วรรณกรรม สุภาษิต ข้อคิด คำคม สำนวน โวหาร งานเขียน >>

วรรณคดีรัสเซีย
(Русская литература)

วรรณคดีรัสเซียได้เริ่มต้นขึ้นในยุคกลาง (คริสต์ศตวรรษที่ 10) กล่าวคือ ในช่วง 50 ปี หลังจากที่คริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์โธดอกซ์ ได้เข้ามาเผยแพร่ในรัสเซีย ซึ่งก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประดิษฐ์อักษร และภาษาเขียนภาษารัสเซียขึ้นเป็นครั้งแรก โดยนักบวชชาวกรีก ๒ คนคือ นักบุญคีริล (Кирилл) และนักบุญเมโธดิอัส (Мефодий) ในปี ค.ศ.988 งานวรรณกรรมในยุคแรกเป็นงานเขียนของนักบวช ซึ่งเป็นเรื่องราวทางศาสนา และไม่ได้ระบุชัดว่าเขียนขึ้นใน ปี ค.ศ.ใด วรรณกรรมชิ้นแรกของรัสเซียที่ปรากฎเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ “กาพย์เกี่ยวกับการศึกของเจ้าชายอีกอร์” (Слово о полку Игореве) เป็นกาพย์ที่เชิดชูวีรกรรมของเจ้าชายอีกอร์ และเหล่าทหารที่แต่งโดยนักปราชญ์ที่ไม่ปรากฏนาม คาดว่าได้ประพันธ์ไว้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 วรรณกรรมเรื่องนี้จัดว่าเป็นวรรณกรรมที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของยุโรปในยุคกลาง

  หลังจากที่รัสเซียได้ปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากมองโกลแล้ว ในรัชสมัยอีวานผู้โหดร้าย (Иван Грозный 1533-1584) ได้มีการประพันธ์หนังสือ “การจัดการครอบครัว” (Домо-строй) ขึ้นโดย ซีลเวสเตอร์ (Сильвестр) นักบวชที่มีบทบาท และอิทธิพลสูงสุดในขณะนั้น (มีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของซาร์) ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการครอบครัวในสังคมที่เพศชายมีอำนาจสูงสุด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสังคมและวัฒนธรรมของรัสเซียในช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี

  วรรณกรรมที่โดดเด่นของรัสเซียในยุคต่อมาเริ่มขึ้นในรัชสมัยของคัทรีนมหาราชินี ในยุคดังกล่าววรรณกรรมรัสเซียได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมของเยอรมัน อังกฤษ และฝรั่งเศส เนื่องจากกระแสอารยธรรมตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในช่วงตอนต้นศตวรรษ ได้ไหลบ่าเข้าท่วมกระแสอารยธรรมรัสเซียดังเดิมในสังคมชั้นสูงจบแทบหมดสิ้น ซึ่งก็สืบเนื่องมาจากนโยบายเปิดประเทศรับชาวตะวันตกของพระนางคัทรีน และพระนางก็เป็นชาวเยอรมันโดยกำเนิด นิโคลัย โนวิกอฟ (Николай Новиков) ซึ่งเป็นบรรณาธิการวารสารแนวเสียดสีสังคมโดยทั่วไป ในขณะนั้น ได้วิพากษ์วิจารณ์ และเสียดสีระบบการปกครองและนโยบายของพระนางคัทรีน จนวารสารถูกสั่งปิด (ค.ศ.๑๗๗๓) และถูกจองจำ หลังจากนั้นคัทรีนมหาราชินี ยังได้สั่งเนรเทศ อาเล็กซานเดอร์ ราดีเชฟ เจ้าของบทประพันธ์ที่ตำหนิระบบการปกครองของพระนาง ที่มีนโยบายที่ดีกับต่างชาติและชนชั้นสูง โดยไม่ได้ใส่ใจกับชาวนาผู้ยากจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศที่มีชื่อเรื่องว่า “การเดินทางจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กถึงมอสโก” (Путешествия из Санкт-Петербурга в Москву) จากการกระทำดังกล่าวของพระนางได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการรวมตัวกันของปัญญาชน ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบและการกระทำของพระนาง ก่อตั้งกลุ่มที่มีแนวความคิดที่จะปฏิวัติล้มล้างสถาบันและระบบการปกครอง นักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในรัชสมัยของพระนางเจ้าคัทรีนมหาราชินี คือ นิโคลัย คารามซีน (Николай Карамзин 1766-1826) ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ ที่มากล้นไปด้วยความสามารถ จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุด คือ การเรียบเรียงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของรัฐและราชวงศ์ต่างๆ ของรัสเซีย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ โดยเขาได้ใช้เวลาศึกษาและเรียบเรียงถึง ๑๒ ปี ตีพิมพ์เป็นหนังสือได้ถึง ๑๒ เล่ม คือ “ประวัติศาสตร์รัฐบาลรัสเซีย” (๑๘๑๖-๑๘๒๙) (История государства российского) แนวความคิดในการเรียบเรียงเรื่องดังกล่าว นิโคลัย คารามซีน ได้รับมาจากการได้ศึกษาผลงานของ Jean Jacques Rousseau นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศส และ Samuel Richardson และ Laurence Sterne นักประพันธ์ชาวอังกฤษ นอกนั้น นิโคลัย คารามซีน ยังได้ประพันธ์วรรณกรรมที่สามารถจัดได้ว่าเป็นนวนิยายเรื่องแรกของรัสเซีย ซึ่งได้เขียนขึ้นตามแนว Sentimental อันเป็นแนวที่กำลังนิยมอยู่ในยุโรปตะวันตกในขณะนั้น คือ “จดหมายของนักเดินทางรัสเซีย” (Письма русского путешественника) และต่อมาได้ประพันธ์นวนิยาย “ล๊ซ่าผู้น่าสงสาร” (Бедная Лиза) ซึ่งได้ใช้แนวการประพันธ์แนวเดิม คือ sentimental ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ผู้ให้กำเนิดเซนทะเมนทัลลิสซึ่มในรัสเซีย”

  นักประพันธ์ที่มากด้วยพรสวรรค์ของรัสเซีย ต่อจากนิโคลัย คารามซีน มีอยู่ 2 คน คือ วาสิลี จูกอฟสกี้ (Басилий Жуковский 1783-1852) และคันสตันติน บาติอูชกอฟ (Константин Батюшков 1787-1855) ทั้งคู่จัดได้ว่าเป็นกวีเรืองนามของรัสเซียในยุคนั้น บทกวีของพวกเขาโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแนว sentimental จะมีก็แต่บทกวีของ คันสตันติน บาติอูชกอฟ ในช่วงหลังๆ เท่านั้นที่เปลี่ยนแนวไปเป็น classical และ romantic ในบางครั้ง ผลงานของทั้งสอง นอกจากจะเป็นบทกวีแล้วยังมีงานแปลวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมจนได้รับคำชมว่า “แปลได้ดีกว่าต้นฉบับ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแปลบทร้อยกรองจากภาษาอังกฤษ สันสกฤต เปอร์เชียน และกรีก อีกทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นราชบัณฑิต และเป็นอาจารย์สอนเชื้อพระวงศ์และบุตรหลานของขุนนางในโรงเรียนของราชสำนัก

  หลังจากที่วรรณกรรมรัสเซีย ได้อาศัยรูปแบบและแนวทางวรรณกรรมของยุโรปตะวันตกมากว่าศตวรรษแล้ว จึงได้ค้นพบรูปแบบของตนเองในตอนต้นศตวรรษที่ 19 นักประพันธ์ผู้ที่ได้ชื่อว่า “มหากวีเอก” ผู้เปิดยุคทองแห่งวรรณศิลป์รัสเซีย ได้แก่ อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น (Александр Пушкин 1799-1837) ผลงานในช่วงแรกของเขาได้แนวทางมาจาก neoclassical ของฝรั่งเศส และต่อมาได้เปลี่ยนแนวทางการประพันธ์ไปเป็นแบบ romantic ของ George Dyron และในที่สุดก็ได้ค้นพบแนวทางของตนเอง คือ classical แบบรัสเซีย ผลงานวรรณกรรมในรูปร้อยกรองเรื่องแรกของเขา ได้แก่ “รูสลาน และลูดมีล่า” (Руслан и Людмила 1818-1820) ต่อจากนั้นได้ประพันธ์วรรณกรรมไว้เป็นมรดกทางวรรณศิลป์ของรัสเซียอีกหลายเรื่อง เช่น Кавказский пленик 1820-1821, Бахчисарайский фонтан 1823, Цыганы 1823-1824, Борис годунов 1825, Евгений Онегин 1823-1831, Медный всадник 1833 นอกจากนี้ อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น ยังได้ประพันธ์นวนิยาย และบทละครไว้อีกหลายเรื่องก่อนที่จะเสียชีวิตจากการดวลปืนในวัย ๓๗ ปี อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น ได้รับการยกย่องจากชาวรัสเซียให้เป็น “ผู้ให้กำเนิดภาษารัสเซียยุคใหม่” เนื่องจากภาษาเขียนของรัสเซียในปัจจุบันได้รับเอาแบบฉบับของภาษาที่ อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น ใช้ในงานประพันธ์มาเป็นหลัก

  ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น ได้รับการยกย่องให้เป็น “กวีเอกของรัสเซีย อีวาน ครีลอฟ (Иван Крылов) ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาของนิทานรัสเซีย” อีวาน ครีลอฟ ได้เขียนทั้งนิทานสำหรับเด็ก และนิทานเสียดสี ล้อเลียน และเปรียบเปรยสำหรับผู้ใหญ่

  หลังจากอสัญกรรมของกวีเอกรัสเซีย อาเล็กซานเดอร์ ปูชกิ้น กวีนายทหารผู้มีพรสวรรค์สูง มิคาอิล เลียรมันตอฟ (Михаил Лермонтов 1814-1841) ผู้ซึ่งอุทิศตกให้กับแนวการประพันธ์หลักการ แม้กระทั่งความตายแบบปูชกิ้น ก็ได้ประกาศตนเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของปูชกิ้นในทันที ในการนี้เขาได้ประพันธ์บทกวีสดุดีให้กับปูชกิ้น จนเป็นเหตุให้ตนเองต้องถูกย้ายไปประจำการในเอเชียกลาง แถบเทือกเขาคอเคซัส และจบชีวิตลงด้วยการดวลปืน ณ ที่นั้น ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ มิคาอิล เลียรมันตอฟ คือ “Демон” และ “Герой нашего времени”

  นักประพันธ์เอกรัสเซียที่มีผลงานเป็นที่ประทับใจนักอ่านชาวรัสเซียในยุคต่อจากเลียรมันตอฟได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ซึ่งสามารถกล่าวถึงตามลำดับของผลงานที่ออกมาสู่ประชาชนได้ ดังนี้

  นิโคลัย โกกอล (Николай Гоголь 1809-1852) เป็นนักประพันธ์ผู้ร่วมแนวการประพันธ์ romantic และ realistic เข้ากันได้อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นลักษณะพิเศษของเขาที่นักประพันธ์รุ่นต่อมาหลายคนได้ยึดถือเป็นแนวทาง บทประพันธ์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่ “Миргород” 1835, “Шинель” 1842, “Ревизор” 1836, “Мёртвые души” 1842 เป็นต้น

  อีวาน กันชารอฟ (Иван Гончаров 1812-1891) ได้ประพันธ์งานแนว realistic ที่ตีแผ่สังคมรัสเซียออกมาให้เห็นในผลงานทุกเรื่องของเขาไม่ว่าจะเป็น “Обыкновенная история” 1847, “Обломов” 1859, “Обрыв” 1869 ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงธาตุแท้ของชาวรัสเซียในยุคดังกล่าว

  อีวาน ตูรเกนีฟ (Иван Тургенев 1818-1883) เป็นหนึ่งใน ๓ นักประพันธ์แนว realistic ที่ยึดถือเอาทั้งแนวและแบบมาจากตะวันตก ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา คือ “Записки охотника” 1847-1852, “Рудин” 1856, “Дворянское гнездо” 1859, “Накануне” 1860, “Отцыи дети” 1862 บทประพันธ์ของ อีวาน ตูรเกนีฟ โดยส่วนใหญ่เป็นการสะท้อนบทบาทของตัวละครที่มีฐานะทางสังคมต่างกัน ซึ่งผูกพันกับสังคมชั้นสูงของรัสเซียในขณะนั้น

  ฟีโอดาร ดัสตาเยียฟสกี (Фёдор Достоевский 1821-1881) ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง และรัสเซีย ด้วยนวนิยายแนว russian realistic จิตวิเคราะห์ที่ได้พื้นฐานมาจากนวนิยายของ นิโคลัย โกกอล แต่หลักการวิเคราะห์และการเดินเรื่องของทั้งสองจะแตกต่างกันตรงที่ โกกอลวิเคราะห์ตัวละครของตนจากภายนอก แต่ตัสตาเยียฟสกี้วิเคราะห์จากภายใน ซึ่งตัวเขาเองได้ประสบมาแล้วจากชีวิตจริง ประกอบกับพรสวรรค์ทางด้านการถ่ายทอดออกมาทางตัวอักษรที่ทำให้ผู้อ่านได้มองเห็นภาพที่ชัดเจน ทำให้นวนิยายของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง บทประพันธ์ของดัสตาเยียฟสกีที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ “Бедные люди” 1846, “Белые ночи” 1848, “Записки из Мёртвого дома” 1861-1862, “Преступление и наказание” 1866, “Идиот” 1868, “Бесы” 1871-1872, “Подросток” 1875, “Братья Карамазовы” 1879-1880

  เลียฟ ตอลสตอย (Лев толстой 1828-1910) เป็นนักประพันธ์เอกรัสเซีย ที่สามารถประพันธ์นวนิยายที่ตีแผ่สถาบันต่างๆ ของรัสเซียได้อย่างเป็นทางการ และกล้าที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องแนวความคิดของตนเอง ถึงจะขัดแย้งอย่างรุนแรงกับแนวทางการปฏิบัติของศาสนาในขณะนั้นก็ตาม เลียฟ ตอลสตอย เริ่มต้นการเป็นนักประพันธ์ด้วยการเขียนอัตชีวประวัติสามตอนจบ (Trilogy) ระหว่างปี ค.ศ.๑๘๕๒-๑๘๕๗ “Детство”, “Отрочество”, “Юность” ซึ่งเป็นแนวการเขียนที่มีลักษณะวิเคราะห์ตนเองตามหลักธรรมชาติ จากนั้นเขาได้สมัครเป็นทหารไปรบในสงครามระหว่างรัสเซียกับกองทหารคอแซ็ค ในแถบเทือกเขาคอเคซัส ณ ที่นั้นเลียฟ ตอลสตอล ได้ประพันธ์ผลงานชิ้นต่อมาของเขา “Казаки” 1863 แล้วจึงตามด้วย “Война и мир” 1863-1869 นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ยกย่องวีรกรรมของชาวรัสเซียในสงครามปกป้องมาตุภูมิ ให้รอดพ้นจากการรุกรานของกองทัพนโปเลียนมหาราชในปี ค.ศ.๑๘๗๓-๑๘๗๗ เลียฟ ตอลสตอย ได้ประพันธ์นวนิยายที่ตีแผ่สังคมรัสเซียในช่วงเวลาดังกล่าว “Анна Каренина” ในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ เลียฟ ตอลสตอย ได้เปลี่ยนแนวการเขียนของตน เนื่องจากเขาได้ค้นพบความจริงสูงสุดในการดำรงชีวิตของมนุษย์ และต้องการเผยแพร่แนวทางนั้น นวนิยายของเขาในช่วงนั้น ได้แก่ “Воскресение” 1889-1899, “Смерть Ивана Ильича” 1884-1886, “Крейцерова соната” 1877-1889, “Хаджи-Мурат” 1896-1904 และบทละคร “Власть тьмы” 1886, “Живой Труп” 1900

  วลาดีมีร์ คาราเลนโก (Владимир Короленко 1853-1921) ระหว่างปี ค.ศ.๑๘๗๙-๑๘๘๖ ถูกเนรเทศไปอยู่ไซบีเรีย ในข้อหาสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มนักปฏิวัติ ระหว่างที่ถูกเนรเทศได้ประพันธ์งานชิ้นเอกไว้ ๒ เรื่อง คือ “Сон Макара” 1883, และ “Слепой музыкант” 1886 ซึ่งเป็นงานประพันธ์แนว radical idealism หลังจากกลับมาจากการถูกเนรเทศได้ประพันธ์นิยายแนวดังกล่าวไว้อีกหลายเรื่อง

  อันโตน เชียคอฟ (Антон Чехов 1860-1904) เริ่มการเป็นนักประพันธ์ด้วยการเขียนเรื่องสั้นลงตีพิมพ์ในวารสาร ซึ่งเป็นทั้งแหล่งที่มาของรายได้หลักที่ช่วยจุนเจือครอบครัว และชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในนามของราชาเรื่องสั้นแนวตลกในช่วงแรกที่ผลิตผลงาน และกลายเป็นเรื่องตลกที่อ่านจบแล้วไม่ตลก แต่กลับต้องสลดใจในผลงานช่วงต่อมาหลังจากที่เขาเป็นนายแพทย์ และไม่ได้เขียนเรื่องสั้นเพื่อขายอีกต่อไปแล้ว เรื่องสั้นของอันโตน เชียคอฟ มีมากกว่า ๗๐๐ เรื่อง แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป คือ เรื่องสั้นขนาดยาว ที่เขาได้เขียนขึ้นหลังจากที่ได้เป็นนายแพทย์แล้ว ได้แก่ “Скучная история” 1889, “Дузль” 1891, “Дом с мезонином” 1896, “Ионыч” 1898, “Дама с собачкой” 1899, “Бабье царство” 1894, “Мужики” 1897, “В овраге” 1900, “Палата №6” 1892, “Человек в Футляре” 1898, นอกจากนั้น อันโตน เชียคอฟ ยังได้เขียนบทละครอีก ๔ เรื่อง คือ “Чайка” 1896, “Дядя Ваня” 1897, “Три сёсстры” 1901 “Вишнёвый сад” 1904

  มัคซีม โกรกีย์ (Максим Горький 1868-1936) เป็นนามปากกาที่นักอ่านทั่วไปรู้จัก ซึ่งชื่อจริงของเขา คือ อาเล็กเซย์ เปียชกอฟ นักประพันธ์ผู้ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชีวิตมาแล้วหลายมหาวิทยาลัย มัคซึม โกรกีย์ เป็นนักประพันธ์คนแรกของโลกที่ให้กำเนิดนวนิยายแนว “สัจจะนิยมแบบสังคมนิยม” (socialist realism) และเป็นผู้ที่ก่อตั้งสหภาพนักประพันธ์แห่งสหภาพโซเวียต ผลงานที่สะท้อนให้เห็นแนวทางของเขาอย่างเด่นชัดที่สุด คือ “Мать” 1906-1907, “Враги” 1906, “Мещане” 1901, “На дне” 1902, “Дачники” 1904, “Варвары” 1905, “Последние” 1908 หลังจากนั้นได้ประพันธ์อัตชีวประวัติสามตอน คือ “Детство” 1913-1914, “В людях” 1915-1916, “Мои университеты” 1922 และในบั้นปลายของชีวิต  มัคซีม โกรกีย์ ได้ประพันธ์นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ ที่เปิดเผยการต่อสู้ทางแนวความคิดที่มีต่อสังคมของชาวรัสเซีย ในช่วงก่อนเกิดมหาปฏิวัติ “Жизнь Клима Самгина” 1925-1936

  อีวาน บูนิน (Иван Бунин 1870-1953) เป็นนักประพันธ์ที่มีวิถีชีวิตและแนวความคิดตรงกันข้ามกับระบอบสังคมนิยมในรัสเซียอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากความเป็นผู้ที่มีฐานะมั่งคั่งและใช้ชีวิตส่วนใหญ่กับการท่องเที่ยวรอบโลกและหาความสุขให้กับชีวิต ทำให้เขาต้องอพยพไปอยู่ฝรั่งเศสเมื่อเกิดการปฏิวัติ และยังคงเดินทางท่องเที่ยวเป็นเศรษฐีเจ้าสำราญจนวาระสุดท้ายของชีวิต อีวาน บูนิน จัดว่าเป็นนักประพันธ์รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมคนแรกของรัสเซีย โดยได้รับในปี ค.ศ.๑๙๓๓ จากนวนิยายเชิงอัตชีวประวัติแนว classic เรื่อง “Жизнь Арсеньева” 1927 นอกจากนี้ยังได้ประพันธ์นวนิยายแนวเดียวกันอีกหลายเรื่องเช่น “Деревня” 1910, “Суходол” 1911, “Господин из Санфранциско” 1915, “Тёмные аллеи” 1943

  วลาดีมีร มายาโคฟสกี (Владимир Маяковский 1893-1930) เป็นกวีแนว futurism ที่มีบทบาทสูงสุดภายหลังการปฏิวัติ บทกวีของเขาล้วนแล้วมีเนื้อหาที่ต่อต้านระบบทุนนิยม และหนุนการปฏิบัติของชนชั้นกรรมมาชีพ “Облако в штанах” 1915, “Флейта-позвоночник” 1916, “Мистерия-буфф” 1918, “Люблю” 1922, “Про это” 1923, “Хорошо” 1927, “Владимир Ильич Ленин” 1924

  บารีส ปาสเตอร์นาค (Барис пастернак 1890-1960) เริ่มต้นการเป็นนักประพันธ์ด้วยการแปลนวนิยายของ Shakespeare และ Goethe และหลังจากนั้นได้ประพันธ์บทกวี Iyric “Сестра моя жизнь” 1922, “Девятьсот птый год” 1925-1926, “Лейтенант Шмидт” 1926 และในปี ค.ศ.๑๘๕๕ ได้ประพันธ์นวนิยาย “Доктор Живаго” และถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ในรัสเซีย จึงได้ส่งไปตีพิมพ์ที่อิตาลี และอังกฤษตามลำดับ ในปี ค.ศ.๑๘๕๘ ได้รับรางวัลโนเบลแต่ถูกรัฐบาลบีบบังคับให้ปฏิเสธรางวัลดังกล่าว

  มิคาอิล โชลาคอฟ (Михаил Шолохов 1905-1984) นักประพันธ์ผู้มีความเป็นคอมมิวนิสต์อยู่อย่างเต็มตัว และเป็นนักประพันธ์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งของรัสเซียและของโลก เนื่องจากการทุ่มเทให้กับงานในหน้าที่อย่างจริงจังของเขา ทำให้เขาได้เป็นทั้งสมาชิกพรรคฯ ผู้แทนพรรคฯ ได้รับรางวัลเลนิน รางวัลของรัฐบาลฯ ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้อุทิศตนเพื่องานสังคมนิยม ถึงสองสมัย และได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมจากนวนิยายเรื่อง “Тихий Дон” 1928-1940 ในปี ค.ศ.๑๙๖๕ ผลงานของเขาทุกเรื่องเป็นบทประพันธ์แนวสัจนิยมแบบสังคมนิยมที่มัคซีม โกรกีย์เป็นต้นแบบ งานประพันธ์ของมิคาอิล โชลคอฟ ที่เป็นที่รู้จักของนักอ่านโดยทั่วไป คือ “Поднятая целина” 1932-1960, “Судьба человека” 1956-1957, “Донские рассказы” 1926

  วาเลนติน รัสปูติน (Валентин Распутин 1937) เป็นนักประพันธ์ที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในปัจจุบัน บทประพันธ์ของวาเลนติน รัสปูติน โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องอิทธิพลของสังคมเมืองที่เข้ามามีบทบาทต่อชนบท ความเจริญทางด้านวัตถุที่เข้ามาทำลายวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของคนท้องถิ่น ในปัจจุบันเขายังเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติของรัสเซีย วาเลนติน รัสปูติน ได้รับรางวัลนักประพันธ์แห่งชาติประจำปี ค.ศ.๑๙๗๗ จากบทประพันธ์เรื่อง “Прощание с Матёрой” ผลงานของวาเลนติน รัสปูติน ที่เป็นนวนิยาย (ไม่รวมเรื่องสั้น) ที่ตีพิมพ์ไปมีดังนี้ 1976 “Деньги для Марии” 1967, “Последний срок” 1970, “Живи и помни” 1974, “Век живи-век люби” 1982, “Пожор” 1985

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย