ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

ปรัชญา

ขอบเขตของปรัชญา

ปรัชญา แบ่งออกเป็นแขนงต่าง ๆ ได้ ๔ แขนง

๑.  ภววิทยา (Ontology)    เป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาสภาวะแห่งความเป็นจริงหรือธรรมชาติของสรรพสิ่งทั้งหลาย  เพื่อจะให้ได้มาซึ่งคำตอบที่ว่า อะไรคือความเป็นจริงอันเป็นที่สุด (Ultimate Reality)   ของสรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลศึกษาถึงลักษณะของการมีอยู่เป็นอยู่ของสิ่งทั้งหลายว่าอะไรเป็นสิ่งที่จริงแท้  จิตหรือวัตถุเป็นความจริงมูลฐาน ภววิทยามีขอบข่ายกว้างขวางมาก เพราะเป็นการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับชีวิตและสรรพสิ่งทั้งมวลในจักรวาล

๒.  ญาณวิทยา  (Epistemology)    ปรัชญาแขนงนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์หลักหรือทฤษฎีแห่งความรู้ คำถามหลักที่นักปรัชญาแขนงนี้สนใจคือ  อะไรคือความรู้ที่ถูกต้อง   เรารู้ได้อย่างไรว่าถูกต้อง  มีหลักอะไรที่จะช่วยตัดสินความถูกผิด   ประสาทสัมผัสเป็นตัวตัดสิน หรือเหตุผลหรือวิธีอื่นใด ความรู้ มีกี่ประเภท ได้มาจากแหล่งใด เหล่านี้เป็นปัญหาที่ปรัชญาแขนงญาณวิทยามุ่งศึกษาวิเคราะห์

            เนื่องจากการศึกษาเป็นเรื่องของการถ่ายทอดความรู้ ปรัชญาแขนงนี้จึงมีส่วนสัมพันธ์กับการศึกษาอยู่มาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับหลักสูตรและการสอน ญาณวิทยาได้ให้พื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับความรู้ใน ๒ ลักษณะ คือ แบบต่าง ๆ ของการรู้ (เรารู้ได้อย่างไร) และประเภทต่าง ๆ ของความรู้

            วิธีการที่จะช่วยให้เรารู้สิ่งต่าง ๆ นั้นมีอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่จะให้ความรู้ที่แท้จริงมากที่สุดนั้นมีอยู่ ๕ วิธีคือ

(๑)  การรู้โดยข้อมูลทางผัสสะ (Sense Data)  ผัสสะ  หมายถึง การรู้หรือการรับรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางใดทางหนึ่งหรือหลาย ๆ ทางพร้อมกัน  ข้อมูลทางผัสสะเป็นวิธีการหนึ่งของการรับรู้เพื่อนำไปสู่ความรู้ที่เชื่อถือได้

(๒)  การรู้โดยสามัญสำนึก (Common Sense)   สามัญสำนึก หมายถึงความรู้สึก หรือการรับรู้ของคนแต่ละคนที่มีร่วมกับคนอื่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องมาคิดค้นไตร่ตรองเสียก่อน มนุษย์เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างสามารถตัดสินได้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควรได้ทันทีโดยอาศัยสามัญสำนึก

(๓)  การรู้โดยตรรกวิธี (Logic)  ตรรกวิธีหรือตรรกวิทยา  เป็นวิธีการสำคัญที่นักปรัชญาใช้ในการตัดสินความถูกต้องของความรู้ความจริง เป็นวิธีการที่อาศัยหลักของเหตุผล ความน่าเชื่อถืออยู่ที่เหตุผล

(๔)  การรู้โดยการหยั่งรู้ หรือญาณทัศน์ (Intuition)  การรู้โดยการหยั่งรู้หรือญาณทัศน์เป็นการรู้โดยอาศัยความคิดหรือจินตนาการที่อาศัยสติปัญญาเป็นหลัก การหยั่งรู้ของมนุษย์นั้นมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับระดับความคิดและสติปัญญาของแต่ละคน ในระดับสูงสุดของการหยั่งรู้โดยใช้สมาธิและปัญญาก็คือ การตรัสรู้อย่างที่เกิดขึ้นกับพระพุทธเจ้ามาแล้ว

๕)  การรู้โดยวิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Method)   การรู้โดยวิธีวิทยาศาสตร์  เป็นการรู้โดยอาศัยการสังเกตและการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่าความรู้ที่ได้จากการสังเกตหรือการสัมผัสเป็นความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อมีการทดลองซ้ำ ๆ จนได้คำตอบไม่เปลี่ยนแปลงได้ ก็ถือได้ว่าเป็นความรู้ที่แท้จริงตราบเท่าที่ผลการพิสูจน์ยังไม่เป็นอย่างอื่น  ปรัชญาโดยปกติจะไม่ใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อผลิตความรู้   แต่อาจจะใช้วิธีวิทยาศาสตร์เพื่อทดสอบความถูกต้องของความคิดหรือประสบการณ์

          อีกลักษณะหนึ่งของญาณวิทยาคือ การจำแนกประเภทของความรู้โดยอาศัยแหล่งที่มาและวิธีการได้มาซึ่งความรู้ ออกเป็น ๕ ประเภทคือ

(๑)  ความรู้ประเภทคัมภีร์ (Revealed Knowledge)   ซึ่งเป็นความรู้ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่ศาสดา เพื่อนำไปเผยแพร่แก่มวลมนุษย์ ส่วนมากจะเป็นความรู้ที่ประมวลไว้ในพระคัมภีร์ทางศาสนา

หลักสูตรและการสอนในโรงเรียนและสถานศึกษามักจะมีการนำเอาความรู้ประเภทนี้บรรจุไว้ในหลักสูตร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้ความรู้เพื่อการพัฒนาจิตใจ

(๒)  ความรู้ประเภทตำรา (Authoritative Knowledge)   เป็นความรู้ที่ได้จากการบอกเล่า บันทึก หรือการถ่ายทอดจากผู้คงแก่เรียน หรือผู้รู้ในเรื่องต่าง ๆ ถือตัวผู้ที่เป็นปราชญ์หรือผู้เชี่ยวชาญนั้น ๆ เป็นแหล่งของความรู้ ผลงานของผู้รู้ที่เขียนเป็นคำมาไว้จึงเป็นประเภทหนึ่งของความรู้ที่ใช้อ้างอิงกันโดยทั่วไป แหล่งความรู้ประเภทนี้อาจจะสมบูรณ์ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือและการพิสูจน์โดยวิธีการอื่น ๆ

(๓)  ความรู้ประเภทญาณทัศน์ (Intuitive Knowledge)   เป็นความรู้ที่เกิดจากการหยั่งรู้โดยญาณ การหยั่งรู้อาจจะเกิดจากการครุ่นคิดไตร่ตรองเพื่อหาคำตอบเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  เพื่อให้พ้นสงสัยแต่คิดไม่ออกหรือหาคำตอบไม่ได้  แต่จู่ ๆ ก็เกิดความรู้ในเรื่องนั้นผุดขึ้นมาในความคิดและได้คำตอบโดยไม่คาดฝัน  ในบางกรณีเมื่อมีแรงดลใจหรือจินตนาการบางอย่างก็เกิดการหยั่งรู้ขึ้น  ความรู้ที่ได้จากญาณทัศน์นี้เป็นจุดกำเนิดของความรู้เชิงปรัชญา ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรืองานสร้างสรรค์ทางด้านศิลปกรรมและวรรณกรรม

(๔)  ความรู้ประเภทเหตุผล  (Rational Knowledge)  เป็นความรู้ที่ได้มาจากการใช้ หลักของเหตุผล ซึ่งเป็นวิธีการทางตรรกวิทยา ส่วนใหญ่จะเป็นความรู้ที่เกิดจากการอ้างอิงความจริงหรือความรู้ที่มีอยู่แล้ว เพื่อนำไปสู่ความรู้ใหม่

(๕)  ความรู้เชิงประจักษ์  (Empirical Knowledge)  เป็นความรู้ที่ได้จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และผัสสะประกอบกัน การสังเกต การทดลอง การพิสูจน์ความจริงด้วยวิธีการที่เหมาะสมโดยมีการเก็บรวบรวม วิเคราะห์ และแปลความหมายของข้อมูลด้วยวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์ เป็นแหล่งที่มาของความรู้ประเภทนี้ ซึ่งเป็นรากฐานของการวิจัยค้นคว้าในยุคปัจจุบัน

๓.  คุณวิทยา (Axiology)  ปรัชญาแขนงที่มุ่งวิเคราะห์คุณค่าหรือค่านิยมเกี่ยวกับความดีและความงาม มีลักษณะเป็นปัชญาชีวิตที่มุ่งศึกษาแนวความคิดและความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าใน ๒ แง่ คือ

  (๑)  จริยศาสตร์ (Ethics)  เป็นเรื่องของความดี ความถูกต้องของแนวทาง ความประพฤติ ความหมายของชีวิต ชีวิตที่ดีมีลักษณะอย่างไร อะไรคือสิ่งที่น่าพึงปรารถนาที่สุดของชีวิต ความดีคืออะไร เอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดความดีความชั่ว

            (๒)  สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics)   เป็นเรื่องของความงาม การาจะตัดสินว่าอะไรสวย อะไรงาม ใช้เกณฑ์อะไร มีเกณฑ์ที่จะวัดได้จริงหรือไม่ สุนทรียศาสตร์มุ่งศึกษาคุณค่าเกี่ยวกับความงามของศิลปะ ความไพเราะแห่งดนตรี ความงามแห่งธรรมชาติ

คุณวิทยามีความสำคัญยิ่งต่อการศึกษา  ทั้งนี้เพราะการศึกษามิได้มีหน้าที่แต่เพียงการถ่ายทอดความรู้ไปสู่ผู้เรียนเท่านั้น  แต่ยังมีหน้าที่สำคัญในการปลูกฝังทัศนคติ และค่านิยมที่ดีงามในตัวผู้เรียนด้วย  หลักการด้านจริยศาสตร์และสุนทรียศาสตร์ จึงมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับการจัดการศึกษาทุกระดับเป็นอย่างมาก

๔.  ตรรกวิทยา (Logic)  มุ่งศึกษากฎเกณฑ์การใช้เหตุผล การคิดอย่างมีระบบระเบียบ การอ้างเหตุผลอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผล  มีหลักอะไรที่จะตัดสินความมีเหตุผล การอ้างเหตุผลมีได้กี่วิธี เหล่านี้เป็นเรื่องที่ตรรกวิทยามุ่งศึกษาวิเคราาะห์วิธีการหาเหตุผลทางตรรกวิทยา มีอยู่ ๒ แบบ คือ

            (๑)  แบบอุปนัย (Inductive)   การอ้างเหตุผลแบบอุปนัยนั้นเป็นการอาศัยความจริงหรือประสบการณ์ย่อยหลายๆ ประสบการณ์มาสรุปเป็นความจริงหลัก เช่น

             คนเป็นสิ่งที่มีชีวิต          ต้องตาย

             สัตว์เป็นสิ่งมีชีวิต          ต้องตาย

             พืชเป็นสิ่งที่มีชีวิต         ต้องตาย

             เพราะฉะนั้น  สิ่งมีชีวิตต้องตาย

            ทางการศึกษาได้ใช้วิธีอุปนัยทั้งในด้านการสอนและการวิจัยค้นคว้า  เช่น การสอนภูมิศาสตร์โดยเริ่มจากภูมิศาสตร์ของหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ภาค ประเทศ และภูมิภาคของโลกเพื่อให้นักเรียนทราบหลักการตั้งแต่เรื่องย่อยไปจนถึงเรื่องใหญ่ระดับโลก ก็เป็นการสอนแบบอุปนัย การวิจัย เช่นเรื่องพฤติกรรมการบริหารของผู้บริหารโรงเรียน โดยการนำการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมผู้บริหารเป็นรายโรงเรียน แล้วนำมาสรุปเป็นภาพรวมของพฤติกรรมทั้งหมด ก็เป็นวิธีวิจัยแบบอุปนัย

            (๒)  แบบนิรนัย (Deductive)   การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนั้นเป็นการอ้างว่าสิ่งหนึ่งเป็นจริงเพราะสอดคล้องกับสิ่งอื่นที่เราทราบว่าเป็นจริงและถือเป็นหลักอยู่แล้ว เช่น สิ่งมีชีวิตต้องตาย คนเป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะฉะนั้นคนต้องตาย

การอ้างเหตุผลแบบนิรนัยนี้ใช้ในการเรียนการสอนและการวิจัยทางการศึกษาอยู่มาก  เป็นการสอนจากหลักใหญ่ไปสู่เรื่องย่อย

 แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย