สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เศรษฐศาสตร์และการเมือง
อภิชัย พันธเสน
3
แน่นอนว่าในยุคของท่านอาจารย์ป๋วยที่เป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์และหลังจากนั้น
ได้เป็นอาจารย์ประจำธรรมดา และกลับมาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์และนักศึกษาจำนวนหนึ่งมีความตื่นตัวและสนใจการเมือง
ตลอดจนมีส่วนร่วมในกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในระดับหนึ่ง
ทั้งนี้จะไม่กล่าวถึงบรรดาศิษย์ของคณะเศรษฐศาสตร์ ที่มีมากและมีหลายรุ่น
แต่อาจารย์ในขณะนั้นก็มีอาจารย์ทวี หมื่นนิกร อาจารย์รังสรรค์ ชนะพรพันธุ์
อาจารย์ไตรรงค์ สุวรรณคีรี และผู้เขียน นอกจากนั้นยังมีอาจารย์ในคณะฯ
อีกเป็นจำนวนมาก
ที่อาจจะไม่ใช่พวกกองหน้าแต่ก็เป็นกองหลังและกองหนุนอีกเป็นจำนวนมาก
ทุกครั้งที่มีความไม่ชอบมาพากลทางการเมืองที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ
อาจารย์ในคณะเศรษฐศาสตร์จะเปิดประเด็นด้วยการอภิปรายทางวิชาการและเชิญผู้เกี่ยวข้อง
มาร่วมอภิปราย เพื่อสร้างผลสะเทือนทางการเมือง
หรือบางครั้งจะมีการจัดสัมมนาทางวิชาการ ที่เรียกว่า Symposium
โดยเอาประเด็นที่เด่นทางสังคมเป็นประเด็นในการอภิปราย เพื่อหวังผล
ให้เกิดมีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายทางการเมือง
มีกรณีศึกษาอีกหนึ่งกรณีที่น่าจะเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจได้
กล่าวคือในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเริ่มซวนเซก่อนที่จะมีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท
เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ก่อนหน้านั้น
ได้มีนักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและมีตำแหน่งสำคัญในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มค่าเงินบาท
ด้วยเหตุผลว่าเศรษฐกิจประเทศไทยมีพื้นฐานดีและจะไม่มีปัญหาอะไร
อีกทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ
ซึ่งก็มีความจริง อีกด้านหนึ่งอยู่ด้วย
เนื่องจากในขณะนั้นว่าธนาคารดังกล่าวได้กู้เงินดอลล่าร์สหรัฐมาปล่อยให้กู้
ต่อภายในประเทศไทยมากพอสมควร ถ้าค่าเงินบาทลดลงจากการลอยตัวค่าเงินบาท
ธนาคารแห่งนั้นก็จะประสบปัญหามากด้วย แต่คณาจารย์ในคณะเศรษฐศาสตร์กลับร่วมกัน
ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลลอยตัวค่าเงินบาทพร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นแสวงหาความช่วยเหลือจาก
IMF ด้วย ทั้งนี้เพราะคณาจารย์ของคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พิจารณาจากมุมมองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
และในที่สุดวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลก็ได้ประกาศลอยตัวค่าเงินบาทและขอให้ IMF
เข้ามาช่วยลดปัญหาการขาดแคลนเงินสำรองเงินตราต่างประเทศที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
ที่เกิดจากการป้องกันการโจมตีค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยก่อนหน้านั้น
ตรงนี้จึงเป็นกรณีตัวอย่างของการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยแนวทางที่ถูกต้องและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักในโอกาส
ที่เหมาะสม
ถ้าหากไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองลักษณะดังกล่าวข้อเสนอก็จะเป็นเพียงประเด็นถกเถียงกันในสังคมและสถานการณ์อาจจะถลำลึกไปกว่านี้
เท่าที่ผ่านมาเมื่อเร็วๆ นี้ นักวิชาการ
ท่านเดิมที่เคยสังกัดอยู่กับกลุ่มการเมืองฝั่งตรงกันข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันได้ออกมากล่าวหา
การดำเนินงานของรัฐบาลปัจจุบัน (2552) ว่าจะทำให้ GDP ของประเทศไทยมีค่า - 4.5
ต่ำที่สุด ในเอเชียและในโลก
ซึ่งบัดนี้ปรากฏผลชัดเจนแล้วว่าทั้งประเทศญี่ปุ่นและสิงค์โปร์มีปัญหามากกว่าประเทศไทย
โดยในคราวนี้ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้แต่อย่างใด
ซึ่งก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจที่สะท้อนแนวโน้มในอนาคตของ คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังจะได้กล่าวต่อไป
ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 6
ตุลาคม 2519 17 พฤษภาคม 2535 แม้กระทั่งกระบวนการขับไล่นายกทักษิณ ชินวัตร ในปี
2548 ก็จะมีอาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นหัวหอกล่ารายชื่อหรือเข้าร่วมในกิจกรรมเหล่านั้นด้วย
แต่ต่อไปในอนาคตจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้อีกหรือไม่คงเป็นเรื่องที่คณาจารย์
ในคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นผู้ให้คำตอบ
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างของกรณีศึกษาที่สะท้อนความเกี่ยวพันของคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับบทบาททางการเมือง
เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ต่อประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
เหตุการณ์เหล่านี้มิได้เกิดขึ้นลอยๆ แต่มีความเป็นมา
จากพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากสถาบันการศึกษาอื่นๆ
การเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง มิได้ประสบความสำเร็จเสมอไป
แต่อย่างน้อยก็เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างโอกาสทางการเมือง
หรือมิฉะนั้นก็เป็นการเคลื่อนไหวในโอกาสและจังหวะที่จะช่วยให้การเมืองเปลี่ยนแปลงได้
หนทางต่อไปในอนาคต
หลังจากการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของคณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทางด้านการเมืองในปี 2548 นับเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ในฐานะที่เป็น
ผู้สังเกตการณ์จากภายนอกเห็นว่าการเคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญ
ค่อนข้างจะแผ่วเบาลง ความจริงความแผ่วเบาดังกล่าวเริ่มมีมาแล้วหลังจากยุค 17
พฤษภาคม 2535 แต่ก็ยังมีเชื้อที่จะเดินต่อบ้าง
เข้าใจว่าต่อจากนี้เป็นต้นไปคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็คงเหมือนๆ
กับคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอื่นๆ คือ เน้นการทำงานทางวิชาการเป็นหลัก
สาเหตุน่าจะมาจากสามประการหลัก ประการแรก
ความไม่ต่อเนื่องของอาจารย์ที่อาจารย์ในรุ่นหลังๆ
นั้นไม่ได้ผ่านประสบการณ์การมีส่วนร่วมทางการเมืองมากนัก
นอกจากนั้นสถานะภาพของวิชาเศรษฐศาสตร์ก็ได้สอนให้พวกเราเน้นการเป็น มืออาชีพ
และปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของนักการเมืองที่จะตัดสินใจเอง หรือประการที่สอง
เกิดการแบ่งขั้วทางอุดมการณ์เช่นเดียวกับการแบ่งขั้วทางอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยทั่วไป
ทำให้อาจารย์ที่คิดว่าตนเองมีอุดมการณ์ต่างกับผู้อื่นไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
ซึ่งต่างจากในอดีตที่อาจารย์อาจจะคิดเห็นไม่ตรงกันก็ยังทำงานด้วยกันได้จากลักษณะความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมคณะฯ
และไม่คิดว่าความแตกทางความคิดไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแบ่งแยกเพราะทุกคนต่างก็มิได้
มีผลประโยชน์แฝงเร้นจากความเชื่อในความคิดนั้นๆ
และประการสุดท้ายถูกครอบด้วยกรอบและโครงสร้างของลัทธิทุนนิยม
ทำให้อาจารย์ทั้งหลายเน้นที่จะอยู่รอดในโลกของวัตถุนิยมด้วยการหารายได้จากกิจกรรมทางวิชาการที่ตนเองมีความได้เปรียบเป็นหลัก
อีกทั้งสังคมและการเมือง
มีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนเกินไปกว่าที่จะอุทิศเวลาเพื่อทำความเข้าใจหรือมีส่วนร่วมได้
อิทธิพลประการหลังนี้น่าจะมาแรงกว่าปัจจัยในข้อ (1) และ (2)
คำถามต่อไปจึงมีอยู่ว่าการเน้นความเป็นมืออาชีพแบบนี้กับแบบเดิมไหนจะดีกว่ากัน
คำตอบในเรื่องนี้ก็คือคงจะเปรียบเทียบกันไม่ได้
ทั้งนี้เพราะบริบททั้งหลายได้เปลี่ยนไป จนหมดแล้ว
แต่อย่างไรก็ตามก็อยากจะขอเตือนอาจารย์รุ่นน้องและรุ่นลูกศิษย์ว่าการเป็น
นักเศรษฐศาสตร์ที่ดีสำหรับประเทศไทยนอกจากจะต้องเข้าใจปัจจัยทางเศรษฐศาสตร์แล้วยังต้องเข้าใจปัจจัยในมิติอื่นๆ
สามารถเห็นภาพรวมของเรื่องที่ต้องการศึกษา รวมทั้งผลกระทบของเรื่อง ที่ศึกษา
ตลอดจนเข้าใจบริบทที่จะนำไปประยุกต์ใช้และในที่สุดจะต้องติดตามการเคลื่อนไหว
ทางการเมือง เพื่อผลในการจุดประกายความคิดให้แก่สังคม
หรือผลที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ซึ่งอาจต้องรอคอยจังหวะและโอกาสที่สมควร ในขณะเดียวกันก็ไม่มี
ความจำเป็นที่จะต้องไปเป็นนักการเมืองเอง ยกเว้นเป็นผู้ที่มีจริตเช่นนั้นอยู่แล้ว
และในขณะเดียวกันก็ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจต่อทฤษฎีการตัดสินใจของนักการเมือง
ซึ่งมีประเด็นที่สลับซับซ้อน
ปล่อยให้เป็นเรื่องของนักเศรษฐศาสตร์ที่จะพยายามทำความเข้าใจเหตุผลทางตรรกะหรือทางทฤษฎีซึ่งไม่จำเป็นจะต้องสะท้อนความเป็นจริงแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่
นักเศรษฐศาสตร์สามารทำได้คือติดตามพฤติกรรมของตัวละครทางการเมืองที่สำคัญๆ
ตลอดจนพัฒนาทางการเมืองรวมทั้งค้นหาจุดที่จะเป็นคานงัด
ตลอดจนจังหวะที่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
ที่จะช่วยให้สังคมมีความเป็นธรรมเพิ่มมากขึ้น
ที่สำคัญก็คือจะต้องเปิดใจให้กว้างในการหาความรู้และรับฟังความคิดที่หลากหลาย
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพันธะกิจ (Mission) ที่ไม่อาจประสบความสำเร็จได้ (impossible)
แต่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เคยเป็นจิตวิญญาณของคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในอดีต
แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องรักษาจิตวิญญาณเหล่านั้นไว้ถ้าหากบริบทเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแล้ว
ทั้งนี้เพราะการเป็น นักเศรษฐศาสตร์มืออาชีพ
ที่สนใจเฉพาะประเด็นทางเศรษฐศาสตร์จะช่วยให้การดำรงชีวิตง่ายกว่ามาก
เพียงแต่เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยท้าทายเท่านั้น


