ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
ความเหมาะสมของความศรัทธาในสหัสวรรษที่ 3
เราไม่มีเจตนาจะย้ำสิ่งที่ได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ หลังจากได้อธิบายแล้วว่าความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์นี้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างไร แต่เราใคร่จะแสดงความคิดเห็นสำหรับสหัสวรรษที่สาม ที่กำลังจะย่างเข้ามานี้
ขณะที่เรากล่าวเช่นนี้ ประโยคหนึ่งจาก Haurietis Aquas สะท้อนก้องในหูของเราว่า เพราะศาสนาของพระเยซูเจ้าต้องพึ่งพระผู้ทรงเป็นคนกลาง ผู้ทรงเป็นทั้งมนุษย์ และพระเจ้า ดังนั้น เราจะเข้าถึงพระหฤทัยของพระเจ้าไม่ได้นอกจากผ่านพระหฤทัยของพระคริสตเจ้า ดังที่พระองค์เองทรงระบุว่า ไม่มีใครไปหาพระบิดาได้ นอกจากผ่านทางเรา เราสามารถแปลความหมายของวลี พระหฤทัยของพระคริสตเจ้า ได้หลายทาง แต่อาจไม่มีการอ้างอย่างเป็นทางการถึงความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากพระสันตะปาปา ได้ตรัสถึงบทบาทของพระคริสตเจ้าว่าทรงเป็นคนกลางในประวัติศาสตร์ของคริสตศาสนา แต่ก็เป็นความจริงว่าเราไม่อาจละเว้นความศรัทธานี้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงกล้าพูดว่า ตราบใดที่คริสตศาสนายังคงอยู่ (และเวลานั้นคือสิ้นพิภพ) พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้ายังสามารถเป็นหนทางที่นำไปสู่พระหฤทัยของพระเจ้าต่อไปได้เสมอ
นอกจากนี้ ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ยังมีจุดแข็งมากมาย ซึ่งไม่มีอยู่ในความศรัทธาอื่นที่เราคิดถึงได้ บางคนที่แสดงความรังเกียจความศรัทธานี้ เพราะเรียกร้องมากเกินกว่าที่วิญญาณที่อ่อนเปลี้ยของพวกเขาจะปฏิบัติได้ เนื่องจากความศรัทธานี้เรียกร้องให้ต้องยอมมอบตนเองไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการชดเชยบาป ซึ่งเรียกร้องให้ผู้ที่ศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่อย่างต่อเนื่อง เพราะเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยบาป และกลายเป็นโลกฆราวาสมากขึ้นทุกที เราสามารถยกกรณีของนักบุญ โคลด ลา โกลอมบีแอร์ มาสนับสนุนในที่นี้ได้ หลายคนสงสัยว่ามีเหตุผลใดที่บุคคลนี้ถูกเลือกให้เป็นธรรมทูตแห่งความศรัทธานี้ เพื่อให้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับนักบุญมาร์กาเร็ต มารีย์ อาลาก๊อก จนกระทั่งได้มีการค้นพบบันทึกเกี่ยวกับการเข้าเงียบสองครั้งของท่าน และโดยเฉพาะการที่ท่านได้ผ่านการฝึกฝนฝ่ายจิต 30 วันของนักบุญอิกญาซิโอ ระหว่างที่เป็นนักบวชขั้นที่สาม ในการแสวงหา MAGIS ซึ่งเป็นเป้าหมายของการฝึกฝนฝ่ายจิตนี้ โคลด ได้ปฏิญาณตนว่าจะทำสิ่งที่ครบครันมากกว่าตลอดชีวิตของท่าน และท่านหมายความเช่นนั้นจริง!
แม้ว่าเราได้อ้างถึงคำของคาร์ล ราห์เนอร์ มามากแล้ว เรายังอาจยอมรับความคิดเห็นของเขาเกี่ยวกับความศรัทธานี้ได้อีกว่า องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นสาระสำคัญของความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์นี้ ก็คือองค์ประกอบของคำสั่งสอนนั่นเอง และในความหมายนี้ ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ถูกต้องสำหรับทุกยุคสมัยของคริสตศาสนา สิ่งเหล่านี้มีนัยสำคัญมาก และเห็นได้ชัด และผสมผสานอย่างเป็นธรรมชาติกับแนวความคิดเกี่ยวกับหัวใจ จนเราสามารถกล่าวได้ว่า เนื่องจากความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์นี้ดำรงอยู่ในพระศาสนจักรมาตั้งแต่ยุคโบราณ ดังนั้นจึงย่อมจะมีความศรัทธาเช่นนี้อยู่เสมอ การที่ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ (การประจักษ์ที่ปาเรย์-เลอ-โมนีอัล) จะคงอยู่จนถึงวันสุดท้ายของกาลเวลาหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถล่วงรู้ได้ เราไม่มีหน้าที่พยากรณ์ แต่ต้องมอบตัวเราอย่างอ่อนน้อม และเต็มใจในยุคของเราให้พระจิตเจ้าทรงชี้นำ ใครก็ตามที่มีความอ่อนน้อม และความเต็มใจเช่นนี้ สามารถเป็นตัวแทน และธรรมทูตแห่งความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ได้โดยไม่ต้องคลั่งไคล้ในสิ่งที่ เด็ดขาด และ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน (การสืบสวนทางเทววิทยา, หน้า 341)
และท้ายที่สุด ขอให้เรารับฟังนักเทววิทยาผู้ยิ่งใหญ่คนเดียวกันนี้พูดเหมือนกับเป็นผู้อภิบาล โดยเขาเขียนบทความภายใต้หัวข้อ ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นเครื่องมือของความพากเพียร ไว้ดังนี้ :
ในบรรดาความศรัทธาตามประเพณีนิยมต่างๆ มีอยู่สองอย่างที่ถือได้ว่าสำคัญสำหรับการได้รับพระหรรษทานแห่งความพากเพียรขั้นสุดท้าย คือความศรัทธาต่อพระมารดาของพระเจ้า และความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองนี้เป็นความศรัทธาที่ต้องปฏิบัติภายใน และส่วนตัว ถ้าคิดจะปฏิบัติจริง ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ความศรัทธาทั้งสองนี้กำลังถดถอยในสายตาของพระสงฆ์ และฆราวาส ดังนั้น ถ้าธรรมเนียมของคริสตศาสนายืนยันกับเราว่าความศรัทธาต่อพระนางมารีย์ และต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องหมายของความพากเพียรขั้นสุดท้าย นั่นจะเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นเพราะมีเหตุผลทางเทววิทยา บางทีเราอาจเสริมได้ว่า พระศาสนจักรซึ่งมีพระจิตของพระเจ้า ย่อมรู้ด้วยสัญชาติญาณเหนือธรรมชาติว่าพระเจ้าได้มอบพระหรรษทานพิเศษให้แก่ความศรัทธาทั้งสองนี้ข้าพเจ้าขอถามตนเองว่า การเอ่ยถึงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ และไร้รสนิยมสำหรับข้าพเจ้าหรือไม่ เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักรักมีความรู้สึกกับคำพูดที่แสดงความรักแท้ หรือว่านี่คือบางสิ่งที่ข้าพเจ้าเข้าใจ บางสิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังแสวงหาจากก้นบึ้งของหัวใจข้าพเจ้า และบางสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกกับตนเองเงียบ ๆ อย่างน้อยก็ในบางครั้งว่า พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระบิดานิรันดร ทรงเมตตาข้าพเจ้าเทอญ หรือ พระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ศูนย์กลางอันสูงส่งของหัวใจทั้งมวล ทรงเมตตาข้าพเจ้าเทอญ? ข้าพเจ้ากำลังทำความเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับศูนย์กลางของโลก หรือพระหฤทัยที่ถูกแทงนี้ ซึ่งหลั่งความรักลงมาสู่ความมืดประจำวันของโลกหรือไม่? ถ้าข้าพเจ้าสามารถตอบตนเองอย่างซื่อสัตย์ได้ว่า เคย ข้าพเจ้าก็กำลังพยายามจริง ๆ ที่จะรักพระเยซูเจ้า และนั่นคือสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนในชีวิตนักบวชของข้าพเจ้า ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็กำลังมุ่งหน้าไปตามทาง และเห็นได้ชัดว่าพระเจ้าผู้ซื่อสัตย์ของข้าพเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า และเมื่อนั้น พระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าก้าวหน้าจากพระหรรษทานหนึ่ง ไปสู่อีกพระหรรษทานหนึ่ง จนกว่าจะถึงขั้นสุดท้าย เมื่อนั้น ความรักจะสามารถขับไล่ความกลัวออกไป และเราจะสามารถเดินหน้าไปพบพระเจ้าด้วยหัวใจที่เปิดกว้างอย่างโล่งอกและชื่นชมยินดี อย่างสงบและโดยที่ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตของเรา (คาร์ล ราห์เนอร์ : Spiritual Exercises - แปลโดยเคนเนธ เบเคอร์ S.J. หน้า 282-284)
» ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ในอดีต และปัจจุบัน
» รากฐานความเชื่อของความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
» ความศรัทธานี้ และความศรัทธาอื่นๆ
» พระหฤทัยรักของพระเยซูคริสตเจ้า
» ความศรัทธาต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ในปัจจุบัน
» การชดเชยบาปต่อพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
» คำสัญญา 9 ข้อ ของพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
» ความเหมาะสมของความศรัทธาในสหัสวรรษที่ 3
» บทเร้าวิงวอนพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ และบทเร้าวิงวอนอื่นๆ
» บทเร้าวิงวอนพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
» คำอธิบายคำวิงวอนในบทเร้าวิงวอนพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
» ภาคผนวก