ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

พลังโอสถทิพย์

สายปัจฉิม : สำนักเต๋าประเทศจีน

              พลังโอสถทิพย์ เรียกสั้นๆว่า "จินตันกง" เป็นวิชาที่ว่าด้วยพลังของสำนักเต๋า สำนักเต๋า ได้รับการยกย่อง เหลาจื่อเป็นผู้ให้กำเนิดเต๋า และใช้ปรัชญาการบำรุงรักษาสุขภาพร่างกายของเหลาจื่อเป็นเครื่องชี้แนะความคิดว่า ต้องฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแกร่งก่อน จึงจะมีสุขภาพดีและอายุยืน
                         เมื่อผ่านพ้นรัชสมัยถังและซ่งแล้ว "ฉี้กง" ของสำนักเต๋าได้พัฒนาแยกออกเป็น 4 สำนัก คือ บรูพา ปัจฉิม ทักษิณ และอุดร สำนักปัจฉิมนั้น เทวาลวี่ฉุนหยาง หนึ่งในแปดเซียนโจวซือ เป็นผู้ริเริ่มได้สืบทอดติดต่อกันมาเป็นพันปี มีชาวเมืองจี้หนิง มณฑลซันตง ชื่อ ลู้จินกง ได้รับการสืบทอดเป็นกรณ์พิเศษ และได้พัฒนาวิธีการฝึกแล้วตั้งชื่อว่า "พลังโอสถทิพย์" ลูกศิษย์ลู้จินกง ได้หลบซ่อนตัวอยู่ที่เขา ฉีเหลียงซัน มณฑลเหอเป่ย ช่วงเวลาเริ่มเกิดสงคราม มุมานะทำการฝึกเรียนกว่าครึ่งศตวรรษ โดยไม่ลงจากเขา และไม่ถ่ายทอดให้บุคคลภายนอก แต่มีคนผู้หนึ่งของยุคนี้ได้รับการถ่ายทอดคือ นายสวีซ่งเอี๋ยว ตัวนายสวีได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว และเสียชีวิตในช่วงปฎิวัติวัฒธรรม จนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ "พลังโอสถทิพย์" จึงได้เริ่มเผยแพร่มาถึงภาคพื้นเอเซียอาคเนย์ และเป็นวิชาฝึกพลังสำนักเต๋าสายปัจฉิมขนานแท้ ที่ถ่ายทอดสู่ต่างประเทศ
                         "พลังโอสถทิพย์" นั้น ใช้วิธีการสอนให้รู้จักแยกแยะหยินหยาง และข้อเท็จจริง โดยเริ่มต้นจากการกำหนดจิต ให้อยู่ที่ท้องน้อยใต้สะดือ แล้วใช้กระบวนท่าของร่างกายต่างๆมาโน้มนำ พลังการหายใจเข้าออกไปกระทบบริเวณหน้าอกและท้อง จนกลายเป็นการหายใจเข้าออกรูปแบบของท้อง เมื่อถูกปรับแต่งด้วยท่าทางกาย การกำหนดจิตและพลัง ซึ่งมัลักษณะทั้งการเคลื่อนไหวและสงบนิ่ง ฝึกฝนทั้งจิตและร่างกาย   ทำให้เกิดพลังรวดเร็ว สามารถสัมผัสกับพลังที่ร่างกายรับ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย เป็นวิธีการฝึกพลังที่มีตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นจนถึงขั้นสูงสุด "พลังโอสถทิพย์" ให้ความสำคัญต่อพลังงานในร่างกายที่เกิดจากการบริหารมาก จึงได้ใช้วิธีการดูดซึมพลังแท้จากจักรวาล ด้วยการฝึก เมื่อพลังธรรมชาติที่ดูดซึมผ่านการเผาไหม้ของร่างกายแล้ว อุณหภูมิของร่างกายบางบริเวณจะสูงขึ้นอีก 2-5 องศา ในเวลาเดียวกัน ยังมีแสงสว่างด้วย รังสีแสงสามารถส่องออกภายนอกร่างกาย หรือส่องไปถึงร่างกายของผู้อื่น ดังเช่นคำกล่าวของศาสนาพุทธที่ว่า "แสงจิตใต้สำนึก" พลังแท้ธรรมชาติ ที่เกิดจากการเผาไหม้ในร่างกายนั้น มีประโยชน์ต่อการเผาไหม้ขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ขับไอเชื้อโรค   เพื่อเพิ่มศักยภาพการป้องกันโรคของร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น สิ่งนี้เป็นจุดเด่นของ "พลังโอสถทิพย์" ที่แตกต่างกันของสำนักเต๋าสายอื่นๆ
                           พลังโน้มนำโอสถทิพย์ เป็นการฝึกพลังขั้นพื้นฐาน ที่ได้เรียบเรียงสำหรับผู้ที่เริ่มต้นฝึก และยังเป็นวิธีฝึกการบำรุงร่างกายที่มีประโยชน์กระบวนท่าหนึ่ง วัตถุประสงค์ของกระบวนท่านี้ที่สำคัญคือ อาศัยอุณหภูมิสูงขึ้นในร่างกายไปเร่ง การไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกาย เพิ่มสมรรถภาพระบบน้ำคัดหลั่งภายในของร่างกาย จนเป็นผลให้ร่างกายแข็งแรง และสู่เป้าหมายการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ โรคเรื้อรังของระบบการหมุนเวียน ระบบการย่อยและระบบน้ำคัดหลั่งภายใน เช่น ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคหัวใจ เส้นเลือดหัวใจอุดตัน โรครูมาทิซึม อัมพาต โลหิตจาง แผลเน่าเปื่อยของลำไส้ และกระเพาะ ตับอักเสบ ตับแข็ง ไตเสื่อม ปวดหลัง โรคเบาหวาน ต่อมลูกหมากโต และโรคประสาทอ่อนแอ และโรคสตรีต่างๆ


                           ส่วนพลังขับแปลงโอสถทิพย์นั้น เป็นการฝึกที่ก้าวขึ้นไปจากพื้นฐานของพลังโน้มนำ ซึ่งเป็นการฝึกพลังโอสถทิพย์ขั้นกลาง เป็นวิธีการฝึกโดยใช้พลังที่เคลื่อนตัวจากการหายใจเข้าออกไปบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเน้นหนักการฝึกลมหายใจ สามารถรักษาโรคเรื้อรังหลายชนิด เช่น ประสาทอ่อนแอเรื้อรัง อาการท้องผูกของผู้สูงอายุเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูงชนิกรรมพันธุ์ วัณโรค อาการหอบ ฯลฯ การขับพลังให้หมุนเวียนครบวงจรนั้น เป็นวิธียกระดับพลังให้สูงขึ้น เน้นการผสมผสานทั้งกำหนดจิตและฝึกพลัง จนบรรลุถึงขั้นใจ และลมหายใจพึ่งพากันได้ รวมทั้งจิตและพลังสามารถเดิบควบคู่ ส่วนจิตต์และพลังรวมเป็นหนึ่งเดียว หมุนเวียนไปตามเส้นโคจรของจักรวาลในร่างกาย ทำให้เส้นประสาททั้ง 8 ปลอดโปร่ง ทำให้จิตต์และเลือดลมของร่างกายที่อ่อนแอ ชราภาพในผู้เฒ่า กลับคืนสู่ช่วงชีวิตที่มีอายุเพียง 20 ปี พลังขั้นนี้สามารถฝึกด้วยท่ายืน ท่านั่ง ท่าเดิน และท่านอน รวม 4 ท่า ท่านั่งและท่านอนนั้นเป็นพลังสงบนิ่ง สามารถฝึกถึงการนั่ง หรือนอนสมาธิขั้นสูง แต่ 2 ท่านี้ ผู้ฝึกใหม่มักจะเกิดอาการเลอะเลือนได้ง่าย ดังนั้น จึงต้องฝึกด้วยท่ายืนให้มีพื้นฐานก่อน ค่อยเปลี่ยนเป็นท่านั่งและนอน ส่วนท่าเดินนั้น เป็นท่าฝึกให้เดินทนตามขั้นตอนการฝึกฝนหลังจากในร่างกายได้รับพลังแท้ เมื่อได้ฝึกท่าเดินแล้ว การฝึก "ฉี้กง" ขั้นต่อไปก็จะไม่ถูกจำกัดด้วยท่าฝึก เวลาและสถานที่ไม่ว่ากำลังเดินทาง เดินเล่น นั้งรถหรือพูดคุยกับเพื่อนฝูงก็สามารถฝึก "ฉี้กง" ไปด้วย เมื่อสามารถผ่านการฝึกขั้นนี้ไปได้ระยะหนึ่ง ก็สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีหายใจตามอำเภอใจได้ 3 รูปแบบ คือ ทางอุทร อุรา และทางไหล่ ทำให้มีความรู้สึกว่าเวลาเดินเหินนั้นคล่องแคล่วว่องไว แม้เดินทางไกลๆ ก็ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย ส่วนผู้ที่ทำงานใช้สมอง ถ้าฝึกถึงขั้นนี้แล้ว ทำงานติดต่อกัน 16 ชั่วโมง ก็ไม่รู้สึกง่วงเหงาอ่อนเพลีย ยังคงมีพลังเต็มอิ่มตลอดเวลา ถ้าต้องการฝึกเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง "พลังโอสถทิพย์" จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง เมื่อเรียนรู้แล้วฏ้ไม่ต้องมีครูช่วยแนะนำอีก ตัวเองสามารถทำการฝึกให้มีความก้าวหน้าต่อไปได้อีก
                            "พลังโอสถทิพย์" เป็นพลังขั้นสูงสายปัจฉิม ของสำนักเต๋า เมื่อฝึกถึงขั้นพลังขับแปลงได้ราบรื่นแล้ว แก่นสาร พลังและจิตต์ดั้งเดิมในร่างกายจะมีอยู่ครบถ้วนบริบรูณ์ เป็นผลให้หยินหยางสมดุล หัวใจและไตต่างพึ่งพาอาศัย จิตต์และกายรวมเป็นหนึ่งเดียว เวลาที่ทำสมาธิ จะมีความรู้สึกว่ามีโอสถทิพย์ ลูกกลมๆจับตัวอยู่ที่ท้องน้อย มีแสงทองกระพริบสว่างเหมือนฟ้าแลบ แต่เมื่อสลายตัวจะปรากฎแสงสว่างไปทั่วร่าง แล้วหดตัวซ่อนมิดชิด   เมื่อฝึกถึงขั้นนี้แล้วจะเป็นขั้นวิชาจิตว่างเปล่าอยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งมีประโยชน์ให้ร่างกายแข็งแรง อายุยืนและกำลังไม่เสื่อมถอยเมื่อชราภาพ ส่วนด้านจิตนั้นยิ่งหนักแน่น และมีความร่าเริงในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ฝึก "พลังโอสถทิพย์" ไม่จำเป็นตอ้งมีสติปัญญาสูงส่ง สามารถฝึกได้ทุกคน และสามารถกระตุ้นศักยภาพที่อัศจรรย์ต่างๆ ของร่างกายให้ปรากฎในที่สุดด้วย

ฉี้กงและพลานามัย
ประวัติย่อพลังโอสถทิพย์
การผ่อนคลาย
วิธีโน้มนำ 8 ท่า
พลังช่วยเสริม
ความหมาย "ฉี้กง"
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการฝึก
โรคที่เหมาะแก่การรักษา
  

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย