ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม
แพทย์สามัญไร้โอสถดี ผู้วิเศษกล่าวถึงบัวหิมะ
กล่าวฝ่ายราชาเมี่ยวจ้วนไม่ได้โอสถดีที่จะรักษารอยแผลเป็นบนหน้าผากของพระธิดาเมี่ยวส้าน
รู้สึกไม่สำราญพระทัย
พระองค์จึงตั้งพระทัยว่าจะเนรเทศเหล่าแพทย์ทั้งหมดออกนอกประเทศไปไม่ยอมให้อยู่ในซิ่นหลินประเทศ
เพื่อไม่ให้ราษฎรทั้งหมดถูกพวกแพทย์เหล่านี้หลอกลวงอีก
พระองค์จึงทรงเรียกเสนาบดีคอนาโลมมาปรึกษา พระองค์คิดอยากปฏิบัติการโดยเร็ว
แต่เพราะเสนาบดีคอนาโลทัดทานเอาไว้ จึงมีกำหนดชะลอไว้ 7 วัน ถ้าหากภายใน 7
วันยังไม่มีใครสามารถรักษาแผลของพระธิดาให้ทรงหายได้
ก็จะสั่งดำเนินการให้เนรเทศเหล่าแพทย์ให้ออกไป เมื่อประกาศนี้แพร่สะพัดออกไป
ทำให้ผู้ที่มีอาชีพทำมาหากินเกี่ยวกับการรักษา ต่างประหวั่นพรั่นพรึงจนหน้าซีดเผือด
ต่างร้องด้วยความทุกข์ระทม ได้แต่หวังว่าฟ้าจะเมตตาปกป้อง
ส่งผู้วิเศษลงมารักษาพระธิดา
เพื่อผู้รักษาโรคทั้งหลายจะได้ไม่ต้องทนทุกข์จากการพลัดพราก
แต่ความหวังเช่นนี้จะสำเร็จได้อย่างไร
วันหนึ่งผ่านไป อีกวันหนึ่งก็ยังผ่านไป
ก็ยังไม่มีข่าวดีอะไร เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวันเหมือนก้อนหินจมหายในทะเลใหญ่
พวกแพทย์ก็ใจคอยิ่งร้อนรนราวกับว่าพระอาทิตย์เพิ่มขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่เจ็ด ใกล้ถึงกำหนดแล้ว ชั่วเวลาสั้น ๆ
อย่างนี้จะมีความหวังอะไรจากที่ไหนอีก แต่ทว่าฟ้าไม่เคยตัดหนทางคนเลย
ในชั่วขณะจะถึงเวลากำหนด
ขณะที่ราชาเมี่ยวจ้วนกำลังรับสั่งให้เสนาบดีคอนาโลเข้าเฝ้าเพื่อปรึกษาการเนรเทศเหล่าแพทยให้ออกไปอยู่นั้น
ทันใดนั้นที่นอกประตูมหาราชวังก็มีบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งกำลังขอเข้าเฝ้าพระราชา
เขาว่าเขามีความสามารถจะรักษาโรคของพระธิดาได้
กำลังขอให้พระราชามีราชโองการรับสั่งเข้าเฝ้า
กล่าวฝ่ายราชาเมี่ยวจ้วนกำลังกลุ้มพระทัยในเรื่องนี้อยู่พอดี
เมื่อได้ข่าวว่ามีคนสามารถจะรักษาให้หายได้
ก็ทรงพอพระทัย รีบมีรับสั่งให้บัณฑิตหนุ่มเข้าเฝ้าได้ มหาดเล็กออกไปไม่นานนัก
ก็นำบัณฑิตหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในตำหนัก ราชาเมี่ยวจ้วนทอดพระเนตรดูเขา
ชายหนุ่มมีลักษณะสง่างาม ภูมิฐาน กิริยาสง่าผ่าเผย เป็นบัณฑิตหนุ่มที่งดงามดี
เมื่อบัณฑิตหนุ่มถวายคำนับเสร็จแล้ว ทรงอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งแพรไหม
แล้วมีดำรัสถามว่า ตัวเจ้ามีนามกรว่ากระไร บ่านอยู่ที่ไหน
ขอให้บอกมาอย่างละเอียดโดยตรง ชายหนุ่มน้อมกายลงแล้วทูลตอบว่า กระหม่อมเรียกว่า
โหลวน่าฝู่ลวี่ อาศัยอยู่ทางทิศใต้ของภูเขาตัวเป่าซัน
ตลอดชีวิตศึกษาแต่ยาสมุนไพรช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ชาวบ้านมาตลอด
ตอนนี้ได้ข่าวว่าพระธิดามีแผลบนหน้าผาก
ผ่านการรักษามาแล้วไร้ผล พระราชาของเกล้ากระหม่อมทรงกริ้ว
อยากจะขับไล่พวกแพทย์ให้ออกนอกประเทศไป
เกล้ากระหม่อมคิดว่าถึงแม้พวกแพทย์ชั้นสามัญเหล่านี้จะไม่มีความสามารถ
แต่แท้ที่จริงแล้ว โรคของพระธิดาต่างหากที่แพทย์สามัญไม่อาจจะรักษาให้หายขาดได้
หากเนรเทศพวกเขาจนหมด จะไม่เป็นการรุนแรงไปหรือ ดังนั้น
เกล้ากระหม่อมจึงรีบมากราบทูล เป็นเพราะหนทางไกลจึงมาสาย ขอจงโปรดอภัยโทษพระเจ้าค่ะ
เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนฟังความแล้ว ก็ยิ้มอย่างเจื่อน ๆ ว่า บัณฑิตใจกล้ามาก
ข้าว่าเจ้าจะถวายโอสถอะไรให้ข้าเสียอีก ที่แท้ก็จะมาแก้ตัวให้เหล่าแพทย์พวกนั้น
อย่างนี้ก็ลงโทษที่กล่าวเท็จ โหลวน่าฝู่ลวี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วทูลว่า
โอสถวิเศษนะมีอยู่
หากแต่พระราชาจะลงโทษเกล้ากระหม่อม
เกล้ากระหม่อมก็จะไม่บอก ราชาเมี่ยวจ้วนตรัสถามว่า ถ้าเช่นนั้น ขอให้เจ้าพูดมา
ถ้าหากรักษาพระธิดาหายได้ก็ไม่มีโทษแถมยังมีพระคุณอีกด้วย ถ้าหากไม่มีประสิทธิผล
ก็เท่ากับหลอกลวงโทษจะเพิ่มเป็นสองเท่า จะไม่ยอมอภัยเด็ดขาด ถ้าหากมีโอสถวิเศษรีบ ๆ
เอามา โหลวน่าฝู่ลวี่หัวเราะว่า พระราชาแห่งเกล้ากระหม่อมเป็นผู้มีบุญญาธิการ
แต่ไม่รู้สูงต่ำ นี่เป็นเรื่องแบบไหน เพียงแค่พูดนั้นง่าย
พระองค์คิดว่าโรคของพระธิดายาสามัญจะสามารถรักษาให้หายได้กระนั้นหรือ
ราชาเมี่ยวจ้วนฟังเขาพูดจาสำบัดสำนวนนัก รู้สึกไม่พอพระทัย
จึงเปล่งพระสุรเสียงดังว่า ไม่ใช่ยาสามัญจะรักษาหายได้อย่างนั้นหรือ
คงต้องเอายาเทวดางั้นหรือ
ถ้าเช่นนั้น หากไม่พบยาเทวดา พระธิดาคงรักษาไม่หาย
ดูเจ้าหนุ่มน้อย เจ้าจะมียาเทวดาหรือ โหลวน่าฝู่ลวี่พยักหน้าทูลว่า
เมื่อพระราชาเกล้ากระหม่อมทรงพระปรีชา
ดำรัสถึงสิ่งนี้แต่ก็มีในโลกมนุษย์จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ว่ามีบารมีเทพพุทธเพียงใด
เกล่ากระหม่อมมีแต่ไม่มี รู้คือรู้จัก ราชาเมี่ยวจ้วนจึงตรัสถามว่า
แสงคือสิ่งที่รู้จัก จะมีประโยชน์อะไร เมื่อแสวงหามาไม่ได้ ในที่สุดก็เปลืองใจเปล่า
ๆ จะมีประโยชน์อันใดเล่า โหลวน่าลวี่ทูลว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับความศรัทธาและจริงใจ
กายเนื้อนี้ยังสามารถสำเร็จเป็นพุทธะได้แล้วสิ่งที่มีอยู่ในโลกมนุษย์
ทำไมจะค้นหาไม่พบ
ขณะนั้นเสนาบดีคอนาโลก้มตัวลงกราบทูลราชาว่า
กระหม่อมเห็นว่า บุคคลนี้มีความพิสดารอยู่บ้าง คำพูดของเขาดูเหมือนจะเชื่อถือได้
รอให้เขาอธิบายให้กระจ่างเสียก่อน ค่อยจัดการกับเขาหรืออาจมีประสิทธิผลก็ได้
ราชาเมี่ยวจ้วนพยักหน้ารับแล้วมีดำรัสต่อโหลวน่าฝู่ลวี่ว่า เจ้าบัณฑิต
อย่าได้สำนวนพูดจาไร้สาระถ้าหากมีโอสถวิเศษ โอสถอยู่ที่ไหน จะไปแสวงหาได้อย่างไร
รีบ ๆ บอกมาให้รู้จะได้ให้คนไปค้นหา ถ้าหากสามารถรักษาธิดาสามหายได้
ข้าจะบำเหน็จรางวัลใหญ่ ๆ ให้แน่นอน เป็นการตอบแทนพระคุณ เจ้าอย่าได้สำบัดสำนวนเลย
โลวน่าฝู่ลวี่จึงทูลอย่างเป็นงานเป็นการว่า เกล้ากระหม่อมมิกล้ากล่าวเล่นกับพระราชา
เมื่อครู่นี้เพราะว่าพระราชายังมีจิตใจเชื่อถือไม่แน่วแน่
ดังนั้นจึงไม่ยอมพูด
ตอนนี้พระราชาไม่เคลือบแคลงสงสัยแล้ว เกล้ากระหม่อมก็จะทูลให้กระจ่างชัด
สิ่งที่เกล้ากระหม่อมพูดถึงไม่ใช่อื่นใดเลย นอกเสียจากดอกบัว
ราชาเมี่ยวจ้วนทรงพระสรวลดัง ๆ ว่า สิ่งนี้วิเศษอย่างไร เวลานี้สระบัวที่อุทยานหลวง
บัวเขียวล้ำค่ามีมากมาย เอาสักดอกจะยากเย็นอะไร ของแค่นี้ทำวิเศษวิโสไปได้
โหลวฝู่ลวี่โบกมือไปมาทั้งสองข้างร้องว่า มิใช่พระเจ้าค่ะ
บัวเขียวนั้นจะว่าล้ำค่ามิได้ เป็นเพียงบัวดีแต่ก็ใช้ไม่ได้
สิ่งที่เกล้ากระหม่อมทูล มิใช่ดอกบัวที่ปลูกในสระ แต่เกิดบนภูเขา
รากจะไม่ถูกดินโคลน ดอกไม่เปื้อนฝุ่นละออง บานท่ามกลางหิมะ เมื่อมีเสียงจะหลบซ่อน
หากได้ดอกนี้มาเพียงหนึ่งกลีบ แผลเป็นของพระธิดาจะหายทันที
เมื่อราชาเมี่ยวจ้วนฟังความว่า ที่ไหนเลยจะทรงเชื่อ
ทรงสั่นเศียรว่า นี่ก็แน่ชัดว่าเจ้ากุเรื่องขึ้นมาหลอกคน
ในโลกนี้จะมีดอกบัวชนิดนี้ที่ไหน โหลวน่าฝู่ลวี่ทูลตอบว่า มีแน่นอนแต่มีน้อย
ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบันมีเพียงสามดอก
ดอกหนึ่งถูกสมเด็จพระชนนีเจ้าย้ายขึ้นไปบนตำหนักสวรรค์ปลูกอยู่ในสระทิพย์
อีกดอกหนึ่งถูกพระอมิตภะพุทธเจ้านำไปที่แดนสุขาวดี ตะวันตกเพื่อใช้เป็นปทุมอาสน์
ยังเหลืออีกเพียงดอกเดียวที่อยู่ในแดนมนุษย์ เพื่อรอคอยผู้มีบุญสัมพันธ์
ราชาเมี่ยวจ้วนดำรัสว่า ถ้าเช่นนั้น ดอกบัวนี้ปุถุชนไม่อาจเก็บได้
พูดมาค่อนวันเปล่าประโยชน์เมื่อยปากเปล่า ๆ ดอกที่เหลืออยู่ในโลกมนุษย์นั้น
อยู่ที่ไหน ทำอย่างไรจึงจะเอาได้ ขอให้เจ้าพูดมา โหลวน่าฝู่ลวี่ทูลว่า
จะว่าไกลก็ไม่ไกล จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้มีภูเขาซวีหนีซัน
ตรงกลางมียอดเขาสูงเรียกว่ายอดเขาบัวหิมะ ที่นั่นคือดอกที่เหลืออยู่ในโลกนี้
บัวหิมะจะเกิดอยู่หลุมหิมะที่เป็นน้ำแข็ง ถ้าอยู่ที่ตีนเขา บางครั้งจะมองเห็น
มีหิมะล้อมรอบ มีกลิ่นขจรไปไกลซึ่งแสดงว่าเป็นของวิเศษล้ำค่า
หากต้องการของสิ่งนี้ผู้ที่ไม่มีบุญสัมพันธ์แม้จะเหน็ดเหนื่อยสักปานใดก็ไม่มีทางเอาได้
หากเป็นผู้มีบัญสัมพันธ์แล้วเพียงศรัทธาชั่วขณะจิต ไม่ต้องลำบากอะไร
ช้าเร็วก็จะสมหวัง ราชาเมี่ยวจ้วนทรงคิดอย่างรอบคอบแล้วสั่นเศียรว่า ไม่ได้ ไม่ได้
เจ้าถึงแม้จะรู้สถานที่ของดอกบัวและรู้คุณประโยชน์อเนกอนันต์
หากแต่เจ้าก็ไม่สามารถอธิฐานด้วยความศรัทธาเพื่อไปนำดอกบัวนั้นมาได้
จึงได้มาที่นี่มาเล่นลิ้นเพื่ออะไร นี่ก็ชัดแจ้งว่าเป็นการพูดจามดเท็จ
แล้วก็มาพูดจาออกหน้ารับแทนพวกแพทย์อีก มาทำหลอกล่ออยู่หน้าพระพักตร์
ข้าจะไม่พูดมากกับเจ้าแล้ว สั่งให้ควบคุมตัวเจ้าไว้ก่อน
รอให้ข้าส่งคนไปที่เขาซวีหนีซัน เพื่อสืบหาให้แน่ชัด
ถ้าหากมีรายงานว่าของสิ่งนี้มีจริงตอนนั้นค่อยต้อนรับเจ้าดุจแขกอันทรงเกียรติ
ถ้าหากไม่มีสิ่งของนี้ก็อย่าได้ว่าข้านี้ใช้อำนาจดังขุนเขา
ไม่ปล่อยให้ชีวิตเจ้ารอดหรอก โหลวน่าฝู่ลวี่รับคำว่าได้พ่ะยะค่ะ แล้วทูลต่อไปว่า
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเองเนรเทศเหล่าแพทย์ออกนอกประเทศก็ขอพักเอาไว้ก่อนชั่วคราวรอคอยให้กระจ่างก่อนค่อยเจรจากันใหม่
ราชาเมี่ยวจ้วนก็ทรงตอบรับ จากนั้นก็มีรับสั่งให้กักบริเวณโหลวน่าฝู่ลวี่
ดูแลอย่างดี ด้านหนึ่งก็ปรึกษากับเสนาบดีคอนาโลเกี่ยวกับหาคนไปเก็บดอกบัว
คอนาโลทูลว่า นี่ก็เป็นบัญชาที่ยาก จากที่นี่ไปถึงภูเขาซวีหนีซันนั้นไกลมาก
พื้นที่เป็นทะเลทรายสูงชันมีป่าทึบ มีอันตรายสารพัด
หากมิใช่ชายชาตรีที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวยอดคนแล้วจะไปได้อย่างไรกัน เป็นประการแรก
อีกประการหนึ่งคือ คน ๆ
นี้ต้องใจคอหนักแน่นมิฉะนั้นก็อาจถูกคนหลบซ่อนระหว่างทางสร้างเรื่องรายงานเท็จ
ดังนั้น จึงขอพระองค์ได้โปรดคิดทบทวน
ราชาเมี่ยวจ้วนก้มพระพักตร์คิดสักครู่ก็ยังหาคนไม่ได้ จึงกล่าวว่า
เรื่องนี้ไว้พรุ่งนี้เช้านัดประชุมขุนนางบุ๊นบู๊เพื่อปรึกษาหารือกัน
แล้วค่อยดำเนินการดำรัสจบก็เสด็จเข้าในตำหนัก คอนาโลก็ทูลลากลับจวนไป วันรุ่งขึ้น
เหล่าขุนนางนับร้อยเข้าประชุมพร้อมเพรียงกัน หลังจากถวายบังคมแล้ว
ก็แบ่งกันยืนเป็นแถวเป็นแนว ราชาเมี่ยวจ้วนทรงเล่าเรื่องดังกล่าวให้ขุนนางฟัง
แล้วทรงถามว่าใครกล้าไปบ้าง ขณะนั้นก็มีขุนพลเจี่ยเย่ยอมไป
บุคคลคนนี้นับว่าเป็นผู้ที่มีความเฉลี่ยวฉลาดและกล้าหาญชาญชัยพร้อม
เหมาะที่จะรับหน้าที่อันนี้ ราชาเมี่ยวจ้วนรู้สึกพอพระทัย
จึงประทานสุราสามจอกเป็นการเลี้ยงส่ง
ภายหลังขุนพลเจี่ยเย่กลับถึงจวนแล้วก็รีบคัดเลือกพล 50 นาย
ตระเตรียมเสบียงน้ำดื่มและกระโจมที่พักแต่ละอย่างเอาขึ้นบรรทุกบนหลังอูฐ
เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางทันที มุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออก
เพื่อสืบหาของล้ำค่าที่ภูเขาซวีหนีซัน กองคาราวานหมู่นี้
เดินท่ามกลางทะเลทรายที่กว้างใหญ่ แม้จะเป็นหนทางที่ลำบาก ทุรกันดารยิ่ง นั่นคือ
มีใจอยากรักษาแผลเป็น สืบหาบัวหิมะขาว
» ถวายสุราศาลาเย็น ไข่มุกเด่นสู่ครรภ์ในฝัน
» หาว่าผู้เฒ่าพูดปดว่าพระเมตตา ธิดาน้อยหยุดกันแสงฟังโฉลก
» คิดยกราชบัลลังก์ เห็นมดต่อสู้กันเกิดจิตเมตตา
» ช่วยเหลือจักจั่นจนบาดเจ็บ ใครรักษาแผนเป็นหายมีรางวัล
» แพทย์สามัญไร้โอสถดี ผู้วิเศษกล่าวถึงบัวหิมะ
» เสาะหาบัวบานบนเขาซวีหนีซัน มเหสีเป่าเต๋อทรงประชวร
» โศลกทิ้งเงื่อนงำ เห็นการเกิดตายแจ้งในสัจธรรม
» ปีตินิมิตเห็นพุทธเจ้า ขัดรับสั่งพระบิดาโทษดูแลอุทยาน
» แสดงธรรมหน้าโต๊ะเสวย ถูกขับรับงานหนักโรงครัว
» นางกำนัลซาบซึ้งในความศรัทธา จึงอาสาช่วยงานตรากตรำ
» ปณิธานย่อมเป็นทาสรับใช้ความศรัทธามั่นทำให้เสด็จพ่อกลับใจ
» กำหนดฤกษ์บูรณะวัดจินกวงหมิง ได้ฤกษ์ออกเดินทางสู่เขาเยโหม่ว
» มีดทดสอบตัดหกอายตนะ สู่ศูนย์ตาเพ่งไตรภูมิในความเงียบ
» ในสมาธิเกิดปีติมารเข้าแทรก เข้าสมาธิบัวขาวบานกลางใจ
» เดินทางสู่ภูเขาซวีหนีซัน โปรยข้าวเปลือกผ่านเขาจ้าวอีกา
» พบผู้ใจดีชี้ทางให้ หลงใหลธรรมชาติเกิดเรื่องขึ้น
» ไต้ซือถูกจับที่ภูเขาจินหลุน ผู้ร่วมทางตัดสินใจไปช่วยเหลือ
» คนป่าแย่งรองเท้าสานไป อริยสงฆ์รูปหนึ่งทรงช้างเผือกมา
» ไต้ซือเดินทางด้วยเท้าเปล่า ชนเผ่าเจียลาเลี้ยงสัตว์ในทะเลทราย
» มีกรรมสัมพันธ์กับบ้านหลู่ ข้าวเหนียวช่วยรักษาโรค
» ปราบเสือร้ายเทียนหม่าฟง ที่เมืองหลิวหลีเห็นทางสว่าง
» สู่ยอดเขางูกลืนช้าง สู่ภาพมายาเจ้าโจมตี
» เจอะหมีขาวแกล้งนอนตาย ให้ลิงเลียนแบบเดินแล้วไหว้
» สู่สันเขารู้กระจ่างแจ้ง คุยถึงเรื่องที่ผ่านมาเด็กซนทำเรื่อง
» ผ่านความทุกข์ลำบากมานับพันหมื่นสำเร็จธรรมถูกตีกระหม่อมทะลุสหโลกธาตุ