ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

สัมภเวสี

พระพาหิยะ ผู้ตรัสรู้เร็ว

เรื่องนี้ปรากฏในอรรถกถาธรรมบท ภาค ๔ โดยใจความว่า ในกาลครั้งหนึ่ง พวกมนุษย์เป็นจำนวนมากได้เดินเรือในมหาสมุทรอินเดียเมื่อเรือที่โดยสาร ไปเกิดอับปางลงในทะเลหลวง ก็ตกเป็นเหยื่อของสัตว์น้ำในท้องทะเลหลวงนั้นหมดทุกคน เว้นไว้แต่ชายคนหนึ่งผู้มีนามว่า พาหิยะ ที่รอดชีวิตมาได้เขาได้เกาะแผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง พยายามว่ายน้ำจนรอดชีวิตมาขึ้นฝั่งที่ท่าสุปปารกะ แต่อนิจจา เขาไม่มีเครื่องนุ่งห่มติดกายอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อขึ้นฝั่งแล้ว เนื่องจากไม่ได้เครื่องนุ่งห่มอะไรอื่น จึงได้ใช้เปลือกปอพันไม้แห้งเข้าแล้วทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม ได้หยิบกระเบื้องจากเทวาลัยแห่งหนึ่งมากทำเป็นภาชนะสำหรับขอทาน แล้วเดินทางไปถึงท่าสุปปารกะ

พวกประชาชนที่ท่าเรือแห่งนั้นเห็นเข้าแล้ว ก็ได้ให้ข้าวต้มและข้างสวย เป็นต้น แก่เขา ต่างก็พากันพูดยกย่องว่า “ชายผู้นี้เป็นพระอรหันต์ไกลจากกิเลสผู้หนึ่ง” เมื่อประชาชนนำผ้ามาให้เขาก็ไม่ยอมรับด้วยคิดเห็นว่า “ถ้าเรานุ่งหรือห่มผ้าแล้ว ลาภสักการะของเราก็เสื่อม การทีคนมานับถือเราก็เพราะเขาเห็นเราไม่นุ่งผ้านั่นเอง” เขาจึงนุ่งแต่เปลือกไม้ คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อเขาว่า “ทารุจีริยะ” แปลว่า “ผู้น่งุห่มเปลือกไม้”

ต่อมาเมื่อคนเป็นจำนวนมากเรียกเขาว่าเป็นพระอรหันต์เขาก็เกิดเข้าใจว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แต่ภายหลังเทวดาองค์หนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนกันมาเมื่อชาติก่อนโน้น มาเตือนเขา ทำให้เขาคิดได้ แล้วเขาได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจนได้สำเร็จพระอรหันต์ในที่สุด

เขามีความสัมพันธ์กับเทวดาองค์นี้อย่างไร เทพเจ้าองค์นี้จึงมาช่วยเขา เชิญผู้สนใจติดตามต่อไป

เล่ากันว่า เมื่อศาสนาของ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ เสื่อมถอยลง (พระกัสสปพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้า ๕ องค์ ซึ่งมาตรัสรู้ในกัปนี้ และได้ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าของเรา) ณ กาลครั้งนั้น มีภิกษุ ๗ รูปเห็นพวกภิกษุสามเณรประพฤติย่อหย่อนต่อพะธรรมวินัย ก็เกิดความสลดใจ ได้ปรึกษาตกลงกันว่า “ตราบใดที่พระศาสนายังไม่เสื่อมสุขไป ตราบนั้นพวกเราจะทำที่พึ่งให้แก่ตนให้ได้” ปรึกษาตกลงกันแล้ว จึงไปไหว้เจดีย์ทอง อันเป็นพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปพุทธเจ้า แล้วพากันเข้าสู่ป่า พบภูเขาลูกหนึ่ง จึงพูดกันว่า “ผู้ที่มีความอาลัยในชีวิตอยู่ก็จงพากันกลับไป ส่วนผู้ที่ไม่มีความห่วงใยในชีวิตแล้วจงพากันขึ้นภูเขาลูกนี้” พูดเสร็จก็ได้พาดบันไดขึ้น แล้วทั้ง ๗ รูปจึงได้ปีนขึ้นไปยังภูเขาสูงนั้นทางบันได้ที่พาดนั้น เมื่อขึ้นเรียบร้อยแล้วก็ให้ผลักบันได้ลงเสียแล้วตั้งหน้าปฏิบัติสมณธรรมกันอย่างจิรงจัง เพื่อหวังบรรลุมรรคผลอันเป็นจุดหมายสูงสุดของแต่ละท่าน

พอผ่านไปได้คืนเดียวเท่านั้น ในจำนวนพระทั้ง ๗ รูปพระสังฆเถระ (คือผู้ที่มีพรรษาแก่กว่าทุกรูป) ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์เป็นรูปแรก และท่านสามารถไปนำบิณฑบาตจากที่ไกลมาถวายพระภิกษุ ๖ รูป แต่ทุกรูปปฏิเสธไม่ยอมฉันโดยกราบเรียนท่านว่า “ท่านครับ ก็พวกผมได้ทำกติกากันไว้ หรือว่า ถ้าผู้ใดสำเร็จอรหันต์ก่อน รูปที่ยังไม่สำเร็จจะฉันบิณฑบาตที่ผู้สำเร็จอรหันต์นั้นนำมา”



“ไม่ได้ทำกันไว้ดอกคุณ” พระสังเถระตอบ

“ถ้าอย่างนั้น แม้พวกกระผมก็จะทำคุณวิเศษให้เกิดขึ้นเหมือนอย่างท่าน แล้วจะไปบิณฑบาตมาฉันด้วยตนเอง” ภิกษุอีก ๖ รูป กล่าวอย่างหนักแน่น และไม่ยอมฉันบิณฑบาตที่พระสังฆเถระนำมาถวาย

พอถึงวันที่สอง พระเถระรูปที่สองก็ได้บรรลุพระอนาคามิผล แล้วไปบิณฑบาตมาถวายพระภิกษุอีก ๕ รูป แต่ทั้ง ๕ รูปก็ไม่ยอมฉัน โดยกล่าวยืนยันอยู่เหมือนเดิม

ในที่สุด พระเถระที่สำเร็จพระอรหันต์ ก็ได้ปรินิพพานส่วนรูปที่ได้เป็นพระอนาคามี ไปบังเกิดเป็นพระพรหมในพรหมโลกอันเป็นเทพเจ้าชั้นสูงตามหลัก ในพุทธศาสนา แต่อีก ๕ รูปที่ยังเหลือ เมื่อไม่อาจจะได้บรรลุมรรคผลอันใด ผ่ายผอมหนักเข้า พอถึงวันที่ ๗ ก็ถึงแก่มรณภาพหมดทั้ง ๕ รูป แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ด้วยอำนาจบุญที่ตนได้ทำไว้

พอถึงสมัยพุทธกาล ทั้งห้าก็จุติจากสวรรค์ลงมาบังเกิดในโลกมนุษย์ ในจำนวนทั้งห้าท่านนั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชาทรงพระนามว่า ปุกกุสะ (และปุกกุสะนี้ ก็คือกามนิตในเรื่องกามนิตวาสิษฐี ตามคัมภีร์ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนั่นเอง คนหนึ่งมาเกิดเป็นพระกุมารกัสสปะ คนหนึ่งเกิดเป็นพระทัพพมัลลบุตร คนหนึ่งเกิดเป็นบุรุษชื่อว่า พาหิยะ (ทารุจีริยะ) อีกคนหนึ่งเกิดเป็นปริพพาชกชื่อว่า สภิยะ

ในจำนวนทั้ง ๖ ท่านนั้น ภิกษุที่ไปเกิดเป็นพรหมในพรหมโลก วันหนึ่งมาคำนึงถึงเพื่อนของท่านว่าไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด จึงได้ตรวจดูด้วยทิพยจักษุของตน ก็ได้พบว่าเพื่อนคนนั้นของท่านไปเกิดเป็นบุรุษชื่อว่า พาหิยะ บัดนี้กำลังเดินทางผิด ซึ่งท่านจะต้องลงไปช่วยชักนำให้เดินทางถูก

ดังนั้น คือวันหนึ่งพระพรหมนั้น จึงได้มาจากพรหมโลกเพื่อจะช่วยเพื่อของท่าน มาถึงที่อยู่ของพาหิยะ ขณะยืนอยู่บนอากาศนั่นเอง ก็ได้พูดเตือนสติทารุจีริยะว่า “พาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นอรหันต์ดอก ทั้งท่านก็ไม่ได้ปฏิบัติไปตามทางของพระอรหันต์ด้วย แม้ข้อปฏิบัติของท่านที่จะทำให้ท่านเป็นพระอรหันต์ หรือ เดินไปตามทางของพระอรหันต์ก็ไม่มีเลย”

พาหิยะมองดูท้าวมหาพรหมกำลังพูดอยู่เช่นนั้น จึงคิดว่า “น่าสลดใจแท้ เราทำกรรมหนักเสียแล้ว เราสำคัญตัวว่า เราเป็นพระอรหันต์แต่เทพเจ้านี้บอกเราว่าเราไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งไม่ใช่ผู้ปฏิบัติไปตามทางของพระอรหันต์ ก็ในโลกนี้ยังมีใครอื่นที่เป็นพระอรหันต์อยู่หรือ” เขาจึงได้ถามพระพรหมนั้น และก็ได้รับคำตอบจากพระพรหมนั้นว่า “พาหิยะ ณ ชนบททางด้านทิศเหนือ มีพระนครอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่าสาวัตถี ณ นครแห่งนั้น บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง และแสดงธรรมเพื่อให้ผู้อื่นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ด้วย”

พาหิยะเมื่อทราบดังนั้น ก็เกิดความสลดใจที่ตนเองเดินทางผิด แล้วออกเดินทางจากท่าสุปปารกะในคืนวันนั้น มุ่งตรงไปยังเมืองสาวัตถี อันอยู่ห่างจากที่นั้นถึง ๑,๙๒๐ กม. (ร้อยยี่สิบโยชน์) เมื่อไปถึงแล้วก็ได้พบพระพุทธเจ้าขณะที่กำลังเสด็จบิณฑบาตอยู่บนถนนสายหนึ่งของเมืองสาวัตถี และได้ฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแต่เพียงโดยย่อ ก็ได้สำเร็จพระอรหันต์ในขณะที่ยืนอยู่บนถนนในเมืองนั่นเอง

เนื่องจากพระพาหิยะ ได้สำเร็จพระอรหันต์ด้วยความรวดเร็วในขณะที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านจึงได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้า ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางตรัสรู้ได้เร็ว

พระพาหิยะ ได้มาพบพระพุทธเจ้า ก็เพราะเทพเจ้าชักนำและได้สำเร็จพระอรหันต์ก็เพราะบุญบารมีที่ท่านเคยสั่งสอนไว้เมื่อปางก่อนมาสนับสนุน

ผีผ่าตัด
ผีเอลวิสกลับบ้าน
กรรมบันดาล
ขอกลับมาเกิด
พระพาหิยะ ผู้ตรัสรู้เร็ว
พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย
  

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย