ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
ซิกมุนด์ ซาโลมอน ฟรอยด์
ซิกมุนด์ ซาโลมอน ฟรอยด์ เกิด ณ เมืองไฟรเบิร์ก (Freiberg)
รัฐโมราเวีย (Moravia) ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1856 เวลา 18.30 น.
เป็นชาวยิว มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน บิดาชื่อจาคอบ คาลลามอน ฟรอยด์ (1815-1896)
เป็นพ่อค้าเสื้อผ้าขนสัตว์ ย้อมสีและส่งขายที่เมืองกาลิเซีย
และซื้อสินค้าจากกาลิเซียกลับมาขายที่ไฟรเบิร์ก มีฐานะปานกลาง
ฟรอยด์เป็นลูกคนหัวปีของจาคอบกับภรรยาคนที่สาม อมาลี ฟรอยด์
(ภรรยาคนแรกและคนที่สองชื่อ แซลลี แคนเนอร์ และรีเบคก้า ตามลำดับ
ทั้งสองเสียชีวิตก่อนที่จาคอบจะแต่งงานกับอมาลี)
เมื่ออายุ 4
ขวบบิดาย้ายครอบครัวไปอยู่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
เขาเข้าเรียนจบวิทยาศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเวียนนาเมื่อ ค.ศ. 1873
วิทยฐานะนี้ประกอบอาชีพมีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว
จึงไปศึกษาแพทย์ศาสตร์ต่อหลังจากที่ได้ฟังคาร์ล บรูเอล (Carl Bruhl)
อ่านความเรียงของเกอเต้เกี่ยวกับธรรมชาติ
ซึ่งทำให้ฟรอยด์เกิดความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
ประกอบกับฟรอยด์มีความนิยมชมชอบชาร์ลส์ ดาร์วิน (1809 - 1882) อยู่แล้ว
ทำให้ฟรอยด์ตัดสินใจกลับเปลี่ยนมาเรียนแพทย์แทนกฎหมายในทันที
ระหว่างเรียนฟรอยด์ได้เสนอวิจัยวิทยาศาสตร์เชิงชีววิทยาสองชิ้นในปี 1875 และ 1876
งานวิจัยทั้งสองชิ้นได้รับรางวัลจากกระทรวงศึกษาธิการแต่ฟรอยด์กลับคิดว่างานวิจัยทั้งสองยังไม่ดีพอ
ฟรอยด์จึงเบนเข็มไปยังสถาบันสรีรศาสตร์ ที่มี เอิร์นสต์ วิลเฮล์ม วอน บรักเก้
(Ernst Wilhelm Von Brucke) เป็นผู้อำนวยการ
ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ฟรอยด์เอ่ยปากว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขาเป็นอย่างมาก
ฟรอยด์ใช้เวลาหลายปีศึกษาอยู่ที่สถาบันสรีรศาสตร์ก่อนจะหยุดพักไปเป็นทหารในกองทัพออสเตรีย-ฮังการี
อยู่ 1 ปี และกลับมาสอบรับปริญญาแพทย์เมื่อปี 1881
ช่วงปี 1885
ฟรอยด์ได้รับทุนจากโรงเรียนแพทย์ในฐานะผู้บรรยายวิชาประสาทวิทยาไปดูงานที่ปารีส
โดยไปดูงานที่โณงพยาบาลซาลเปตริแอร์ (Salpetriere) ในช่วงเดือนตุลาคม 1885
ถึงกุมภาพันธ์ 1886 โดยอยู่ในความดูแลของซอง มาร์แตร์ ชาร์โกต์ (Jean-Martin
Charcot) ซึ่งเชี่ยวชาญในการรักษาฮิสทีเรียด้วยวิธีสะกดจิต
และส่งผลให้ฟรอยด์เกิดความสนใจทางด้านสะกดจิต
ก่อนที่ฟรอยด์จะได้เข้ารับการศึกษาทางด้านสะกดจิตเพิ่มเติมในโรงเรียนแนนซี่ (Nancy
Shcool) ที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง
ต่อมาฟรอยด์ได้มีโอกาสร่วมงานกับ โจเซฟ
บรูเออร์ (Josef Breuer : 1842 - 1925) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมานาน
บรูเออร์ได้รักษาผู้ป่วยรายหนึ่งในนามแฝงว่า แอนนา - โอ นามจริงคือ เบอร์ธา
พาพ์เพ็นไฮม์ ทั้งคู่มีข้อสมมติว่าการเจ็บป่วยของแอนนา โอ
มาจากปัญหาเรื่องเซ็กส์ของเธอเอง อันมาจากการต้องคอยดูแลพยาบาลบิดาที่ป่วยหนัก
หลังจากที่บิดาเสียชีวิตลง เธอก็เริ่มมีอาการอัมพาตที่แขนและขา มีการมองเห็น
การพูดที่ผิดแปลกไป (jargon) บุคลิกภาพแตกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งรู้ตัวเป็นปกติ
มีอารมณ์เศร้าโศก แต่อีกส่วนไม่รู้ตัว วุ่นวาย และมีประสาทหลอนทางตา
ฟรอยด์ได้มีโอกาสร่วมสังเกตอาการเจ็บป่วยของแอนนา โอ
นานพอควรและได้พบกับสิ่งสำคัญโดยบังเอิญ กล่าวคือ เมื่อแอนนา โอ
ถูกสะกดจิตเธอจะย้อนทวนความจำในรายละเอียดของสถานการณ์
อันเป็นต้นเหตุของอาการโรคและเสริมให้อาการโรคกำเริบและแสดงให้เห็นอารมณ์ที่เก็บกดไว้
เมื่อระบายอารมณ์เก็บกดนั้นออกไป อาการฮิสทีเรียก็หายไป
บรูเออร์และฟรอยด์รักษาแอนนา โอ ด้วยการสะกดจิตอยู่นานประมาณ 2 ปี และเธอก็ดีขึ้น
ฟรอยด์ได้อ่านรายงานผู้ป่วยอันละเอียดลออที่บรูเออร์ทำและใช้วิธีคาธาร์ซิส
(Catharsis) ตามที่บรูเออร์บอกกับผู้ป่วยรายอื่นๆและเขียนเป็นรายงานชื่อว่า
การศึกษาฮิสทีเรีย (Studies on Hysteria)
และว่ากันว่าเป็นงานที่จุดประกายต่อวิชาจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) เลยทีเดียว
จากนั้น ฟรอยด์ก็ได้ติดต่อกับวิลเฮล์ม ไฟลส์ (Wilhelm Fliess)
ทางจดหมายและได้ปรึกษาหารือกันเป็นประจำ โดยมีคำใหม่ๆแปลกๆอย่างการเก็บกด
(repression) การใส่โทษผู้อื่น (projection) หรือการเสแสร้งแต่งจิต (reaction
formation) ซึ่งไฟลส์ไม่เข้าใจ และค่อยๆกลายความแน่นแฟ้นลงเรื่อยๆ
สาระสำคัญในจดหมายเหล่านั้นคือสาระหลักที่เป็นจุดเริ่มต้นของจิตวิเคราะห์ (The
Origin of Psycho-Analysis)
ฟรอยด์ประสบปัญหาเมื่อแนวคิดในการใช้การสะกดจิตแบบชาร์โกต์และจิตบำบัดแบบฟรอยด์
(Freudian Psychotherapy) ไม่เป็นที่ยอมรับจากสมาคมแพทย์แห่งเวียนนา
ขณะประสบปัญหานี้ฟรอยด์ได้พบกับความคิดอย่างใหม่ คือ ปมอิดิปัส (The Oedipus
Complex)
และยิ่งทำให้ฟรอยด์ถูกต่อต้านมากยิ่งขึ้นเพราะมีเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ศีลธรรมและยากเกินความเข้าใจ
ช่วงปี 1889 ฟรอยด์ค้นพบทฤษฎีและวิธีแปลความฝัน (The Interpretation of Dream)
โดยเกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึก (Unconscious) และทฤษฎีจิตวิเคราะห์
ด้วยความที่ฟรอยด์มีแนวทางในการสำรวจจิตใต้สำนึกของตนเองก่อนถึงจะเอาไปใช้ทำความเข้าใจจิตใต้สำนึกของผู้ป่วยด้วยวิธีการที่หลากหลาย
ตั้งแต่เทคนิคคาธาร์ซิสของบรูเออร์, การสะกดจิตผู้ป่วยแบบชาร์โกต์
จนในที่สุดฟรอยด์ก็ได้พัฒนาเป็นวิธีใหม่ที่เรียกว่า วิธีการเชื่อมโยงอย่างอิสระ
(Free Association) จนนำไปสู่การวิเคราะห์ตนเอง (Self Analysis) ในที่สุด
ฟรอยด์ได้ก่อตั้งชมรมวันพุธ
โดยมีผู้มีชื่อเสียงหลายคนเข้าเป็นสมาชิกและได้กลายเป็นสมาคมจิตวิเคราะห์ในที่สุด
รวมถึง คาร์ล กุสตาฟ จุง (Carl Gustav Jung : 1875 - 1961)
ซึ่งได้กลายมาเป็นศิษย์ที่สนิทกับฟรอยด์มากที่สุด
ต่อมาเกิดความขัดแย้งกันระหว่างฟรอยด์กับจุง
โดยที่ฟรอยด์มีความคิดไปในทางวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด
แต่จุงกลับมีความคิดไปในทางศาสนา คาถาอาคมและไสยศาสตร์ลึกลับ
จึงทำให้จุงแยกตัวจากฟรอยด์ออกมาตั้งสำนักของตนเองชื่อว่า อนาไลติก ไซโคโลยี่
(Analytic Psychology)
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เริ่มขึ้น
ฟรอยด์อาศัยข้อมูลจากสังคมและสงครามมาใช้เป็นข้อมูลในการทำงาน จนเมื่อปี 1915
ฟรอยด์ได้ตีพิมพ์รายงานวิชาการชื่อ metapsychology รวมทั้งงานชื่อ The Moses of
Michael Angelo (1913) และ Totem and Taboo (1914) ด้วย
ฟรอยด์ได้กล่าวถึงสัญชาติญาณแห่งความตาย (Death Instinct : Thanatos)
และสัญชาติญาณของการมีชีวิต (Life Instinct : Eros) ไว้ในงานที่มีชื่อว่า Beyond
the Pleasure Principle (1920)
โดยมีเนื้อหาหลักที่ว่ามนุษย์มีศักยภาพแห่งการทำลายล้างในตนเอง
และในปีถัดมาก็ตีพิมพ์งานอีกชิ้น คือ Group Psychology and the Analysis of the Ego
(1921)
ต่อมาในปี 1923
ฟรอยด์ได้เสนอสาระอันใหม่เอี่ยมต่อวงการวิชาแพทย์และจิตวิทยาในสมัยนั้นด้วยแนวคิดโครงสร้างของจิตใจในแบบของฟรอยด์ในงานเขียนชื่อ
The Ego and the Id ซึ่งอธิบายว่าโครงสร้างทางจิตของมนุษย์นั้นแบ่งได้เป็นสามส่วน
ได้แก่ Id Ego และ Super Ego
การทำงานที่กลมกลืนหรือขัดแย้งกันของโครงสร้างทั้งสามนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มของพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์
ปี 1938 กองทัพนาซียกกองกำลังเข้ามาในเวียนนา ทำให้มารี โบนาปาร์ต (Marie
Bonaparte) เจ้าหญิงกรีซ และเออร์เนส โจนส์ แร่งรัดให้ฟรอยด์หนีภัยสงคราม
และในที่สุดฟรอยด์ก็ได้ตัดสินใจอพยพหนีสงครามไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ฟรอยด์เสียชีวิตในวันที่ 23 กันยายน 1939 ณ บ้านเลขที่ 20 มาเรสฟิลด์ การ์เด้น
นครลอนดอนนั่นเอง
ที่มา : http://m.exteen.com/blog/deltadrive/read/1370802