจนิยามมันขึ้นมาได้
เป็นบรรยากาศแห่งความคลุมเครือ
สำหรับ Kamo no Chomei (ค.ศ.1155-1216)
ได้พูดถึงความละเอียดอ่อนลึกซึ้งของศัพท์คำว่า yugen
ว่าสามารถพบได้ในช่วงยามเย็นของฤดูใบไม้ร่วง
เมื่อจ้องมองไปที่ความว่างของสีสันบนท้องฟ้าอันไร้ขีดจำกัด
พวกเราถูกทำให้รู้สึกน้ำตาซึมโดยไม่อาจอธิบายได้
honi (poetic essences)
แก่นสารของกวีนิพนธ์ที่สัมพันธ์กับแก่นสารของธรรมชาติ
แบบฉบับที่แตกต่างอีกอันหนึ่งของความคิดเกี่ยวกับกวีนิพนธ์
ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับทัศนะที่มีต่อธรรมชาติของคนญี่ปุ่นคือคำว่า honi (poetic
essences- แก่นสารต่างๆ ของกวีนิพนธ์). พืชพันธุ์และสัตว์ต่างๆ
เช่นเดียวกับฉากอันมีชื่อเสียงในธรรมชาติ
ได้ถูกนำไปสัมพันธ์กับคุณภาพบางอย่างโดยเฉพาะ. ต้นไม้ นก
และโดยเฉพาะทิวทัศน์ได้ถูกคิดคำนึงว่ามีธรรมชาติที่แท้จริง(true nature)อันหนึ่ง
ซึ่งกวีได้รับการคาดหวังว่าจับคว้ามาได้ และนำเสนอออกมาในกวีนิพนธ์ของพวกเขา
ในกรณีส่วนใหญ่
คุณสมบัติเหล่านี้ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องของฤดูกาลโดยเฉพาะด้วย
แก่นสารของกวีนิพนธ์เกี่ยวกับนก chidori (plover -
นกต้อยตีวิด), เป็นตัวอย่าง คือบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้รู้สึกหดหู่และซึมเศร้า
ลักษณะร่วมกันอันนี้มีสาเหตุเนื่องมาจากเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยของมัน
และมาจากการถูกพบได้ตามชายฝั่ง
อันเป็นสถานที่ที่ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง
ด้วยเหตุนี้มันจึงเสนอภาพในทำนองเปล่าเปลี่ยว เหงาหงอย
เนื่องมาจากความสัมพันธ์ของมันกับความเศร้าโศกและแนวโน้มของมันที่อยู่กันเป็นกลุ่มๆ
ในช่วงฤดูหนาวอันไร้ผู้คน ในความอ้างว้าง มันเป็นภาพทิวทัศน์ของฤดูหนาวอันเยือกเย็น
ขณะเดียวกันในโลกตะวันตกสมัยใหม่ อาจรู้สึกว่า
สุนทรียภาพดังกล่าวได้สร้างข้อจำกัดเทียม(ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นสิ่งที่สร้างขึ้น)บนการขานรับของพวกเราที่มีต่อธรรมชาติ แต่ในขนบจารีตญี่ปุ่น
มันคือหนทางหนึ่งของการยอมรับแก่นสารของธรรมชาติเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
และเป็นการบ่มเพาะความรู้สึกอ่อนไหว ซึ่งขานรับต่อความลึกซึ้ง
ความละเอียดอ่อนของพวกเขา
sabi - wabi สุนทรียศาสตร์ของความพร่อง / ความไม่พอเพียง
สุนทรียภาพแบบชินโต: การแสดงถึงเอกภาพทั้งมวล
Mono no aware: การร่วมรู้สึกกับสิ่งต่างๆ -
ความรู้สึกอ่อนไหวกับสิ่งที่ไม่จีรังคงทน
การละครของญี่ปุ่น Zeami
พิธีชงชา (Tea ceremony)
สวนญี่ปุ่น (Japanese gardens)
ด้านวรรณกรรม
สุนทรียศาสตร์ด้านการประพันธ์ญี่ปุ่นมีรากเหง้ามาจากลัทธิชินโตและพุทธศาสนา
กวีนิพนธ์ญี่ปุ่น: ความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ