ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กำเนิดเจ้าแม่กวนอิม
โศลกทิ้งเงื่อนงำ เห็นการเกิดตายแจ้งในสัจธรรม
ขณะที่โหลวน่าฝู่ลวี่ถูกคุมตัวไปที่แดนประหาร
เสนาบดีคอนาโลผลุนผลันเข้ามากราบทูลว่า ขอฝ่าบาทโปรดหยุดความพิโรธไว้ก่อน
โปรดฟังกระหม่อมสักคำ โหลวน่าฝู่ลวี่มีวาจาก้าวร้าวโทษควรประหาร
แต่ขณะนี้พระมารดาแห่งแผ่นดินทรงพระประชวรด้วยโรคประหลาด
ยังไม่ได้รับการรักษากลับจะมาประหารคนในเวลานี้ จะเป็นอัปมงคล
ทำไมจึงต้องหาความขุ่นข้องให้ลำบากตัวเพิ่ม ตามความเห็นของกระหม่อม
สู้อภัยโทษเขาดีกว่า เพื่อหาวิธีรักษาพระมเหสี ราชาเมี่ยว จ้วนดำรัสว่า
เมื่อข้าแผ่นดินอาวุโสขอเอาไว้ ข้าก็เห็นแก่ท่าน โทษตายอภัยให้
แต่โทษอื่นละเว้นไม่ได้ ว่าแล้วก็มีโองการให้คนไปตามกลับมา
แล้วลงโทษตีด้วยกระบองสองร้อยที
จากนั้นก็นำไปจองจำในแดนนักโทษเด็ดขาดด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำของคอนาโลก็ได้ช่วยชีวิตโหลวน่าฝู่ลวี่ไว้แล้ว
จึงได้ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ พวกมหาดเล็กก็ช่วยกันแก้มัดโหลวน่าฝู่ลวี่ให้หลวม ๆ
แล้วผลักเขานอนลงกับพื้น แล้วก็ตีด้วยกระบองสองร้อยที
เสร็จแล้วก็นำไปขังในแดนนักโทษเด็ดขาด เข้าขื่อเข้าโซ่เพื่อรับการทรมานต่อไป
พอย่างเข้าคืนที่ 6 เมื่อยามเฝ้าห้องคุมขังตรวจไปถึงสถานที่โหลวน่าฝู่ลวี่นั่งอยู่
ก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ ไม่มีแม้แต่ร่องรอย พบแต่โซ่ตรวนที่แตกหักทิ้งเกลื่อนอยู่บนพื้น
มีกระดาษแผ่นหนึ่งวางไว้ม้านั่ง มีโศลก 4 ประโยคเขียนไว้ดังนี้
เมี่ยว วิธีอัศจรรย์อายตนะหกสะอาด
ส้าน สัมพันธ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นธาตุแท้
กวน เพ่งว่างเพ่งรูปรู้สึกแน่
อิม เสียงแท้หากได้ยินแสวงหา
พนักงานแดนขังต่างพากันถามไถ่ ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
ขณะที่เข้าคุมขังก็ได้ใส่กุญแจเพิ่มขึ้น เพราะเขาเป็นนักโทษเด็ดขาด
ทั้งยังเข้าขื่อไว้ที่คออีกด้วย ถ้าประตูไม่เปิดเขาจะหนีออกไปได้อย่างไร
ทุกคนช่วยกันจุดคบไฟขึ้นค้นหา แม้แต่ซอกหินแต่ละก้อนก็ส่องเห็น ไม่มีแม้แต่เงา
หัวหน้าหน่วยคุมขังไม่กล้าเอื่อยเฉื่อย รีบ ๆ
นำความรายงานต่อขุนนางผู้ใหญ่สัสดีเรื่อนจำนำกระดาษแผ่นนั้นแล้วรีบเข้าถวายรายงานในวังหลวงคืนนั้นเลย
ขณะนั้นอาการประชวรของมเหสีเป่าเต๋อเพียบหนัก
ราชาเมี่ยวจ้วนกำลังปรึกษาถึงเรื่องงานพิธีศพอยู่
เมื่อได้รับข่าวนี้ก็ไม่รู้สึกกริ้วมากนัก
กำลังคิดจะมีโองการให้สัสดีเรือนจำนำพนักงานแดนขังไปประหารฐานที่เผลอเรอต่อหน้าที่
อีกทางหนึ่งก็จะให้ทหารนำกองกำลังออกติดตามเพื่อนำโหลวน่าฝู่ลวี่กลับมาลงโทษ
ในพระทัยกำลังครุ่นคิดถึงตรงนี้ แต่ยังมิทันเปล่งวาจาออกมา
ก็พลันได้ยินนางกำนัลนางหนึ่งลุกลี้ลุกลนกราบบังคมทูลอยู่ตรงพื้นว่า
พระมเหสีเสด็จสวรรคตแล้วเพคะ ราชาเมี่ยวจ้วนพอได้ยินข่าวนี้รู้สึกเศร้าสลดพระทัยมาก
น้ำพระเนตรไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง จึงไม่มีกะจิตกะใจไปถามเรื่องโหลวน่าฝู่ลวี่
รีบลุกจากที่ประทับแล้วผลุนผลันเข้าไปในตำหนัก
ตั้งแต่วันก่อนที่บรรดานายแพทย์หมดปัญญาจะเยียวยาพระมเหสีเป่าเต๋อแล้ว
ก็ได้เขียนใบยาบำรุงขึ้นหนึ่งใบเพื่อถวายให้พระนางเสวย
แต่ทว่าเหมือนรดน้ำลงบนก้อนหิน ไม่มีประสิทธิผลแม้แต่น้อย
แต่กลับรู้สึกว่าอ่อนระโหยลงทุกวันจนกระทั่งถึงคืนวันที่ 19 เดือน 9
จึงได้เสด็จสวรรคตลาโลกตลอดกาล ขณะนั้นพระราชาเมี่ยวจ้วนกำลังโศกเศร้าพระทัย
เรื่องต่าง ๆ ก็สุดแท้แต่ขุนนางผู้ใหญ่จะจัดการ
เรื่องของโหลวฝู่ลวี่ที่หายสาบสูญก็ไม่มีการติดตามหา
เวลาผ่านพ้นไปหลายวันราชาเมี่ยว
จ้วนก็ฉุกคิดถึงโศลกที่โหลวน่าฝู่ลวี่ได้เขียนทิ้งไว้
จึงนำมาอ่านทบทวนดูรู้สึกจะแปลความหมายไม่สู้กระจ่างนัก มีซ่อนเงื่อนงำอะไรไว้
ยากที่จะคาดเดาได้ โศลกทั้งสี่เขียนเรียงแถวกันไปโดยไม่คาดคิด
ก็พบคำนำหน้าของโศลกทั้งสี่ได้บอกถึงเลศนัยอะไรไว้
คำแรกของแถวหนึ่งและสองคือพระนามของพระธิดาเมี่ยวส้าน
และคำแรกของแถวสามกับสี่คือกวนอิม แปลความหมายก็ไม่เหมาะนัก
ราชาเมี่ยวจ้วนทรงคิดว่า คำว่า กวน (เพ่ง) ต้องใช้ตาดู แต่อิม (เสียง)
นี่ซิต้องให้หูฟัง จะใช้ตาดูไม่เห็นแล้วคำสองตัวนี้ทำไมจึงเรียงอยู่ด้วยกัน
ราชาเมี่ยวจ้วนไม่อาจเข้าใจได้ถ่องแท้ในโศลกทั้งสี่ได้
แต่ในพระทัยรู้ว่าโหลวน่าฝู่ลวี่ผู้นี้มิใช่บุคคลธรรมดาจึงสามารถเสดาะโซ่ตรวนได้
ราวกับเทพเทวดาที่ล่องหนไปได้ แต่ว่าเมื่อเขาหลบหนีไปแล้ว ย่อมไม่มาใหม่อีกเป็นแน่
คิดถึงเขาก็ไร้ประโยชน์ จะปล่อยความคิดนี้ให้ผ่านเลยไปเราพักเรื่องนี้ไปก่อน
กล่าวถึงพระธิดาเมี่ยวส้าน
นับตั้งแต่พระองค์หกล้มจนหายประชวรแล้ว
พระนางเป่าเต๋อก็เฝ้าระมัดระวังเป็นพิเศษต่อการเดินเหิน
โดยปกติจะไม่ยอมปล่อยให้ออกไปเล่นข้างนอกตำหนัก
แต่ถ้าไปที่อุทยานก็จะให้นางกำนัลไปด้วย 3 ถึง 5 คน
และไม่ยอมให้พระธิดาช่วยเหลือมดหรือจักจั่น
ถ้าหากพบเรื่องเช่นนี้อีกแล้วไม่ห้ามปรามไว้ หามีเรื่องกลับมา
ก็จะลงโทษนางกำนัลอย่างหนัก น้ำพระทัยของพระธิดาเมี่ยวส้านอ่อนไหวมาก
เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์ก็เกรงว่าการกระทำของตนจะทำให้คนอื่นพลอยได้รับโทษไปด้วย
จึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ดังนั้นพระองค์จึงไม่ยอมออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก
แต่ละวันก็หัดอ่านหนังสืออยู่ในตำหนัก
ยามว่างก็ทรงเล่นดนตรีกับพระพี่นางทั้งสองเป็นการฆ่าเวลาอันเงียบเหงา
จึงสงบสุขไม่มีเรื่องราวอะไร แต่ก็ทรงคาดไม่ถึงว่าความสุขที่ผ่าน ๆ มานี้ก็หมดไป
เมื่อพระมเหสีเป่าเต๋อเกิดประชวรด้วยโรคแปลกประหลาด
ในขณะนั้นพระธิดาเมี่ยวส้านมีพระชันษาเพียง 7 พรรษาเท่านั้น
เป็นผู้ที่มีรากปัญญาลึก พระนิสัยอ่อนโยน เมื่อเห็นเสด็จแม่ประชวรพระทัยก็ร้อนรุ่ม
แต่ละวันก็ได้แต่ภาวนาอ้อนวอนพระเจ้า ร้องขอต่อฟ้าดิน ขอตัดทอนอายุขัยตนเอง
เพื่อต่อพระชนม์ชีพพระมารดา แต่พระนางเป่าเต๋อบุญมีกำหนด
ไม่ว่าจะอ้อนวอนเพียงใดก็ไร้ผล พระธิดาเมี่ยวส้านก็ได้แต่ป้อนยาเฝ้าไข้
ไม่ยอมถอยห่างสักนาที จวบจนสาระสุดท้ายมาถึง
พระนางเป่าเต๋อจับพระหัตถ์พระธิดาเมี่ยวส้านดำรัสด้วยความอ่อนระทวยว่า "ลูกเอ๋ย!
แม่นี้อนาถรอให้เจ้าเติบใหญ่ แต่ก็ต้องละทิ้งเจ้าไป สุดแสนจะเศร้าพระทัยนัก !
เมื่อแม่จากเจ้าไปแล้ว เจ้าต้องเชื่อฟังเสด็จพ่อนะ อย่าเอาแต่อารมณ์เหมือนเมื่อก่อน
จะทำให้เสด็จพ่อเพิ่มความโศกเศร้า" ดำรัสถึงตอนนี้ลำคอก็ตีบตันไม่มีเสียง
เมื่อพระธิดาเมี่ยวส้านได้ฟังแล้วราวกับว่าธนูนับหมื่นแล่นผ่านทะลุพระทัยอดกลั้นไม่อยู่
ชลเนตรพรั่งพรูไหลริน ฉับพลันหน้ามืดล้มสลบอยู่กับพื้น
พระนางเป่าเต๋อก็เสด็จสวรรคตในฉับพลันนั้นเอง ลาจากโลกนิจนิรันดร์
ขณะนั้นทุกคนต่างช่วยกันปลุกพระธิดาเมี่ยวส้านให้ตื่นขึ้นมาและปลอบให้คลายเศร้า
หลายคนในตำหนกนอกจากพระราชาเมี่ยวจ้วนแล้วนับว่าพระธิดาเมี่ยวส้านสุดแสนเศร้าพระทัย
แต่ท่ามกลางสุดแสนเศร้าพระทัยอยู่นั้น พระองค์ก็ได้บรรลุถึงสัจธรรมอีกด้านหนึ่ง
พระองค์คิดว่า พระมารดาเป็นผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูฉัน
ฟูมฟักอุ้มชูจนฉันเติบใหญ่จนป่านนี้ พระคุณใหญ่หลวงนัก
ขณะนี้ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณสักนิด พระมารดาก็ด่วนจากไปเสียแล้ว บาปอันหนักนี้
จะมลายสิ้นไปได้อย่างไรกัน ดวงญาณของพระธิดาสั่นสะเทือน
ฉับพลันก็คิดถึงความเมตตาของพระพุทธเจ้า พระธิดาทรงคิดว่า
พุทธธรรมสามารถช่วยให้หลุดพ้นทั้งสามโลกทั่วสิบทิศ
หากตอนนี้อยากจะตอบแทนพระคุณมารดาและสำนึกบาปของตนเอง
ก็คงมีเพียงทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่จะแสวงหา
เมื่อพระธิดามีพระทัยเช่นนี้ก็ตั้งปณิธานจะมาบำเพ็ญ อุทิศวรกายสู่พุทธขัณฑสีมา
แต่ในขณะนั้นพระธิดาไม่เผยความในใจให้ใครรู้
แต่ละวันได้แต่สวดมนต์ไหว้พระ แต่ละวันหมดเวลาไปกับการศึกษาเล่าเรียนพระสูตร
บังเอิญพระธิดามีแม่น้าหม้าย นางก็เป็นผู้ศรัทธาในพุทธเจ้า
ในตอนนี้นางก็ได้กลายเป็นแม่อุปถัมภ์ดูแลพระธิดา ทั้งสองจะขลุกอยู่ด้วยกันเสมอ
เหมือนน้ำกับนมที่ไหลปนกัน เมื่อมีเพื่อนก็ยิ่งรู้สึกถึงรสชาติแห่งการบำเพ็ญ
แต่พระพี่นางเมี่ยวอินเมี่ยวหยวนสองพระองค์เห็นจริยาวัตรของพวกเธอแล้วไม่พอพระทัยและอดที่จะหัวเราะเยาะลับหลังในความฝันเฟื่องของพวกเธอว่าอุตส่าห์กำเนิดมาในพระราชวังมั่งมีสูงศักดิ์เป็นบุญวาสนาอย่างยิ่งแล้วไม่รู้จักเสวยสุขกลับทำอันไร้สาระเช่นนี้
จะไม่ทำให้คนเขาเย้ยหยันได้อย่างไร บางครั้งก็กราบทูลแก่ราชาเมี่ยวจ้วน
แต่ราชาเมี่ยวจ้วนยังมีพระทัยว้าวุ่นอยู่ในระยะเริ่มแรก
จึงไม่ใส่พระทัยไปถามรายละเอียด
และคิดว่ามันเป็นวิธีหนึ่งในการฆ่าเวลาดีเสียกว่าไปช่วยจักจั่นหรือฝังพวกมดอีก
อันจะทำให้เกิดอันตรายที่คาดไม่ถึง จึงปล่อยตามใจเธอ
แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพระธิดาเมี่ยวส้านองค์นี้ ได้ถวายตัวสู่พุทธขัณฑสีมาแล้ว
ได้ตั้งปณิธานที่จะบำเพ็ญให้ถึงที่สุด
เรื่องต่าง ๆ
ในโลกนี้กว่าครึ่งหนึ่งเกิดจากใจเพ้อฝัน ทำให้ปรากฎสภาวะต่าง ๆ ที่ไม่เหมือนกันขึ้น
นี่ก็คือสิ่งที่กล่าวกันว่าสภาวะใจเป็นผู้สร้าง เราไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น
เรามาพูดกันถึงเรื่องความฝัน ก่อนที่เราจะมีความฝัน
ภายในใจเราจะมีความคิดอย่างหนึ่ง
ภายหลังเมื่อนอนหลับสนิทความคิดอย่างนั้นจึงปรากฎขึ้นในความฝัน
สภาวะของความเป็นจะไม่พ้นไปจากความคิดในขณะนั้นพระทัยของพระธิดาเฝ้าวนเวียนอยู่กับพุทธเจ้าแดนสุขาวดี
กับคิดเสมอว่าเมื่อบำเพ็ญจนบรรลุผลจะปกโปรดความทุกข์ของสรรพสัตว์ให้พ้นจากเภทภัยได้อย่างไร
เพื่อให้ชาวโลกได้ขึ้นสู่แดนหรรษายิ่งพร้อมกัน
พระองค์คิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เป็นอาจิณจึงไม่พ้นที่จะสร้างสภาวะอันหนึ่งขึ้นมา
ในวันนั้นขณะที่พระองค์บรรทมอยู่บนที่บรรทม
เหมือนหลับแต่ไม่หลับ ในท่ามกลางความมืดสลัวนั้นฉับพลันห้องทั้งสามก็สว่างไสวขึ้น
ท่ามกลางความสว่างไสวก็ทอดพระเนตรเห็นพุทธเจ้าที่สง่างาม มีพระวรกายสูงใหญ่ถึงหกวา
พระสารีริกธาตุบนพระเศียรเปล่งรัศมีจ้า พระบาทประทับยืนอยู่บนดอกปทุม
พระธิดาเมี่ยวส้านเห็นดังนั้นแล้วก็ทรุดพระวรกายกราบบังคมไหว้
ทรงร้องขอให้พุทธเจ้าชี้แนะทางสว่าง พุทธเจ้าดำรัสว่า
"เภทภัยยังไม่หมดยังไม่ได้รับความทุกข์ยาก จะบรรลุธรรมได้อย่างไร
ถ้าหากสามารถอดทนต่อความทุกข์ยากได้อย่างเข้มแข็งและบำเพ็ญตลอดไปแล้ว
สภาวะของจิตก็จะค่อย ๆ สว่างขึ้น จวบจนกระทั่งใสสว่างดุจดั่งกระจกเงาแล้วนั้น
ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้" พระธิดาเมี่ยวส้านยังได้ทูลถามถึงกำหนดเวลา
พุทธเจ้าดำรัสว่า "ในยามเช้า ๆ
เมื่อเจ้าได้รับบัวขาวจากซวีหนีซันแล้วและมีคนถวายแจกันสีขาวที่มีน้ำบริสุทธิ์นั่นคือเวลาที่เจ้าสำเร็จธรรม
จำจำไว้ ๆ อาตมาไปแล้ว" เมื่อดำรัสจบรัศมีสีทองก็หายไป ภาพที่เห็นก็ดับวูบลง
ทุกอย่างกลับมืดสลัวเหมือนเดิม ยังคงบรรทมอยู่บนที่บรรทม
ทำไมจึงมีพุทธเจ้าเช่นนี้เล่า มันเป็นเพียงความฝัน
แต่สำหรับพระธิดาเมี่ยวส้านแล้วคือการปรากฎกายของพุทธเจ้าเพื่อมาชี้นำตนเองโดยเฉพาะความเชื่อศรัทธาจึงแน่วแน่
นั่นคือ สภาวะอัศจรรย์ใจสว่างขึ้น เพียงพริบตาความฝันก็สลาย
ถวายสุราศาลาเย็น ไข่มุกเด่นสู่ครรภ์ในฝัน
หาว่าผู้เฒ่าพูดปดว่าพระเมตตา ธิดาน้อยหยุดกันแสงฟังโฉลก
คิดยกราชบัลลังก์ เห็นมดต่อสู้กันเกิดจิตเมตตา
ช่วยเหลือจักจั่นจนบาดเจ็บ ใครรักษาแผนเป็นหายมีรางวัล
แพทย์สามัญไร้โอสถดี ผู้วิเศษกล่าวถึงบัวหิมะ
เสาะหาบัวบานบนเขาซวีหนีซัน มเหสีเป่าเต๋อทรงประชวร
โศลกทิ้งเงื่อนงำ เห็นการเกิดตายแจ้งในสัจธรรม
ปีตินิมิตเห็นพุทธเจ้า ขัดรับสั่งพระบิดาโทษดูแลอุทยาน
แสดงธรรมหน้าโต๊ะเสวย ถูกขับรับงานหนักโรงครัว
นางกำนัลซาบซึ้งในความศรัทธา จึงอาสาช่วยงานตรากตรำ
ปณิธานย่อมเป็นทาสรับใช้ความศรัทธามั่นทำให้เสด็จพ่อกลับใจ
กำหนดฤกษ์บูรณะวัดจินกวงหมิง ได้ฤกษ์ออกเดินทางสู่เขาเยโหม่ว
มีดทดสอบตัดหกอายตนะ สู่ศูนย์ตาเพ่งไตรภูมิในความเงียบ
ในสมาธิเกิดปีติมารเข้าแทรก เข้าสมาธิบัวขาวบานกลางใจ
เดินทางสู่ภูเขาซวีหนีซัน โปรยข้าวเปลือกผ่านเขาจ้าวอีกา
พบผู้ใจดีชี้ทางให้ หลงใหลธรรมชาติเกิดเรื่องขึ้น
ไต้ซือถูกจับที่ภูเขาจินหลุน ผู้ร่วมทางตัดสินใจไปช่วยเหลือ
คนป่าแย่งรองเท้าสานไป อริยสงฆ์รูปหนึ่งทรงช้างเผือกมา
ไต้ซือเดินทางด้วยเท้าเปล่า ชนเผ่าเจียลาเลี้ยงสัตว์ในทะเลทราย
มีกรรมสัมพันธ์กับบ้านหลู่ ข้าวเหนียวช่วยรักษาโรค
ปราบเสือร้ายเทียนหม่าฟง ที่เมืองหลิวหลีเห็นทางสว่าง
สู่ยอดเขางูกลืนช้าง สู่ภาพมายาเจ้าโจมตี
เจอะหมีขาวแกล้งนอนตาย ให้ลิงเลียนแบบเดินแล้วไหว้
สู่สันเขารู้กระจ่างแจ้ง คุยถึงเรื่องที่ผ่านมาเด็กซนทำเรื่อง
ผ่านความทุกข์ลำบากมานับพันหมื่นสำเร็จธรรมถูกตีกระหม่อมทะลุสหโลกธาตุ



