ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พระภัททากุณฑลเกสาเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน
พระภัททากุณฑลเกสาเถรี เป็นธิดาของเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์
บิดามารดาตั้งชื่อให้ว่า ภัททา
ลูกปุโรหิตเกิดฤกษ์โจร
ในวันที่นางเกิดนั้น ได้มีบุตรของปุโรหิตในกรุงราชคฤห์เกิดในวันเดียวกันนี้ด้วย
ขณะที่ เขาคลอดจากครรภ์มารดา ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ คือ
บรรดาอาวุธทั้งหลายในบ้านของปุโรหิตเอง และในบ้านคนอื่น ๆ
ตลอดจนถึงในพระราชนิเวศน์ต่าง ๆ ก็เกิดแสงประกายรุ่งโรจน์ไปทั่วพระ
นครตลอดคืนยันรุ่ง ปุโรหิตทราบในบุพนิมิตดีว่า บุตรของตนเกิดฤกษ์โจร
เมื่อเขาโตขึ้นจะต้องเบียดเบียน ทำความเดือดร้อนฉิบหายแก่ชาวเมือง
จึงเข้าเฝ้าพระราชาแต่เช้าตรู่กราบทูลความให้ทรงทราบโดยตลอดแล้วทูลเสนอแนะว่า
ขอพระองค์โปรดรับสั่งให้ประหารชีวิตเขาเสีย เพื่อมิให้เป็นภัยแก่ชายเมืองในอนาคต
แต่พระราชาตรัสว่า เมื่อเขาไม่ได้เบียดเบียนเราก็ไม่เป็นไร อย่าไปฆ่าเขาเลย
ปุโรหิตจึงเลี้ยงดูบุตรต่อไป โดยได้ตั้งชื่อให้ว่า สัตตุกะ
สัตตุกะเมื่อโตขึ้นอยู่ในวัยเด็ก นายสัตตุกะก็ได้
ตัดช่องย่องเบาลักขโมยทรัพย์และสิ่ง
ของมีค่าน้อยบ้างมากบ้างตามแต่จะได้มาเป็นเครื่องเลี้ยงชีพจนได้ชื่อว่าไม่มีบ้างหลังใดที่ไม่ถูก
ย่องเบาลักขโมยเลย ความเดือดร้อนของชาวเมืองทราบไปถึงพระราชา
จึงรับสั่งให้หน้าที่ติดตามจับกุมโจรชั่วนั้นให้ได้
พวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลายจึงออกติดตามสืบพบหาจนจับตัวได้แล้วนำมาถวายพระราชาเพื่อทรงวินิจฉัยตัดสินโทษ
พระราชารับสั่งให้โบยโจรพร้อมทั้งนำตัวตระเวนออกไปตามถนน ให้ทั่วทั้งพระนคร
ก่อนแล้วจึงนำออกไปประหารที่เหวสำหรับทิ้งโจร
ดอกฟ้าในมือโจร
ขณะนั้น นางภัททา ธิดาเศรษฐีมีอายุย่างเข้าวัย ๑๖ ปี มีรูปร่างสวยงาม
บิดามารดาจึง ระวังรักษาให้อยู่บนปราสาทชั้นที่ ๗
ให้หญิงรับใช้หนึ่งคนคอยดูแลรับใช้ของนาง ก็เป็น ธรรมดาของหญิงสาวในวัยนี้
ย่อมมีความฝักใฝ่ในชายหนุ่ม ดังนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่นำโจรหนุ่ม
ตระเวนมาทางบ้านของนาง
พอนางเปิดหน้าต่างมองลงไปเห็นโจรเท่านั้นก็เกิดจิตปฏิพัทธ์รักใคร่ในตัวโจรทันทีคิดว่า
ชาตินี้ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มมาเป็นคู่ครองก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่
และรู้ว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังนำโจรไปประหาร
ความรู้สึกของนางเหมือนกับกำลังสูญเสียสามีสุดที่รัก
ความทุกข์เศร้าโศกเสียใจสุดจะห้ามก็ตามมา ฝ่ายสาวใช้
เห็นเช่นนั้นจึงรีบแจ้งให้เศรษฐีผู้เป็นบิดามาดาทราบโดยด่วน บิดามารดาของนางพอมาถึง
ก็ได้ไต่ถามทราบจากปากของธิดาว่า ถ้าไม่ได้โจรหนุ่มคนนั้นมาเป็นคู่
ก็จะไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
แล้วก็นอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียนนอนนั้น
มารดาจึงพูดอ้อนวอนว่า:- ภัททา ลูกแม่ อย่าทำอย่างนี้เลย
อีกไม่นานเจ้าก็จะได้สามีที่มีทรัพย์สมบัติและชาติสกุลเสมอกัน คุณแม่ค่ะ
ดิฉันไม่ต้องการชายอื่น ถ้าไม่ได้ชายคนนี้จะขอตายดีกว่า
บิดามารดาทั้งสอง
ช่วยกันพูดอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เป็นผลด้วยคามรักและห่วงใยในลูกสาว
จึงติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วยทรัพย์จำนวนหนึ่งพันกหาปณะ
ขอไถ่ชีวิตโจรหนุ่มคนนั้นโดยให้นำมาส่งที่บ้าน ฝ่ายเจ้าหน้าที่ราชบุรุษทั้งหลาย
รับทรัพย์ไปแล้วทำเป็นถ่วงเวลารอ จนมืดค่ำ
จากนั้นได้นำโจรหนุ่มคนนั้นมามอบให้แก่เศรษฐีแล้ว
นำนักโทษอีกคนหนึ่งไปประหารชีวิตแทนแล้วกราบทูลพระราชว่าฆ่าโจรสัตตุกะเรียบร้อยแล้ว
เศรษฐีรับตัวโจรหนุ่มสัตตุกะไว้แล้ว
ให้อาบน้ำชำระร่างกายและมอบเสื้อผ้าชั้นดีสวมใส่
พร้อมทั้งอาภรณ์เครื่องประดับชั้นดีต่าง ๆ นำไปยังปราสาทของลูกสาว
ทำพิธีส่งตัวให้เป็นคู่ผัวเมียกันแล้ว บิดามารดาทั้งสองก็กลับไปยังที่พักของตน
สันดานโจรไม่เจือจาง
โจรสัตตุกะมีความสุขอยู่ในบ้านของเศรษฐีซึ่งมีให้พรั่งพร้อมทุกอย่างได้ทั้งภรรยาที่
แสนสวย ทรัพย์สินเงินทองก็มีให้ใช้อย่างสุขสบายไม่ขัดสน การงานก็มีคนรับให้ทำให้
ไม่ต้อง ดิ้นรนขวนขวยใด ๆ ทั้งสิ้น
แต่เขาก็อยู่ได้ไม่นานเพราะนิสัยสันดานโจรอดที่จะทำชั่วไม่ได้ เขา
คิดวางแผนฆ่าภรรยาเพื่อจะนำเอาเครื่องประดับอันมีค่านั้นไปขายแล้วนำเงินมาหาความสุขด้วย
การดื่มสุรา แล้วเขาก็เริ่มดำเนินการตามแผน
ด้วยการแสดงกิริยาให้ภรรยาพอใจแล้วกล่าวว่า:- น้องหญิง
การที่พี่รอดชีวิตจากการถูกประหารอย่างหนึ่ง และการที่ได้มาแต่งงานอยู่
กับน้องหญิงอีกอย่างหนึ่ง ก็ด้วยอานุภาพของเทวดาที่สิงสถิต ณ ภูเขาทิ้งโจร
เพราะพี่ได้บนบาน บวงสรวงกับท่านเข้าไว้ ขณะนี้ก็สำเร็จสมประสงค์ทั้ง ๒ ประการแล้ว
พี่เห็นว่าควรจะทำการแก้ บนถวายเครื่องพลีกรรมแก่เทวดานั้น
ขอให้น้องหญิงจงจัดเครื่องพลีกรรมสังเวยให้พร้อม
แล้วประดับอาภรณ์ให้สวยงามไปร่วมทำพิธีพลีกรรมที่ภูเขาทิ้งโจรนี้กับพี่เถิด
นางภัททา ด้วยความรักสามีสุดหัวใจ จึงเห็นชอบเชื่อตามคำสามีทุกประการ โดยให้
ทาสชายหญิงจัดเครื่องพลีกรรมเรียบร้อยแล้ว
ขึ้นนั่งรถคันเดียวกันกับสามีไปยังเหวที่ทิ้งโจร เมื่อมาถึงเชิงเขา
โจรสัตตุกะบอกกับภรรยาว่า ให้เหล่าบริวารที่ติดตามมานั้นกลับไปก่อน
เราสองคนเท่านั้นที่จะขึ้นไปทำพลีกรรม
เมื่อบริวารแยกทางกลับไปแล้วก็ช่วยกันถือเครื่องสักการะสังเวยขึ้นไปบนยอดเขา
นางภัททารู้สึกมีความสุข ความอิ่มใจที่ได้ช่วยกิจของสามี
และได้โอกาสมาทัศนาโลกภายนอก แต่พอถึงยอดเขา
โจรสัตตุกะก็พูดกับนางด้วยเสียงอันแข็งกร้าวเด็ดขาดว่า:-
ภัททาเจ้าจงเปลื้องผ้าห่มออกแล้วถอดเครื่องประดับทั้งหมดมัดห่อรวมกันไว้เดี๋ยวนี้นางภัททา
ได้ฟังคำและเห็นกิริยาของสามีเปลี่ยนไปเช่นนั้นก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก
ละล่ำละลักถามสามีว่า:-
นายจ๋า ดิฉันทำอะไรผิดหรือ ?
นางหญิงโง่
ความจริงเราจะควักตับกับหัวใจของเจ้าถวายแก่เทวดาที่นี่แล้วยึดเอาเครื่องอาภรณ์ของเจ้าทั้งหมดไปใช้จ่ายหาความสุข
นายจ๋า
ก็ทั้งตัวดิฉันกับเครื่องประดับทั้งหมดนี้ก็เป็นของท่านอยู่แล้วทำไมท่านจะต้องฆ่าฉัน
เพื่อยึดเครื่องประดับด้วยอีกเล่า
ปัญญามิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน
แม้นางจะอ้อนวอนชี้แจงอย่างไร เข้าโจรโง่ใจร้ายก็ไม่ยอมรับฟัง
ตั้งหน้าแต่จะฆ่านางเอาเครื่องประดับอย่างเดียว
นางตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกมองเห็นความตายอยู่แค่เอื้อม จึงรวบรวมสติไว้แล้วคิดว่า
ขึ้นชื่อว่าปัญญาที่ติดกับตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น มิได้มีไว้เพื่อต้มแกงกิน
แต่มีไว้เพื่อพิจารณาหาหนทางดำเนินชีวิตและแก้ปัญหาชีวิต
เราควรจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อคิดดังนี้แล้ว
จึงกล่าวกับสามีโจรชั่วว่า:- เอาละนายจ๋า
วันท่านท่านถูกราชบุรุษเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับกุมพาตระเวนประจานไป
ทั่วเมืองก่อนนำมาประหารที่ภูเขาทิ้งโจรนี้
ดิฉันได้อ้อนวอนบิดามารดาให้สละทรัพย์เป็นอันมาก
ไถ่ชีวิตท่านแล้วนำมาแต่งงานกับดิฉัน และดิฉันก็มีความรักต่อท่านอย่างสุดหัวใจ
วันนี้ท่านมี ความประสงค์จะฆ่าดิฉันให้ได้ เพื่อต้องการเครื่องประดับ
แต่ก็ไม่เป็นไร ก่อนที่ดิฉันจะตายขอ
ให้ดิฉันได้แสดงความรักต่อท่านเป็นครั้งสุดท้ายสักหน่อยเถิด
เพราะเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ ใกล้ชิดท่าน
ขอให้ท่านจงยืนตรงนั้นแล้วดิฉันจะขอสวมกอดท่านทั้ง ๔ ทิศหลังจากนั้นท่านก็จง
ประหารดิฉันเถิด
โจรชั่วสิ้นชีพ
โจรชั่วสัตตุกะเห็นกิริยาอาการและฟังคำพูดของนางดูเป็นปกติสมจริงจึงอนุญาตให้นาง
กระทำตามที่ขอแล้วไปยืนตรงที่นางบอกบนยอดเขา ขณะนั้น นางภัททาผู้เป็นภรรยาได้ทำการ
ประทักษิณเดินเวียนขวารอบสามี ๓ รอบ แล้วไหว้ทั้ง ๔ ทิศ พร้อมกับกล่าวว่า
นายจ๋า นี่เป็นการเห็นท่านเป็นครั้งสุดท้าย นับต่อแต่นี้การที่ดิฉันจะได้เห็นท่าน
และ ท่านจะได้เห็นดิฉันก็คงไม่มีอีกแล้ว
เมื่อกล่าวจบนางก็สวมกอดข้างหน้าแล้วก็เปลี่ยนมากอดข้างหลัง
ขณะที่โจรชั่วเผลอตัวอยู่นั้น นางได้ผลักโจรตกลงไปในเหว
ร่างของโจรชั่วแหลกเหลวเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
จบชีวิตอันชั่วร้ายของเขาที่เหวทิ้งโจรนั้น
นางภัททาหลังจากผลักโจรชั่วผู้สามีตกลงไปในเหวแล้ว คิดว่า
ถ้าเรากลับบ้านไป
บิดามารดาก็จะถามว่า สามีเจ้าหายไปไหน ถ้าเราบอกความจริงว่าเราฆ่าเขาตายแล้ว
ก็จะพากันประณามติเตียนว่า นางเด็กดือ
เจ้าอ้อนวอนพ่อแม่ให้เสียทรัพย์เพื่อไถ่ชีวิตโจรเอามาทำผัว
แต่พอได้เขามาแล้วกลับฆ่าเขาตาย เจ้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร
แม้เราจะบอกว่าเขาต้องการฆ่าดิฉันเพื่อต้องการเครื่องประดับท่านทั้งสองก็จักไม่เชื่อเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรกลับบ้าน ควรจะไปบวชในสำนักใดสำนักหนึ่งดีกว่า
ถอนผมบวชเป็นเดียรถีย์ ครั้นนางภัททาคิดดังนี้แล้ว
ก็ทิ้งห่อเครื่องประดับไว้บนยอดเขานั้นแล้วเดินลงจากภูเขา ไป เดินลัดเลอะไปตามป่า
ได้พบสำนักของพวกนิครนถ์ (นักบวชนอกพระพุทธศาสนา) ขอ บรรพชาในสำนักนั้น
พวกนิครนถ์ถามนางว่า จะบวชโดยวิธีไหน ? นางจึงตอบวา
วิธีใดที่จัดว่าเป็นสิ่งสูงสุดในสำนักของท่าน
ก็ขอให้ดิฉันบรรพชาด้วยวิธีนั้นนั่นแหละ
พวกนิครนถ์จึงเอาก้านตาลถอนผมนางจนหมดศีรษะ ถือว่าเป็นวิธีบวชที่สูงสุดของสำนัก
เมื่อนางบวชแล้วผมที่งอกขึ้นมาใหม่ก็ม้วนกลมเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่เหยียดยาวเหมือนเดิม
ดังนั้น นางจึงได้ชื่อว่า กุณฑลเกสา เมื่อนางบวชแล้ว ได้ศึกษาศิลปะวิทยาการต่าง ๆ
ในสำนักนั้นจนจบสิ้นนางเห็นว่าสำนักนี้ไม่มีศิลปะวิทยาที่สูงไปกว่านี้อีกแล้ว
จึงออกเที่ยวแสวงหาบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลายแล้วขอศึกษาสิ่งที่บัณฑิตเหล่านั้นรู้ทั้งหมด
นางเที่ยวแสวงหาบัณฑิตด้วยการโต้วาทะ โดยวิธีใช้กิ่งหว้าปักบนกองทรายแล้วประกาศว่า
ถ้าผู้ใดสามารถที่จะโต้วาทะกับเราได้ก็จงเหยียบกิ่งหว้านี้
โดยมีข้อตกลงกันว่า
ถ้าผู้ที่โต้วาทะชนะนางเป็นคฤหัสถ์
นางก็จะขอยอมเป็นทาสรับใช้ แต่ถ้าผู้โต้วาทะชนะ เป็นนักบวช
นางก็จะขอบวชเป็นศิษย์ในสำนักนั้น
นางถือกิ่งหว้าเที่ยวประกาศท้าได้วาทะไปตามหมู่บ้านตำบลต่าง ๆ ชาวบ้านพอได้ทราบ
ข่าวว่านางภัททามาทางบ้านของตนก็จะพากันหลีกหนีไป
นางเข้าไปถึงตำบลใดก็จะปักกิ่งหว้า บนกองทรายแล้ว
นั่งรอผู้ที่รับคำท้ามาเหยียบกิ่งหว้าของนาง บางตำบลนางรอถึง ๗ วัน
ก็ไม่มีผู้ใดกล้ามาเหยียบกิ่งหว้าของนางเลย
นางจึงต้องถอนกิ่งหว้าแล้วหลีกต่อไปที่อื่น
นางได้ถือกิ่งหว้าท่องเที่ยวไปโดยทำนองนี้ จนได้ชื่อใหม่ว่า นางชัมพุปริพาชิกา
(นางปริพาชิกาไม้หว้า, ชัมพุ = ไม้หว้า)
โต้วาทีกับพระสารีบุตร
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่พระเชตะวันวิหาร กรุงสาวัตถี
ฝ่ายนาง กุณฑลเกสา ก็ดินทางมาถึงกรุงสาวัตถีแล้วปักกิ่งหว้าบนกองทราย
ประกาศท้าโต้วาทะเหมือน เดิมแล้วออกไปหาอาหารบริโภคขณะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
เดินผ่านมาเห็นเด็ก ๆ กำลังยืนรุมล้อมดูกิ่งหว้าบนกองทรายพร้อมกับวิจารณ์กันเซ็งแซ่
เกิดความสงสัยจึงเข้าไปถามเด็ก ๆ ได้ทราบความโดยตลอดแล้วจึงบอกกับเด็ก ๆ ว่า:-
เจ้าหนูทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเจ้าจงเหยียบกิ่งหว้านั้นเถิด
พวกกระผมกลัวขอรับ พระคุณเจ้า
ไม่ต้องกลัวหรอก พวกเจ้าเป็นคนเหยียบ เราจะเป็นผู้แก้ปัญหาเอง
เด็กบางพวกไม่กล้า บางพวกก็กลัว ๆ กล้า ๆ
แต่ผลที่สุดก็ช่วยกันเหยียบกิ่งหว้าและกองทรายนั้นจนกระจัดกระจาย นางชัมพุปริพาชิกา
มาเห็นแล้วก็ดุต่อว่าเด็กเหล่านั้น แต่พอเด็กๆ บอกว่า พระคุณเจ้ารูปนั้น
ใช้ให้เหยียบ นางจึงเข้าไปถามพระเถระว่า:-
พระคุณเจ้าผู้เจริญ ท่านจักโต้วาทะถามปัญหากับดิฉันหรือ ?
ใช่แล้ว น้องหญิง พระเถระตอบ
นางฟังคำของพระเถระแล้วคิดว่า
เราควรจะให้ชาวพระนครสาวัตถีได้รู้กำลังปัญญาของเราว่ายิ่งใหญ่หาผู้เทียมทานไม่ได้
จึงแจ้งให้ชาวเมืองมาชมมาฟังกันให้มาก ๆ
ชาวพระนครพอทราบข่าวต่างก็พากันไปห้อมล้อมจนแน่นขนัด ลำดับนั้น
พระเถระได้ให้โอกาสแก่นางชัมพุปริพาชิกา เป็นผู้ถามปัญหาขึ้นก่อน
นางก็ถามศิลปวิทยาที่ตนเรียนรู้มาตามลัทธิตน ถามจนหมดความรู้ที่นางมีอยู่
พรเถระก็ตอบแก้ได้ทั้งหมด นางก็ตกใจเพราะไม่เคยถามใครมากอย่างนี้มาก่อนเลย
จึงนิ่งเฉยอยู่ พระเถระจึงกล่าวว่า
ท่านถามเราหมดแล้ว ต่อไปนี้เราจะขอถามท่านบ้าง
ถามเถิด พระคุณเจ้า
ที่ชื่อว่าหนึ่ง นั้นคืออะไร ?
พระคุณเจ้า ดิฉันไม่ทราบ เจ้าข้า
ขอบวชในพระพุทธศาสนา
นางชัมพุปริพาชิกา ยอมพ่ายแพ้ต่อพระเถระด้วยปัญหาเพียงข้อเดียวเท่านั้น
นางหมอบลงกราบแทบเท้าพระเถระ ขอศึกษาวิชาพุทธมนต์ในพระพุทธศาสนา
พร้อมทั้งขอบรรพชาและถึงพระเถระเป็นสรณะ
แต่พระเถระบอกว่าขอให้นางถึงพระพุทธองค์เป็นสรณะเถิด แล้วพานางไปยังพระวิหารเชตวัน
นำเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระพุทธองค์ทรงราบจริยาอัธยาศัยของนางดีแล้ว
จึงตรัสพระธรรมเทศนาคาถาภาศิตว่า:- ผู้ใดกล่าวคาถาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แม้ตั้ง ๑,๐๐๐ คาถาผู้กล่าวคาถาที่ประกอบด้วยประโยชน์แม้เพียงคาถาเดียว
ยังผู้ฟังให้สงบระงับได้ ชื่อว่า ประเสริฐกว่าแล
พอจบพระธรรมเทศนาคาถาภาษิต
ทั้งที่นางกำลังยืนอยู่นั้น ยังไม่ทันจะนั่งลงก็ได้บรรลุ
พระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในขณะนั้น แล้วกราบทูลขอบรรพชา พระพุทธองค์
ทรงอนุญาตแล้วส่งนางให้ไม่บวชในสำนักภิกษุณีสงฆ์ เมื่อนางบวชแล้ว ได้ชื่อว่า
กุณฑลเกสาเถรี
ภิกษุทั้งหลายสนทนากันในโรงธรรมว่า
พระภัททากุณฑลเกสาเถรีนี้ ยิ่งใหญ่จริงหนอ บรรลุพระอรหัตผลในเวลาจบคาถาเพียง ๔ บาท
เหล่านั้นพระศาสนาทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงสถาปนาพระภัททากุณฑลเกสาเถรี ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ในฝ่ายผู้ตรัสรู้เร็วพลัน