ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
คำอธิบายคำวิงวอนในบทเร้าวิงวอนพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์
พระหฤทัยพระเยซู ทรงมหิทธิศักดิ์ไม่มีขอบเขต
คำว่า มหิทธิศักดิ์ (majesty) คงทำให้เราคิดถึงพระราชา หรือราชินี หรือทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะเมื่อประเทศของเราปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย พระราชา หรือพระราชินี เป็นบุคคลที่น่ายำเกรง ในอดีตเมื่อครั้งที่พระราชาปกครองภายใต้ พระราชอำนาจจากสวรรค์เพียงเอ่ยถึงพระราชา หรือพระราชินี ก็ทำให้ประชาชนครั่นคร้ามแล้ว และการปรากฏตัวของพระราชา หรือพระราชินี ที่แต่งพระองค์ด้วยผ้าซาตินปักด้วยทองคำย่อมทำให้ประชากรถึงกับตัวสั่น
พระราชา และพระราชินี ทุกวันนี้เป็นเพียงสิ่งในอดีต แต่มีบางชาติที่ยังยึดติดกับระบอบราชาธิปไตย ซึ่งอาจเพราะเป็นธรรมเนียม หรือความอาลัยอาวรณ์ต่ออดีต ชาติที่ไม่ปกครองโดยระบอบนี้ก็เป็นเพราะเขาได้ขับไล่พระราชาออกไป หรือไม่เคยรู้จักการปกครองแบบนี้เลย แม้แต่ในประเทศอังกฤษที่ใช้ระบอบราชาธิปไตยมานานที่สุดในประวัติศาสตร์ บางครั้งระบอบนี้ก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่บางครั้งก็ถูกล้อเลียน และบางครั้งก็ถูกประณามแม้ว่าพระราชาแต่ละพระองค์จะต่างกัน แต่เราเรียกทุกพระองค์ว่า His Majesty ดังนั้น คงไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใด เราจึงนำคำนี้มาเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ และนี่คือจุดสำคัญของบทเร้าวิงวอนข้อที่ 4 แม้เรามักถือว่าความร่ำรวย อำนาจ ความรู้ ความศึกษา ความสูงศักดิ์ และแม้แต่ความเจ้าเล่ห์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้นำไปสู่ความเป็นพระราชา ดังนั้น เราจึงสามารถละเว้นสิ่งเหล่านี้ และแสวงหาความหมายของคำว่า majestyจากคำอธิบายทางภาษาศาสตร์
คำว่า majesty มาจากภาษาละตินว่า major ซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบที่มาจากคำคุณศัพท์ว่า magnus เมื่อพระราชาองค์หนึ่งขยายอาณาจักรของพระองค์ด้วยวิธีการต่าง ๆ (ส่วนใหญ่จะใช้วิธีเอาชนะด้วยกำลัง) พระองค์จะได้รับฉายาว่า มหาราช เช่น อเล็กซานเดอร์มหาราช อักบาร์มหาราช และมีชาลมาญในยุคกลางของคริสตศาสนา และพระองค์ก็ได้รับการตั้งฉายาโดยใช้คำในภาษาฝรั่งเศสที่มาจากคำว่า magnus ในภาษาละติน เมื่อนำคำว่า major มาใช้กับเทพเจ้า หรือผู้มีชื่อเสียงในโรม จะบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรี ในโลกตะวันออกยุคโบราณ ความเป็นกษัตริย์เกี่ยวข้องกับตำนานที่ถือว่ากษัตริย์เป็นเทพเจ้า และในกรณีที่สุดโต่ง จะถึงกับถือว่าพระราชาเป็นเทพอวตาร จักรพรรดิ์ของโรมในยุคหลังก็ถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้า ดังนั้น ความคิดเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่จึงถูกถ่ายโอนจากกษัตริย์ไปยังเทพเจ้า
แต่ในอิสราเอล ไม่มีผู้ปกครองคนใดที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้า การเป็นกษัตริย์เริ่มปรากฏในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพียงเมื่อมีการเจิมซาอูล ให้เป็นกษัตริย์ เพื่อให้เขาเป็นผู้นำต่อสู้กับพวกฟิลิสติน เท่านั้น เมื่อซามูแอล เจิมซาอูล สถาบันกษัตริย์จึงเกี่ยวข้องกับศาสนา ดาวิดแผ่ขยายอาณาจักร และหลังจากซาโลมอน ก็มีกษัตริย์สืบต่อมาอีกหลายพระองค์ แม้จะเป็นเช่นนี้ พระยาเวห์ก็ยังทรงเป็นผู้ปกครองอิสราเอลอย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่คำที่ใช้บรรยาย หรือเรียกพระราชาจะถูกถ่ายโอนไปให้พระเจ้า ดังนั้น คำว่า majesty จึงเป็นคำที่ใช้กับพระเจ้าบ่อยครั้ง เช่น มหิทธิศักดิ์ของพระเจ้าแผ่คลุมทั้งโลกพระองค์ทรงเข้ามาในพระวิหาร และประทับอยู่กับประชากรของพระองค์
การนำฉายานี้ไปใช้กับเทพเจ้ามีเหตุผลง่าย ๆ ถ้าความยิ่งใหญ่ และศักดิ์ศรียังเกี่ยวข้อง หรือถูกนำไปใช้กับเทพเจ้าซึ่งเป็นเพียงเทวรูปที่ทำจากดินเหนียว หรือหินอ่อน หรือหินแกะสลัก หรือหล่อขึ้นด้วยบรอนซ์ เงิน หรือทองแล้ว เราควรจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ และศักดิ์ศรีของพระเจ้าแท้จริงอย่างไร?
ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงแสดงพระองค์ท่ามกลางเมฆ หรือพระสิริรุ่งโรจน์ ความรุ่งโรจน์ของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่มากจนคนทั่วไปเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระยาเวห์แล้วจะต้องตาย การแสดงพระองค์เหล่านี้เกิดขึ้นควบคู่กับเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เสียงเป่าแตร ผู้เขียนจดหมายถึงชาวฮีบรู ไตร่ตรองเหตุการณ์เหล่านี้ และตั้งข้อสังเกตว่า เปลวไฟลุกโชติช่วง ลมพายุ หรือเสียงเป่าแตร เพราะพวกเขาทนไม่ได้ที่จะฟังพระบัญชาที่ว่า ใครก็ตาม แม้สัตว์ ถ้าสัมผัสกับภูเขา จะต้องใช้หินทุ่มให้ตาย (ฮบ 12:18) เห็นได้ชัดว่าผู้ประพันธ์กล่าวถึงการแสดงพระองค์ของพระยาเวห์บนภูเขาซีนาย เพื่อตรัสแก่โมเสส และประทานพระบัญญัติแก่ชาวอิสราเอลผ่านเขา จากประสบการณ์ในอียิปต์ ชาวอิสราเอล คงต้องต้องรู้ว่าฟาโรห์ ที่รุ่งโรจน์ และทรงมหิทธิศักดิ์ คือผู้ตรากฎหมาย
ในบทที่เล่าถึงการสำแดงพระองค์ของพระเยซูเจ้าบนภูเขาก็ใช้คำพูดทำนองเดียวกัน ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้สนใจกับความเป็นจริงของบุตรมนุษย์ แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา พระพักตร์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ ดังนั้น จึงไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร เมื่ออัครสาวกทั้งสามที่อยู่บนภูเขานั้นได้เห็นพระมหิทธิศักดิ์ และสิริรุ่งโรจน์ในการสำแดงพระองค์นี้ พวกเขาตกใจกลัวจน ซบหน้าลงกับพื้นดิน มีความกลัวอย่างยิ่ง (มธ 17:6)
พระมหิทธิศักดิ์อันไร้ขอบเขตของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าในบทเร้าวิงวอนข้อนี้เป็นผลมาจากความจริงที่แสดงออกในสมญาก่อนหน้านี้ พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสารัตถะร่วมกันกับพระวจนาตถ์จำเป็นต้องมีพระมหิทธิศักดิ์ที่ไร้ขอบเขต ซึ่งโดยธรรมชาติของตนเองย่อมไม่ไร้ขอบเขต ไม่ยิ่งใหญ่มหาศาล หรือเป็นนิรันดร์ แต่เพราะพระหฤทัยนี้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระวจนาตถ์ จึงทำให้มีศักดิ์ศรี และมหิทธิศักดิ์อย่างไร้ขอบเขต นี่คือพระหฤทัยของพระบุคคลของพระเจ้า เป็นพระหฤทัยของพระเจ้าเอง นักบุญยอห์น อ้างถึงนิมิตอันยิ่งใหญ่ตระการตานี้เมื่อท่านกล่าวว่า เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียว (ยน 1:14) นักบุญเปาโล ก็กล่าวไว้เช่นกันว่า ทุกคนจะย่อเข่าลงนมัสการพระนามเยซู และชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดา (ฟป 2:11/12) มัทธิว และลูกา เน้นถึงความรุ่งเรือง และมหิทธิศักดิ์ในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ว่า เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ (มธ 25:31) บทเร้าวิงวอนบรรยายถึงพระมหิทธิศักดิ์ของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าว่าไร้ขอบเขต ความไร้ขอบเขตเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่ไม่มีขีดจำกัด หรือขอบเขต ซึ่งมีแต่พระเจ้าเท่านั้น พระเจ้าจะถูกจำกัดได้โดยอีกภวันต์หนึ่งที่เหมือนพระองค์เองเท่านั้น แต่ภวันต์เช่นนั้นไม่อาจดำรงอยู่ได้ เพราะไม่มีที่ว่างสำหรับสองภวันต์ที่ไร้ขอบเขต นี่คือเหตุผลที่พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงไร้ขอบเขต ดังนั้น พระมหิทธิศักดิ์ของพระองค์จึงไร้ขอบเขตด้วย
พระมหิทธิศักดิ์ และพระสิริรุ่งโรจน์ทั้งหมดนี้เป็นของพระองค์ตั้งแต่พระองค์ทรงเป็นทารกน้อยที่นอนอยู่ในรางหญ้าที่เบธเลเฮ็ม และตลอดชีวิตที่ซ่อนเร้นของพระองค์ในนาซาแร็ธ และระหว่างพระทรมาน และความตายของพระองค์ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าว และการประณาม แต่ถูกคลุมไว้ด้วยความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงต้องการดึงทุกคนเข้ามาหาพระองค์ด้วยสายสัมพันธ์ของอาดัม ท่านที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านได้พักผ่อน
เมื่อพิจารณาข้อนี้จบแล้ว เราควรรู้สึกว่าเราถูกสองพลังที่ตรงกันข้ามดึงเราออกจากกัน เราควรจมกลับลงไปในส่วนลึกของความเปล่าของเรา เพื่อสักการะด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อพระมหิทธิศักดิ์ของพระเจ้า แต่พระราชานิรันดร ผู้ทรงมหิทธิศักดิ์ไม่มีขอบเขต เสด็จมาหาเราภายใต้เนื้อหนังมนุษย์ ซึ่งสร้างความมั่นใจอย่างที่สุด แม้ในหมู่คนที่ต่ำต้อยที่สุด พระองค์ทรงยินยอมหันมาขอความเห็นใจ และความรักจากเราเรามองหาคนที่จะร่วมโศกเศร้ากับเรา คนที่จะปลอบโยนเรา ซึ่งกระตุ้นให้เราพูดด้วยความกล้าหาญ และความวางใจเช่นเดียวกับนักบุญเปโตร ว่า พระเจ้าข้า เราจะไปหาใคร? พระองค์ทรงมีพระวาจาแห่งชีวิตนิรันดร!
» พระหฤทัยพระเยซู บุตรแห่งพระบิดานิรันดร
» พระหฤทัยพระเยซู ที่พระจิตทรงตกแต่งในครรโภทรแห่งพระมารดาพรหมจารี
» พระหฤทัยพระเยซู ร่วมสภาวะกับพระวจนาตถ์แห่งพระเจ้า
» พระหฤทัยพระเยซู ทรงมหิทธิศักดิ์ไม่มีขอบเขต
» พระหฤทัยพระเยซู วิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า
» พระหฤทัยพระเยซู ตำหนักแห่งพระเจ้าสูงสุด
» พระหฤทัยพระเยซู เคหะของพระเจ้า และประตูสวรรค์
» พระหฤทัยพระเยซู เตาไฟโชติช่วงแห่งความรัก
» พระหฤทัยพระเยซู เครื่องรองรับความยุติธรรม และความรัก
» พระหฤทัยพระเยซู เปี่ยมด้วยคุณงาม และความรัก
» พระหฤทัยพระเยซู ขุมฤทธิ์กุศลทั้งปวง
» พระหฤทัยพระเยซู สมแก่คำสรรเสริญทุกประการ
» พระหฤทัยพระเยซู ราชา และศูนย์รวมแห่งดวงใจทั้งหลาย
» พระหฤทัยพระเยซู ขุมพระปรีชาญาณ และความรู้ทั้งปวง
» พระหฤทัยพระเยซู ที่ประทับแห่งพระเทวภาพครบบริบูรณ์
» พระหฤทัยพระเยซู ที่สบพระทัยแห่งพระบิดา
» พระหฤทัยพระเยซู ที่เราได้รับทานจากความบริบูรณ์ของพระองค์
» พระหฤทัยพระเยซู ความปรารถนาแห่งเนินเขานิรันดร
» พระหฤทัยพระเยซู ทรงอดทน และเมตตากรุณา
» พระหฤทัยพระเยซู ความมั่งคั่งสำหรับทุกคนที่มาวิงวอนพระองค์
» พระหฤทัยพระเยซู ธารแห่งชีวิต และความศักดิ์สิทธิ์
» พระหฤทัยพระเยซู ทรงชดเชยบาปของเรา
» พระหฤทัยพระเยซู ถูกสบประมาทอย่างท่วมท้น (Loaded with opprobrium)
» พระหฤทัยพระเยซู แหลกราญด้วยอาชญากรรมของเรา
» พระหฤทัยพระเยซู นอบน้อมจนสิ้นพระชนม์
» พระหฤทัยพระเยซู ถูกแทงด้วยหอก
» พระหฤทัยพระเยซู ธารความทุเลาบรรเทา
» พระหฤทัยพระเยซู ชีวิต และการคืนชีพของเรา
» พระหฤทัยพระเยซู สันติภาพ และการคืนดีของเรา
» พระหฤทัยพระเยซู ยัญบูชาไถ่บาปมนุษย์
» พระหฤทัยพระเยซู ความรอดของผู้วางใจในพระองค์
» พระหฤทัยพระเยซู ความวางใจของผู้ที่ตายในพระองค์


