ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์ >>
กฎหมายไทย - พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ กำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ พ.ศ. 2491
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
คณะอภิรัฐมนตรี ในหน้าที่คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
รังสิต กรมขุนชัยนาทนเรนทร
อลงกฏ
ธานีนิวัต
มานวราชเสวี
อดุลเดชจรัส
ให้ไว้ ณ วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2491
เป็นปีที่ 3 ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่เป็นการสมควรจะมีกฎหมายกำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการพระมหากษัตริย์โดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า พระราชบัญญัติกำหนดวิธีการระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ พ.ศ. 2491
มาตรา 2 (1) พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้
คณะกรรมการ หมายถึงคณะกรรมการพิจารณาระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามความในพระราชบัญญัตินี้
คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาล หมายถึงรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม หรือนิติบุคคลอื่นใดในราชการ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับบุคคลอื่นไม่ว่าจะได้กระทำโดยมีบุคคลใดหรือคณะบุคคลใดเป็นตัวแทนหรือไม่
คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง หมายถึงบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญากับคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาล
ราคาตลาด หมายถึงราคาทรัพย์สินซึ่งซื้อขายกันโดยปกติในท้องตลาด ณ ที่ที่ส่งมอบทรัพย์สินในขณะทำสัญญา
ต้นทุนและค่าใช้จ่าย หมายถึงจำนวนเงินที่ได้ใช้ไปหรือจะต้องใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน รวมทั้งค่าก่อสร้าง ค่าซ่อมแซม และค่าบำรุงรักษาทรัพย์สินนั้น ตั้งแต่ขณะได้รับทรัพย์สินจนถึงขณะทำสัญญา แต่ให้หักมูลค่าของประโยชน์อันพึงได้รับจากการใช้ทรัพย์สินในระยะเวลาดังกล่าวนั้นออก
รัฐมนตรี หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 4 พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับแก่สัญญาซึ่งเข้าลักษณะ ดังต่อไปนี้
(1) สัญญาซึ่งได้ทำขึ้นเนื่องจากได้มีการประมูลเปิดเผยและมีกำหนด เวลาพอสมควรแก่การยื่นประมูล
(2) สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ซื้อ หรือจะซื้อ หรือเช่าซื้อ ทรัพย์สิน และทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าตามสัญญาต่ำกว่าห้าแสนบาท และสัญญาที่ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ซื้อ หรือจะซื้อ หรือเช่าซื้อทรัพย์สิน และ ทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าแท้จริงต่ำกว่าห้าแสนบาท
(3) สัญญาจ้างทำของซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลจะต้องชำระหนี้ต่ำกว่า ห้าแสนบาท
(4) สัญญาซึ่งได้มีการชำระหนี้อันเกิดจากสัญญาโดยสิ้นเชิงก่อนวันใช้ บังคับพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 5 ให้ถือว่าสัญญาซึ่งได้กระทำขึ้นระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 และเข้าลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นสัญญาที่ได้กระทำขึ้นเพื่อค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ คือ
(1) สัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็น ผู้ซื้อ และสัญญาเช่าซื้อโดยคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้เช่าซื้อ และคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่งคิดเอากำไรสำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเกินกว่า ร้อยละสิบห้าของต้นทุนและค่าใช้จ่าย และสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือ อสังหาริมทรัพย์เกินกว่าราคาตลาด
(2) สัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็น ผู้ขาย และสัญญาเช่าซื้อโดยคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เช่าซื้อ และคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่งซื้อในราคาซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด
(3) สัญญาจ้างทำของซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้จ้าง และคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่งคิดเอากำไรเกินกว่าร้อยละสิบห้าของต้นทุนและค่าใช้จ่าย
มาตรา 6 ให้มีคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการ พิจารณาระงับการค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ ประกอบด้วยประธาน หนึ่งนายและกรรมการอื่นอีกแปดนาย ซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้ง
มาตรา 7 สัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้ซื้อ หรือจะซื้อ หรือ เช่าซื้อทรัพย์สิน และทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าตามสัญญาตั้งแต่ห้าแสนบาทขึ้นไป และสัญญาที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ซื้อ หรือจะซื้อ หรือเช่าซื้อทรัพย์สิน และทรัพย์สินนั้นมีมูลค่าแท้จริงตั้งแต่ห้าแสนบาทขึ้นไป และสัญญาจ้างทำของ ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลจะต้องชำระหนี้ตั้งแต่ห้าแสนบาทขึ้นไปนั้น คู่สัญญาอีก ฝ่ายหนึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องส่งเอกสารซึ่งเกี่ยวกับการทำสัญญา การแก้ไข เพิ่มเติมสัญญา การผ่อนผันการชำระหนี้ และการอื่น ๆ เกี่ยวกับหนี้ตาม สัญญานั้นต่อคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลภายในเวลาสามสิบวันนับตั้งแต่วันใช้บังคับ พระราชบัญญัตินี้ และจะเสนอหลักฐานอื่น และคำชี้แจง เพื่อแสดงว่าสัญญานั้น มิได้กระทำเพื่อค้ากำไรเกินสมควรจากราชการไปด้วยก็ได้ แต่ในกรณี ที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งแสดงหลักฐานให้เป็นที่เชื่อได้ว่าไม่สามารถส่งเอกสาร ดังกล่าวได้ทันกำหนดเวลาสามสิบวัน ก็ให้รัฐมนตรีผ่อนเวลาออกไปได้ตาม สมควร ถ้ารัฐมนตรีเห็นว่าสัญญานั้นมิได้กระทำขึ้นเพื่อค้ากำไรเกินสมควร จากราชการก็ให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลแจ้งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบว่าจะ ไม่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
มาตรา 8 ในกรณีที่รัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าสัญญาใดได้ทำขึ้นเพื่อ ค้ากำไรเกินสมควรจากราชการตามความในมาตรา 5 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจ ดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งไม่ส่งเอกสารอันควรแก่เรื่องภายใน กำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ให้รัฐมนตรีมีอำนาจเลิกสัญญาได้เอง
(2) ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งส่งเอกสารอันควรแก่เรื่องภายใน กำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 7 ให้รัฐมนตรีเสนอเอกสารที่ได้รับมา จากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งต่อคณะกรรมการ พร้อมด้วยคำขออนุมัติให้บอกเลิก สัญญาภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลรับเอกสาร จากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
มาตรา 9 เมื่อได้รับคำขออนุมัติให้เลิกสัญญาจากรัฐมนตรีแล้ว ให้คณะกรรมการแจ้งให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบเพื่อให้โอกาสที่จะชี้แจง เพิ่มเติมก่อน และให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่วินิจฉัย ถ้าเห็นว่าสัญญานั้น ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาที่ได้ทำขึ้นเพื่อค้ากำไรเกินสมควรจากราชการ ก็ให้ คณะกรรมการแจ้งให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลและคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบคำวินิจฉัย นั้นโดยด่วน แต่ถ้าคณะกรรมการเห็นว่าสัญญานั้นเข้าลักษณะเป็นสัญญาที่ได้ทำขึ้น เพื่อค้ากำไรเกินสมควรจากราชการตามความในมาตรา 5 ก็ให้คณะกรรมการ แจ้งคำวินิจฉัยให้คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลทราบคำอนุมัติให้เลิกสัญญานั้นได้ เพื่อประโยชน์แห่งการวินิจฉัยของคณะกรรมการตามความใน วรรคก่อน คณะกรรมการจะตั้งอนุกรรมการชุดหนึ่งหรือหลายชุดให้พิจารณา และเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการก่อนก็ได้ อนุกรรมการนี้อย่างน้อยต้อง ประกอบด้วยกรรมการในคณะกรรมการหนึ่งนาย
มาตรา 10 ให้คณะกรรมการและอนุกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามมาตรา 9 มีอำนาจเรียกคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งและบุคคลใด ๆ มาชี้แจง และให้มีอำนาจ เรียกพยานหลักฐานจากผู้ครอบครองตลอดจนบังคับให้พยานสาบานหรือปฏิญาณ ตัวได้ ในการนี้ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม ในการปฏิบัติการของคณะกรรมการและอนุกรรมการตามความใน วรรคก่อน ให้ถือว่ากรรมการและอนุกรรมการเป็นเจ้าพนักงานตามความหมาย ของกฎหมายลักษณะอาญา
มาตรา 11 การเลิกสัญญาให้กระทำโดยคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลแสดง เจตนาไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งภายในกำหนดเวลาดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่รัฐมนตรีมีอำนาจเลิกสัญญาได้เองตามความใน มาตรา 8 (1) ภายในกำหนดเวลาหกสิบวันนับตั้งแต่วันใช้บังคับพระราชบัญญัตินี้ แต่ในกรณีที่ไม่ปรากฏหลักฐานการทำสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาล ภายในกำหนด เวลาสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ปรากฏหลักฐานขึ้นภายหลัง
(2) ในกรณีที่คณะกรรมการอนุมัติให้เลิกสัญญา ภายในกำหนดเวลา สิบวันนับตั้งแต่วันทราบคำอนุมัติของคณะกรรมการ ถ้าคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลไม่แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาภายในกำหนด เวลาดังกล่าวแล้ว ให้ถือว่าคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลสละสิทธิที่จะเลิกสัญญา
มาตรา 12 นอกจากจะได้รับคำแจ้งจากคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลว่าจะไม่ ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ตามความในมาตรา 7 หรือได้รับคำแจ้งจาก คณะกรรมการว่าสัญญานั้นไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาที่ได้ทำขึ้นเพื่อค้ากำไรเกิน สมควรจากราชการตามความในมาตรา 9 ห้ามมิให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งนำคดีมา ฟ้องร้องคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลขอให้ปฏิบัติการตามสัญญาก่อนพ้นกำหนดเวลาดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 11 และกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้คู่สัญญา ฝ่ายรัฐบาลปฏิบัติการตามสัญญาได้ ให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกร้อง ดังต่อไปนี้
(1) สิทธิเรียกร้องที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งพึงมีอยู่ตามสัญญา ถ้าหาก ได้มีการชำระหนี้ตามกำหนดเวลา และ
(2) ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการล่าช้าเพราะการปฏิบัติการ ตามพระราชบัญญัตินี้ แต่ห้ามมิให้เรียกค่าเสียหายเพราะเหตุนี้เกินกว่าร้อยละ เจ็ดครึ่งต่อปีของมูลค่าทรัพย์สินหรือจำนวนเงินอันคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งพึง เรียกร้องได้ตาม (1)
มาตรา 13 เมื่อคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลได้แสดงเจตนาไปยังคู่สัญญา อีกฝ่ายหนึ่งบอกเลิกสัญญาภายในกำหนดเวลาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11 ให้ถือว่าได้มีการเลิกสัญญากันนับตั้งแต่เวลาที่การแสดงเจตนาของคู่สัญญา ฝ่ายรัฐบาลถึงคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
มาตรา 14 เมื่อได้มีการบอกเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่าย จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนไปสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม และจะเรียก ค่าเสียหายจากกันเพราะการเลิกสัญญานี้ไม่ได้ ในกรณีที่ไม่สามารถจัดให้ได้กลับคืนไปสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ ให้ชดใช้ราคาทรัพย์สินนั้นโดยคิดราคาตลาดในขณะวันทำสัญญาและดอกเบี้ย ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินอันเป็นราคาตลาดนั้น คิดตั้งแต่วันทำสัญญา จนถึงวันส่งมอบ ถ้าจะต้องส่งคืนเงิน ให้บวกดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเข้าด้วย โดยคิดตั้งแต่วันที่ได้รับจนถึงวันส่งมอบ
มาตรา 15 ภายในกำหนดสิบวันนับแต่วันที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ที่ได้รับการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจากคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาล คู่สัญญาอีก ฝ่ายหนึ่งมีสิทธิที่จะแจ้งความจำนงไปยังคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเลือกปฏิบัติตาม สัญญานั้นตามข้อกำหนดดังต่อไปนี้ได้ คือ
(1) ในกรณีสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งคู่สัญญาฝ่าย รัฐบาลเป็นผู้ซื้อ หรือสัญญาเช่าซื้อโดยคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้เช่าซื้อ และ ทรัพย์สินที่ขายเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ คู่สัญญาอีก ฝ่ายหนึ่งยอมขายตามราคาตลาดหรือต่ำกว่า
(2) ในกรณีสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งคู่สัญญาฝ่าย รัฐบาลเป็นผู้ซื้อ หรือสัญญาเช่าซื้อโดยคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้เช่าซื้อ และ ทรัพย์สินที่ขายเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ยอมคิดเอากำไรเพียงร้อยละสิบห้าของต้นทุนและค่าใช้จ่ายหรือต่ำกว่า
(3) ในกรณีสัญญาซื้อขาย หรือสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งคู่สัญญาฝ่าย รัฐบาลเป็นผู้ขาย หรือสัญญาเช่าซื้อโดยคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เช่าซื้อ คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยอมซื้อตามราคาตลาดหรือสูงกว่า
(4) ในกรณีสัญญาจ้างทำของ ซึ่งคู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลเป็นผู้จ้าง คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยอมคิดเอากำไรร้อยละสิบห้าของต้นทุนและค่าใช้จ่ายหรือ ต่ำกว่า
เมื่อการแสดงความจำนงตามความในวรรคก่อนมาถึงคู่สัญญาฝ่าย รัฐบาล ให้ถือว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีความผูกพันในอันที่จะปฏิบัติการตามสัญญา ตามข้อกำหนดดังกล่าวแล้ว
มาตรา 16 ในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายรัฐบาลและคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมี ข้อพิพาทกันเกี่ยวกับการปฏิบัติการตามข้อกำหนดตามความในมาตรา 15 ให้เสนอข้อพิพาทนี้ต่อคณะกรรมการเพื่อพิจารณาชี้ขาด คำชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด จะอุทธรณ์หรือนำข้อพิพาทไป ฟ้องร้องต่อไปไม่ได้ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรานี้ ให้คณะกรรมการ มีอำนาจหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10
มาตรา 17 ในกรณีที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าสัญญาที่บอกเลิกนั้น ไม่ได้อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัตินี้ตามความในมาตรา 4 ก็ดี หรือเห็นว่า ไม่เป็นสัญญาที่กระทำขึ้นเพื่อค้ากำไรเกินสมควรจากราชการตามความใน มาตรา 5 ก็ดี ให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิฟ้องร้องขอให้ศาลแสดงว่า คำวินิจฉัยของคณะกรรมการไม่ถูกต้อง ภายในกำหนดเวลาสามสิบวันนับแต่ วันที่ได้รับคำบอกกล่าวเลิกสัญญา
มาตรา 18 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ควง อภัยวงศ์
นายกรัฐมนตรี