ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สัมภเวสี
พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้เอง
ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสไปพบกับพระอินโดนีเซียรูปนี้ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่
๑๑ กันยายน ๒๕๒๐ และได้สัมภาษณ์สอบถามรายละเอียดกับท่าน พร้อมกับบันทึกเทปไว้ด้วย
ซึ่งท่านก็ยินดีเล่าความเป็นไปต่าง ๆ ให้ทราบโดยละเอียด
โดยเฉพาะเรื่องที่เทวดาสอนกรรมฐานแกท่าน
แล้วชักนำให้ท่านมานับถือพระพุทธศาสนานับว่าเป็นเรื่องแปลกที่น่าสนใจมาก
พระอินโดนีเซียรูปนี้ มีนามเดิมว่า บุษณะ บูรฮานูดิน (Busana burahanudin)
มีนามฉายาทางศาสนาว่า สุธมฺโม และ คนส่วนมากเรียกท่านว่า ท่านสุธัมโม
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๒ ณ เกาะมธุระ ประเทศอินโดนีเซีย
สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเทคนิคในเกาะชวา
แล้วออกทำงานในบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง ท่านเป็นคนชอบคิดค้น
และสนใจในปัญหาทางด้านศาสนามากมีจิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ
ท่านมีชีวิตที่น่าศึกษามากผู้หนึ่ง
ซึ่งผู้เขียนขอนำมากล่าวไว้เฉพาะบางตอนดังต่อไปนี้
ท่านนับถือศาสนาอิสลามตามมารดาบิดาของท่าน
และได้ศึกษาศาสนาอิสลามจากโรงเรียนด้วย เมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี
ครูของท่านได้สอนประวัติของพระพุทธเจ้าให้ทราบด้วย แต่อธิบายในเชิงเหยียดหยามว่า
พระพุทธเจ้าเป็นคนขอทาน ปฏิบัติไปในทางสุดโต่ง คือทรมานตนอยู่ในป่า
บางครั้งก็เป็นชีเปลือย บางครั้งก็นอนบนท่อนไม้ บางครั้งก็นอนบนหนาม ทั้ง ๆ
ที่ครูอธิบายในทำนองนี้ แต่ท่านเกิดความสนใจในชีวิตของพระพุทธเจ้ามาก
และต้องการที่จะรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ครั้งนั้นมา
บางครั้งท่านเคยถามมารดาและบิดาของท่านว่า ใครสร้างโลกและสัตว์โลกขึ้นมา
ก็ได้รับคำตอบว่า พระเจ้าคือพระอาหล่า เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง
จึงทำให้ท่านสนใจต่อพระอาหล่าและอยากจะพบพระเจ้า แต่ก็ยังคิดใคร่ครวญอยู่มาก
ว่าใครกันแน่สร้างโลก รวมทั้งมนุษย์แกละสัตว์ทั้งหลาย
คิดมากจนบางครั้งเกิดความวุ่นวายขึ้นในใจนอนไม่หลับ
บางครั้งก็นั่งคิดเรื่องนี้อยู่คนเดียวในห้อง จนคืนวันหนึ่ง
ขณะที่ท่านนั่งคิดอยู่ในห้องคนเดียวนั้น
ก็มีลมพัดมาอย่างแรงทางหน้าต่างห้องอมนุษย์รูปร่างใหญ่โตเข้ามาปรากฏแก่ท่าน
ท่านตกใจมากจึงได้วิ่งไปหาพ่อของท่าน ขณะวิ่งไปได้ชนเอาประตูห้อง ถึงคิ้วแตก
ท่านยังได้ชี้รอยแผลเป็นที่หางคิ้วให้ผู้เขียนดูด้วย
จนพ่อแม่ของท่านต้องห้ามไม่ให้ท่านไปนั่งอยู่คนเดียวในห้องเช่นนั้นเพราะกล้วท่านจะบ้า
บางครั้งท่านเคยถามครูเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ครูก็ไม่อาจที่จะให้คำตอบที่พอใจได้
คืนวันหนึ่งเมื่อท่านอายุได้ ๑๒ ปี ท่านนอนแหงนดูดวงดาวต่าง ๆ
ในท้องฟ้าอยู่ที่บริเวณทุ่งนาแห่งหนึ่งห่างจากบ้านของท่าน มองดูด้วยความเพลิดเพลิน
และสนใจยิ่ง พร้อมกับคิดไตร่ตรองอยู่ว่า ใครสร้างดวงดาวเหล่านั้น
จนเกิดสมาธิขึ้นอย่างแน่วแน่ เห็นดวงด่าวในท้องฟ้าต่าง ๆ มารวมเป้นจุดเดียวกัน
จิตเกิดความสว่างไสวขึ้น มันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ครั้งแรกในชีวิตของท่าน
ทั้งนี้คงเป็นเพราะมีบารมีที่เคยได้สั่งสมมา ในเรื่องนี้เมื่อชาติปางก่อน
เมื่ออายุได้ ๑๔ ปี น้องสาวที่รักของท่านได้ตายไปทำให้ท่านเศร้ามาก
ถึงกับนอนไม่หลับในบางครั้ง ได้เฝ้าถามตัวเองอยู่ว่า ชีวิตคืออะไรกันแน่
ทำไมคนจึงตาย ใครนำวิญญาณน้องสาวไป เมื่อตายแล้วน้องสาวจะไปเป็นอะไร
อยู่ที่ไหนทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์และสัตว์ขึ้นมาแล้ว
มากทำให้เขาเหล่านั้นต้องตายอีก
ไม่มีใครสามารถให้คำตอบเหล่านี้แก่ท่านได้ท่านได้เฝ้าคิดเรื่องนี้อยู่เรื่อยมา
ต่อมาท่านได้เดินทางเข้าไปศึกษาต่อที่เกาะชวาอันอยู่ห่าง จากเกาะมธุระ
บ้านเกิดของท่านประมาณ ๒๕๐ กม. ณ ที่นั้นท่านได้พยายามพบอาจารย์ทางไสยศาสตร์
ซึ่งบางคนก็เป็นหมอผี บางคนก็เป็นพวกเข้าทรง บางคนก็มีความชำนาญทางสมาธิ
เมื่อท่านขอร้องให้อาจารย์เหล่านั้นสอนวิธีทำสมาธิให้ แต่ไม่มีใครยอมสอนให้
ดดยอ้างว่า อายุยังน้อยเกรงว่าอาจจะทำให้เสียสติได้
ทั้งไม่มีอาจารย์ท่านใดสามารถตอบคำถามที่ท่านกำลังหาคำตอบอยู่ให้เป็นที่พอใจได้เลย
ในที่สุด เใมื่อายุได้ ๒๓ ปี
ท่านจึงได้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ในป่าลึกแต่ผู้เดียว อันเป็นป่าที่ไกลจากหมู่บ้านมาก
ไม่มีมนุษย์อยู่อาศัย มีแต่สัตว์ป่า และเป็นป่าใหญ่อยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา
โดยมีจุดมุ่งหมายจะค้นหาความจริงแห่งชีวิต
และเพื่อจะหาคำตอบต่อคำถามที่ตนกำลังค้นหาอยู่
เมื่อเข้าไปถึงป่าแห่งนั้นใหม่ ๆ
หาอาหารอะไรกินไม่ได้เพราะป่าบริเวณนั้นเป็นป่าต้นกะถินและป่าไม้สัก
จึงต้องอดอาหารถึง ๓ วัน
ในที่สุดก้๖องกินใบไม้เป็นอาหารและกินใบไม้เป็นอาหารนานอยู่เป็นเวลา ๔ ปีครึ่ง
ตลอดเวลาที่อยู่ในป่าลึกแห่งนั้น
ในระยะ ๖ เดือนแรกที่เข้าไปอยู่ในป่า
ได้พยายามสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าให้มาช่วย และหใคำตอบข้อที่ตนสงสัยอยู่
แต่ไม่ได้ผลอันใดเลยท่านจึงเลิกเชื่อถือในพระเจ้าอาหล่าแล้วหันมาสนใจตัวเอง
ตรึกตรองว่าทำไมตัวเองบางครั้งจึงโกรธ ทำไมต้องหิว ทำไมต้องง่วง
ใครเป็นตัวทำให้โกรธใครทำให้หิว และใครทำให้ง่วง
เมื่อ ๖ เดือน ผ่านไปแล้ว ได้มีเทพยดา ๒ องค์
มาปรากฏแก่ท่านซึ่งหน้าตาก็คล้ายมนุษย์ มายืนอยู่ตรงหน้า เท้าไม่จดพื้น
โดยลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดิน รูปร่างใหญ่โตและสูงมาก แต่เทพทั้ง ๒
องค์นี้มาต่างวาระกัน โดยมาสอนวิธีทำกรรมฐานแก่ท่าน ท่านก็ปฏิบัติตาม
เมื่อท่านเลิกปฏิบัติตามวิธีขององค์แรกเพราะไม่ได้ผล
องค์ที่สองก็เข้ามาปรากฏสอนให้ท่านเพ่งกสิณ โดยไม่ให้เคลื่อนไหวดวงตา
ท่านปฏิบัติวิธีนี้อยู่ถึง ๖ เดือน จนตาพร่าลาย เมื่อไม่ได้ผลก็เลิกไปที่สุด
เมื่อ ๑ ปีผ่านไป ก็มีเทพธิดา ๒ องค์มาปรากฏแก่ท่านบอกชื่อตนเองแก่ท่านว่า
ตนเองชื่อส่า สกาสารี เป็นผู้พี่ ส่วนน้องสาวนั้นชื่อว่า สการอารัม
ครั้งแรกก็มาในฐานะมิตร แต่ภายหลังท่านทราบว่านี้คือมาร หาใช่มิตรไม่ ท่านก็เลิกคบ
ธิดามารทั้งสองก็ตั้งตนเป็นศัตรูและส่งปีศาจพรรคพวกมาก่อกวนหลอกหลอนต่าง ๆ
ทำเสียงน่ากลัวมากในกลางคืนจนท่านนอนไม่หลับ
ในที่สุดท่านก็ตั้งจิตอธิษฐานนั่งสมาธิตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนว่า
ถ้าอมนุษย์เหล่านี้ไม่หายไปแล้ว ท่านจะไม่ยอมลุกขึ้น จนถึงรุ่งเช้า
อมนุษย์เหล่านั้นก็หายไปสิ้น
และใจของท่านสงบและมีพลังมากจากการนั่งสมาธิในคืนวันนั้น
ต่อมาวันหนึ่ง เวลาประมาณ ๔ โมงเย็น
ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในป่าแห่งนั้นก็มีลมพัดเข้ามาปะทะตัวท่านอย่างแรง
แล้วลมนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นแสงคล้ายแสงฟ้าแลบ
แล้วปรากฏมีชายคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้าท่านแต่ยืนอยู่ในอากาศ
เท้าไม่จดพื้นดินห่างจากพื้นประมาณ ๑ ศอก ท่านบอกว่ามีรูปร่างสวยงามน่าดูมาก
และมีแสงสุกใสออกจากตัว สักครู่หนึ่งรูปนั้นก็หายไป
กลับได้ยินแต่เสียงออกมาเป็นภาษาชวาว่า
เราจะมาสอนท่านให้ปฏิบัติสมาธิโดยจะสอนแนวทางที่ถูกต้องให้
แล้วสั่งให้ท่านนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
เพราะทิศตะวันออกเป็นที่มาของความสว่างและบอกว่าการทำสมาธิที่ถูกต้องนั้น
จะต้องมีคุณธรรม ๓ ประการ คือ ความเพียร ความอดทน และสติ ถ้าได้ ๓ อย่างนี้
จะสามารถทำให้เกิดทิพยจักษุ (ตาทิพย์) ได้
แต่ท่านไม่ยอมเชื่อเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ถูกธิดามารหลอกมาแล้ว
ท่านจึงบอกไปทางเสียงนั้นว่า ข้าพเจ้าไม่เชื่อท่านดอก
แล้วก็มีเสียงตอบมาว่า ทำไม่ไม่เชื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีความเอ็นดูสงสารท่าน
ท่านได้รับความลำบากเพราะการรบกวนของมารแล้ว
ข้าพเจ้าจะมาช่วยท่านและสอนท่านในทางที่ถูก
แม้เสียงจะกล่าวยืนยันออกมาเช่นนั้น ท่านก็ไม่ยอมเชื่อ
เพราะท่านถือว่าท่านเองก็มีอำนาจวิเศษอยู่ในตัวเหมือนกันซึ่งใช้ได้ผลมาแล้วในคราวผจญมาร
ท่านจึงได้พูดออกมาว่า ถ้าท่านสามารถโจมตีข้าพเจ้าด้วยอำนาจของท่านได้แล้ว
ข้าพเจ้าจะยอมเชื่อ
ในทันใดนั้นเอง ก็มีลมพัดอย่างแรง ปะทะตัวท่านลอยขึ้นไปกระแทกกับต้นไม้ถึง
๓ ครั้ง จนมีเลือดออกมาจากหลังของท่าน และท่านก็ไม่เอาจเคลื่อนไหวตัวได้
เพราะความเจ็บปวดจึงต้อมยอมแพ่ แล้วบอกไปยังเสียงนั้นว่า ข้าพเจ้ายอมเชื่อท่าน
ต่อจากนั้น เทพเจ้าผู้มีอำนาจนั้น ก็กล่าวกับท่านว่า
ผู้เริ่มปฏิบัติสมาธิจะต้องไม่ปฏิบัติต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อใจของตนในการมาอยู่ที่นี้ท่านจะต้องได้รับอนุญาตและได้รับพรจากมารดาบิดาของท่านเสียก่อน
เพราะท่านมาที่นี้ยังไม่ได้รับอนุญาติมาจากมารดาบิดาของท่าน และท่านจะต้อง
เคารพมารดาบิดาของท่านเพราะท่านทั้งสองเป็นผู้ใให้กำเนิดเลี้ยงดูตัวท่านมาตั้งแต่เล็ก
ท่านก็ตอบไปว่า เป้นไปไม่ได้ เพราะมารดาบิดาของข้าพเจ้าอยู่ไกลจากที่นี้ถึงประมาณ
๑,๐๐๐ กม.
มีเสียงตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าท่านไปแต่เพียงกายอย่างเดียวก็ยังไม่เชื่อว่าเคารพมารดาบิดาที่ถูกต้อง
เพราะความสำคัญในการเคารพอยู่ที่ใจ
ท่านพูดว่า ข้าพเจ้ายังเชื่อท่านไม่ได้ เทพเจ้าตอบมาว่า
ถ้าไม่เชื่อจงนั่งลง และเมื่อท่านนั่งลง
มารดาบิดาของท่านก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านด้วยอำนาจเทพเจ้าบันดาล
และตัวท่านก็ลุกขึ้นไปกราบท่านทั้งสองด้วยความเคารพ โดยกราบถึง ๓ ครั้ง
แบบชาวพุทธกราบ
การทำเช่นนี้เป็นไปโดยอัตโนมัติเพราะท่านเองก็ไม่ร็จักวิธีกราบแบบชาวพุทธมาก่อนเลย
หลังจากนั้นใจของท่านก็แจ่มใสมาก
ต่อจากนั้น เทพเจ้าก็เริ่มสอนวิธีทำสมาธิแก่ท่าน
โดยในครั้งแรกนิรมิตดวงเทียนให้ท่านเพ่งดวงเทียนนั้น (เตโชกสิณ)
จนจิตของท่านสงบเป็น เอกัคคตารมณ์
และสามารถขยายดวงเทียนนั้นให้มีแสงสว่างเหมือนดวงดาว ดวงจันทร์ และเหมือนดวงอาทิตย์
นับว่าแปลกมาก
เมื่อท่านสำเร็จการทำเตโชกสิณแล้ว เทพเจ้าก็สอนให้ทำ อาโปกสิณ (เพ่งน้ำ)
ปฐวีกสิณ (เพ่งดิน) วาโยกสิณ (เพ่งลม) และพิจารณาร่างกระดูก (อัฏฐิกรรมฐาน)
ตามลำดับ โดยนิรมิตสิ่งเหล่านี้มาให้ปรากฏแก่ท่าน สอนวิธีภาวนาและวิธีกำหนด
จนท่านชำนาญกรรมฐาน ทั้ง ๕ ประเภท แต่กรรมฐานทั้ง ๕ ประเภทนี้
แต่ละอย่างท่านต้องใช้เวลาฝึกนานถึง ๖ เดือนเต็ม รวมแล้วท่านฝึกรรมฐาน ๕
อย่างนี้อยู่ถึง ๒ ปีครึ่ง แล้วในที่สุดเทพเจ้าองค์นั้นสรุปให้ฟังว่า
ร่างกายของท่านมาจากธาตุทั้ง ๔ อย่าง คือมาจากดิน น้ำ ไฟ ลม
และท่านควรสนใจในร่างกระดูก
เมื่อท่านมาคิดไตร่ตรองดูก้ทราบชัดว่า ร่างกายของท่านเป็นเช่นนี้
และมาพิจารณาร่างกระดูกอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งว่ามันหลุดออกเป็นชิ้น ๆ
แล้วในที่สุดก็กลายเป็นธาตุทั้ง ๔
ต่อจากนั้นก็มีเสียงดังออกมาว่า ขณะนี้ท่านมีความชำนาญในการทำสมาธิแล้ว
ถ้าท่านต้องการมีความก้าวหน้าในการทำสมาธิเพิ่มขึ้น ก็ขอให้ท่านจงออกจากป่าแห่งนี้
พยายามสืบหาคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะข้าพเจ้าสามารถสอนท่านได้แค่นี้
ไม่อาจจะสอนท่านให้ก้าวหน้ายิ่งไปกว่านี้
พอได้ฟังดังนั้น ท่านก็ตั้งใจที่จะออกจากป่าแต่ใจ
ของท่านยังมีความลังเลอยู่ แล้วก็มีเสียงดังออกมาว่า
ท่านจงไปสืบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เมืองสุราบายา ณ ที่นั้น
ท่านจะพบกับชาวจีนผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า
แต่ท่านก็ยังสงัสยอีกว่า
ในเมืองสุราบายามีคนพูดเรื่องสุญญตากันมากฉันไม่เข้าใจเรื่องสุญยตาเลย
คงตายเสียดดีกว่า ก็มีเสียงดังออกมาอีกว่า
ถ้าท่านอยากทราบเรื่องสุญยตาก้ให้นั่งสมาธิ แต่จงอย่าหลับตา เริ่มตั้งแต ๖
โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน ท่านนึกกระหยิ่มอยู่ในใจว่า
เรื่องนั่งชั่วระยะเวลาเพียงเท่านั้นรู้ง่ายมาก
เพราะท่านเคยนั่งมากนานกว่านี้เสียอีก แต่พอเริ่มนั่งเข้าจริง ๆ ประมาณ ๑๐
นาทีเท่านั้น ท่านก็หลับผล็อยไปเลย ไปตื่นเอาตอนเช้าของวันใหม่
แล้วก็ถูกต่อว่าจากเทพเจ้าว่า ก็ไหนท่านว่าต้องการรู้จักสุญญตา
แต่ทำไมมานั่งหลับเสียละ ท่านรู้สึกละอายมาก
ไม่รู้มันหลับไปได้อย่างไรแล้วคืนต่อไปเทพเจ้าสั่งให้ท่านทำใหม่ โดยบอกว่า
คราวนี้เริ่ม ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๑ อย่าได้หลับ ท่านจงตั้งใจนั่ง
แต่พอนั่งไปประมาณ ๕ นาทีเท่านั้น ก็หลับผล็อยไปเช่นเดิม
มาตื่นเอารุ่งเช้าของวันใหม่อีก ท่านรู้สึกละอายและขัดใจตัวเอง พูดกับตนเองว่า
ถ้าไม่รู้จักสุญญตา ก็จะนั่งสมาธิให้ตายอยู่ในป่าแห่งนี้
แล้วเทพเจ้าก็พูดให้กำลังใจขึ้นว่า ท่านมีโอกาสอีกครั้งหนึ่งในคืนนี้
แต่จ้องนั่งตั้งแต่ ๖ โมงเย็นไปจนถึงตี ๒ คราวนี้ท่านระวังตัวมาก
เพราะเกรงว่าจะหลับอีก จึงได้ตัดไม้เรียวมาอันหนึ่งตั้งไว้ข้างตัว
พอทำท่าจะหลับท่านก็เอาไม้เรียวฟาดเข้าที่หัวของท่าน บางที่ก็ตามลำตัว บางทีก็ตามขา
ง่วงทีไรฟาดทุกทีจนรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่าง จึงสามารถทรงตัวอยู่ได้ไม่หลับจนถึงตี ๒
แล้วก็มีเสียงดังออกมาว่า ท่านนี้ฉลาดมาก
ใช่แล้วข้าพเจ้าต้องการจะเอาชนะความคิดของท่าน ท่านพูดขึ้น
ต่อจากนั้นเทพเจ้าก็สั่งให้ท่านนั่งติดต่อกันไป จนกระทั่ง
รุ่งเช้าของวันใหม่ ในการนั่งช่วงสุดท้ายนี้ ท่านได้เห็นสิ่งแปลกมากที่สุดในชีวิต
คือสามารถมองเห็นวิญญาณมาปฏิสนธิในครรภ์มาดราของท่าน แล้ววิญญาณนั้นเมื่อผสมกับไข่
และสเปอร์มแล้วก็ค่อยเติบโตขึ้นมาจนเป็นตัวของท่านเอง แล้วเทพเจ้าก็พูดขึ้นว่า
การที่คนต้องเกิด ๆ แล้วตาย ๆ แเล้วเกิดอยุ่นี้แหละ คือสุญญตา
แต่ข้าพเจ้าไม่สามารถสอนท่านให้ได้มากไปกว่านี้
ขอให้ท่านจงพยายามไปแสวงหาคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจงนับถือพระพุทธศาสนา
ท่านได้พูดกับนักเขียนในตอนหนึ่งว่า
เทพเจ้าที่เป็นครูของผมนั้นอย่างน้อยน่าจะเป็นพระโสดาบัน
เพราะเข้าใจพระพุทธศาสนามาก
ในที่สุดปี พ.ศ.๒๕๑๑ ท่านก็ได้เดินทางออกจากป่าแห่งนั้น
หลังจากที่ได้อยู่มาเป็นเวลา ๔ ปีครึ่ง
และได้พบชาวจีนที่เมืองสุราบายาตามคำสั่งของเทเพเจ้า
ชาวจีนผู้นั้นก็ได้ให้ใบกำหนดการทำวิสาขบูชาที่เมืองสุราบายาแก่ท่านใบหนึ่ง
ท่านก็ได้ไปร่วมพิธีวิสาขบูชากับเขาด้วย
ในพิธีวิสาขบูชาครั้งนั้น ท่านได้พบกับพระในพระพุทธศาสนา เป็นครั้งแรก
คือท่านชินรักยิโต จากเกาะบาหลี ซึ่งได้รับการอุปสมบทมาจากประเทศไทย
คือบวชที่วัดเบญจมบพิตร เมื่อ ๑๐ ปีก่อนจากนั้น ในวันนั้นท่านชินรักขิโต
อธิบายธรรมะน่าสนใจมาก จึงทำให้ท่านอยากเป็นเหมือนกับพระรูปนี้
ได้พยายามเข้าพบท่านเพื่อขออุปสมบท แต่ท่านชินรักขิโตบอกว่า การบวชนั้นยาก
เช่นต้องรับประทานอาหารเพียงเช้าชั่วเที่ยงเป็นต้น
ท่านคิดว่าเรื่องนี้ง่ายสำหรับท่าน เพราะท่านเคยลำบากมามากเมื่อแญุ่ป่าคนเดียว
และท่านชินรักขิโต ก็ไม่ยอมให้ท่านบวช ท่านจึงได้พยายามหาทางที่จะบวชอยู่เป็นเวลา
๔ปีเต็ม ในที่สุดท่านจึงได้มีโอกาสได้บวชเป็นสามเณร เมื่อวันที่ ๔ มิ.ย. ๒๕๑๕
โดยมีท่านชินปิยะ ชาวอินโดนีเซียเป็นพระอุปัชฌาย์
ท่านกล่าวว่าในระหว่างกำลังหาโอกาส
ที่จะได้อุปสมบทอยู่นั้นครั้งหนึ่งได้นั่งสมาธิติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓
คืนโดยไม่ทานอาหาร ไม่ได้ดื่มอะไร และไม่ได้หลับเลยที่เมืองสุราบายา
เพราะไม่มีใครสารถให้ท่านได้บวชเป็นพระได้ ท่านตรึกตรองไปในขณะนั่งสมาธิว่า
ฉันจะมีโอกาสได้บวชเป็นพระไหม เพื่อหาคำตอบจากใจของท่าน ท่านนั่งมาจนกระทั่งv
ถึงตอนเช้าของวันที่สาม ท่านก็ได้เห็นวัดบวรนิเวศวิหาร ในเมืองไทยอย่างชัดเจน ทั้ง
ๆ ที่อยู่กไกลกันมาก เห็นได้ชัดเจนด้วยตาที่กำลังลืมอยู่
พร้อมด้วยเห็นพระกำลังออกบิณฑบาตเหมือนกับที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันทุกอย่าง
นับว่าแปลกมาก ถึงกับพูดกับตัวเองว่า ใจของเราวิเศษมาก
ฉันคงจะได้บวชเป็นพระแน่แล้ว ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เคยทราบเกี่ยวกับวัดบวรนิเวศวิหาร
และเกี่ยวกับพระธรรมทูตจากประเทศไทยในขณะนั้นมาก่อนเลยแล้วท่านก็พูดกับใครต่อใครหลายคนว่า
ท่านจะได้บวชเป็นพระแน่ แต่ไม่มีใครเชื่อท่าน
อีกตอนหนึ่งท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านกำลังหาทางบวชพระอยู่นั้น
ท่านได้ไปสวดมนต์และปฏิบัติธรรมที่วัดเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในเมืองสุราบายา
ต่อจากนั้นไม่นานท่านก็ได้รับหนังสือธรรมบทเล่มหนึ่ง ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษ
โดยท่านญาณโปนิกะ พระเถระชาวลังกา โดยได้รับแจกจากชาวจีนผู้หนึ่ง เมื่อได้รับแล้ว
ท่านก็ได้อ่านด้วยความสนใจต่อข้อธรรมในพระธรรมบทนั้น
ตั้งแต่ตอนเช้าของวันหนึ่งจนกระทั่งถึงตอน ๒ โมง ของวันใหม่โดยไม่หยุดพักเลย
เพราะข้อความต่าง ๆ ในพระธรรมบทนั้นตรงกับที่ท่านเคยปฏิบัติและเคยคิดมา
และเป็นการตอบปัญหาต่อความข้องใจของท่านด้วย
หลังจากได้บรรพชาแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไป เผยแพร่พระพุทธศาสนาในสถานที่ต่าง
ๆ ในอินโดนีเซีย มีคนเลื่อมใสและสนใจในคำสอนพระพุทธศาสนา อยู่ ๒ ปี
มีคนหันมานับถือพระพุทธศาสนาเป็นเพราะท่านประมาณ ๑๕,๐๐๐ คน
นับว่าท่านทำงานเพื่อพระศาสนานี้ได้ผลมากต่อมาท่านได้เข้าไปหาพระชินปิยะผู้เป็นอุปัชฌาย์ของท่าน
เพื่อขอให้อุปัชฌาย์จัดการอปสมบทให้ แต่อุปัชฌาย์ของท่านปฏิเสธ
เพราะมีความลำบากในการหาพระสงฆ์มาหใการอุปสมบท และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าอุปสมบทแล้ว
อุปัชฌาย์ก็ต้องติดตามดูแลอยู่เสมอ เพราะอุปัชฌาย์กว่าจะได้พบท่านก็นาน ๆ สักครั้ง
แล้วพระชินปิยะก็แนะนำให้ไปหาพระอื่น ๆ บางทีอาจจะมีใครสามารถส่งท่านไปทำการอุปสมบท
ในต่างประเทศได้
ในที่สุด ท่านก็ไปพบท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์ (วิญญ์ วิชาโน)
พระธรรมทูตรไทยจากวัดบวรนิเวศวิหาร ซี่งทางการส่งไปปฏิบัติงานอยู่ในอินโดนีเซีย
ตั้งแต่ ๒๕๑๒ โดยเข้าพบท่านที่เมืองมาลังที่ชวาภาคกลาง
เพื่อขอให้ท่านจัดการอุปสมบทให้ ท่านเจ้าคุณวิธูรธรรมาภรณ์
ก็ยินดีรับเป้นภาระจัดการส่งท่านมาอุปสมบทในเมืองไทย
แล้วท่านก็ได้เดินทางมาเมืองไทยพร้อมกับท่านเจ้าคุณพระปริยัติกวี (อัมพร อม์พโร
ป.ธ.๖, ศฯ.บ.,M.A.) พระธรรมทูตรไทยจากวัดราชบพิธ
ซึ่งเดินทางมาจากออสเตรเลียกัลเมืองไทย และได้แวะที่อินโดนีเซีย เมื่อปี ๒๕๑๗
ที่เมืองไทย ท่านได้รับการอุปสมบทที่วัดบวรนิเวศวิหาร
โดยมีเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวรเป็นอุปัชฌาย์ในวันที่ ๒๐ มิ.ย.๒๕๑๗
สมความตั้งใจของท่าน
ท่านมีความรู้สึกกว่าการบวชในพระพุทธสาสนาเป็นโอากสให้ได้ศึกษาจากการเจริญภาวนา
เพื่อหาคำตอบต่อคำถามที่ข้องอยู่ในใจนั้นง่ายขึ้น
ในปี ๒๕๑๘ ท่านได้รับการฝึกกรรมฐานกับท่านอาจารย์เทสก์เทสรังสี คือ
พระนิโรธรังสีคัมภีร์ปัญญาจารย์ ที่วัดหินหมากเป้ง จังหวัดหนองคาย
และได้อยู่กับท่านอาจารย์เทสก์เป็นเวลา ๑ ปี มีความพอใจในวิธีการฝึกอบรม
และรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้าไปไกลมากยิ่งขึ้น
ขณะที่อยู่วัดหินหมากเป้งนั้น
ท่านได้เรียนถามแนวปฏิบัติบางประการกับท่านอาจารย์เทสก์ โดยมีพระสติเวนสัน
ปัญโญภาโส พระภิกษุชาวอังกฤษ เป็นผู้แปลคำถามและคำตอบ ซึ่งผู้เขียนขอตัดจอนมาจาก
หนังสือปฏิบัติธรรม-สนทนาธรรม ระหว่างอาจารย์กับศิษย์
ซึ่งท่านอาจารย์เทสก์เป็นผู้รวบรวมไว้
แต่นำมาเฉพาะบางตอนเพื่อประกอบเรื่องท่านสุธัมโมให้เข้าใจชัดยิ่งขึ้น
เริ่มต้นด้วยท่านสุธัมโม
กราบเรียนท่านอาจารย์เทสก์เป็นทำนองเล่าประสบการณ์ของท่านให้ฟังว่า
ประสบการณ์ในการภาวนาของผมได้รับความอัศจรรย์ใจมาก
ตอนที่ได้รับการฝึกอบรมที่วัดหินหมากเป้งและที่วัดวังน้ำมอกนี้
โดยมีท่านอาจารย์เป็นผู้แนะนำแนวทาง
ก่อนหน้าที่ผมจะมาวัดหินหมากเป้งนี้ผมอยู่ที่วัดบวรฯ
รู้สึกยังไม่มีพลังใจมากเหมือนกับอยู่ที่วัดหินหมากเป้ง
เมื่อมาอยู่วัดหินหมากเป้งการนั่งก็นั่งได้ตัวตรงดิ่งแล้วก็มีพลังใจมาก
ก่อนที่ผมจะมาประเทศไทย ผมอยู่ที่อินโดนีเซีย
เรื่องเกี่ยวกับสมถะผมก็ได้ฝึกอบรมมานานพอสมควร แต่ว่าพูดถึงเรื่องวิปัสสนาแล้ว
เคยมีพระอยู่ที่อินโดนีเซียแนะนำให้ผมเอาสติเข้าตั้งเกี่ยวกับการเดิน การนั่ง
การนอน ทุก ๆ อิริยาบถ แต่นั่นก็ไม่ใช่เป็นหลักในการที่จะเจริญวิปัสสนาเลย
หลังจากผมได้ฝึกอบรมกับพระที่อยู่อินโดนีเซีย
แล้วผมก็มาอยู่เมืองไทยมาบวชที่วัดบวรฯ กับสมเด็จพระญาณสังวร แล้วผมได้ขออนุยาต
สมเด็จฯ ก็อนุญาต ผมดีใจมาก พอได้รับคำอนุญาตผมรีบมาทันทีเลย
ถ้าไม่อนุญาตผมจะกลับไปอินโดนีเซียทันที ไม่อยากอยู่
ในระหว่างที่ผมอยู่ที่ วัดหินหมากเป้งและได้รับการอบรมจากท่านอาจารย์
วันหนึ่งเมื่อผมนั่งภาวนา ศีรษะของผมเกิดหลุดออกไปจากตัวมาอยู่ตรงข้างหน้า
แล้วผมก็จ้องพิจารณามันจนเหลือแต่กระดูกเหลือแต่ฟัน บางทีก็มีลิ้นห้อยออกมาด้วย
ผมจ้องอยู่อย่างนี้ราวสัก ๒-๓ วัน
พวกกระดูกพวกเนื้อหนังมังสาทุกอย่างมันก็กลายเป็นะาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไปในที่สุด
ต่อมาผมได้มาศึกษากับท่านอาจารย์ต่อ ว่าจะทำอย่างไร เกี่ยวกับการภาวนา
ท่านอาจารย์ได้ให้การแนะนำว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจ
คือว่ามันเกิดขึ้นมาเรียกว่าอาการทางใจ ส่วนใจมันก็อยู่ของมันเฉย ๆ เป็นใจต่างหาก
ถ้ามีความนึกคิดเกิดขึ้น ก็เรียกว่าอาการทางใจ ผมก็พยายามไปจดจ้องอาการของใจกับใจ
ผมเร่งทำความเพียรอย่างหนัก พยายามนอนให้น้อยที่สุด อาจจะเป็น ๒-๓ชั่วโมงหรือ ๔
ชั่วโมงต่อวันอย่างนี้ เป็นต้น แต่แล้วผมก็ไม่สามารถจะทำให้การภาวนาดีขึ้นมาได้
วันหนึ่งฟันของผมปวดไปหมด ผมก็เอาความปวดมาเป็นเครื่องกำหนด
แล้วเอาใจไปรู้ต่างหาก คือให้ใจไปรับรู้กับความเจ็บปวดนั้น ผมพยายามจะแยกออก
ในที่สุดผมก็แยกได้ ทุกข์มันก็ทุกข์อยู่ในสภาพของมันเอง
แต่ใจมันไม่ได้ทุกข์ด้วยเลยผมไม่ได้รับความเจ็บปวด
แต่ความเจ็บปวดเป็นเรื่องของมันเองนี้
เป็นความก้าวหน้าอีกอย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์เทสก์ได้ตอบให้เข้าใจว่า
คืออย่างที่ท่านพูดมาในตอนต้น
มีพระสอนให้เจริญวิปัสสนาโดยถิอเอาสติเข้าตั้งทุกอิริยาบถ
อันนั้นยังไม่ไใช่การอบรมวิปัสสนา อันนั้นเป็นการอบรมสติ คือตัวสมถะนั่นเอง
มาตอนนี้ท่านมาใช้การแยก คือให้รู้จักจิตและอาการจิต
เมื่อรู้จักจิตมากำหนดจิตและอาการของจิต พอตอนนี้วางอาการของจิตเหลือแต่จิตอันเดียว
ที่มันวางอาการของจิตมันเกิดปฏิภาค ที่ปรากฏเห้นหวัขาดออกไป หรือหัวตกออกไปอะไรต่าง
ๆ เหลือกระดูกและฟันนั้น มันเป็นเรื่องของปฏิภาค มันก็อยู่ในขั้นของสมถะ
ไม่ใช่วิปัสสนาก่อน มาตอนนี้ท่านมากำหนดเวทนาตอนที่เจ็บฟันนี้
มันเป็นเรื่องของการเดินมรรค คราวนี้จิตจดจ่อแต่เรื่องเวทนา มันเข้าเรื่องปัญญา
ตอนนี้เรียกว่ามรรค เบื้องต้นเป็นเรื่องฌาน
ถ้าจะพูดตามหลักอันนี้เป็นเรื่องของการเดินมรรคหรือวิปัสสนา
จะหยาบหรือละเอียดแล้วแต่ภูมิของมรรคนั้น ๆ
ท่านสุธัมโมเรียนถามว่า
ขอกราบเรียนท่านอาจารย์ว่าตอนที่ผมอยู่ประเทศอินโดนีเซีย
อยู่ในป่ามีเหตุการณ์ในการภาวนาของผมครั้งหนึ่งคือว่าเลิอดเริ่มเดินจากปลายเท้าขึ้นมาและพุ่งขึ้นมาเป็นลำดับ
แต่ว่าผมก็ตั้งสติบอกว่า คนเกิดมาทุก ๆ คนในโลกนี้ต้องตายทั้งนั้น
ไม่มีอะไรที่จะไม่ตาย ร่างกายนี้ก็เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
จนจิตได้พุ่งออกไปจากกายและเห็นร่างกายนี้เป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ผมได้นั่งจากตอนเช้าของวันหนึ่งไปจนถึงเช้าอีกวันหนึ่ง
ตอนที่จิตของผมออกจากกายนั้นผมรู้สึกว่าผมได้ตายไปแล้ว
แต่ว่าเวลาจิตกลับมาเข้ากายอีกครั้งหนึ่ง
ผมเริ่มมีความรู้สึกเริ่มตั้งแต่หน้าผากลงไป แล้วก็ตา จมูก ปาก
จนไปทั่วทุกส่วนของร่าง แรก ๆ ก็ไม่สามารถจะเคลื่อนไหวได้
เวลาจะพูดก็รู้สึกพูดได้ยากมาก เหตุการณ์ที่เป็นอย่างนี้เป็นเพราะเหตุอะไรครับ
ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์เทสก์ตอบว่า
ลักษณะที่เป้นนั้น ก็อยู่ในจำพวกจิตเข้าภวังค์
มันมีลักษณะเดียวกันกับที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ แต่ท่านที่เข้านิโรธสมาบัติ
ท่านเข้าตามลำดับขั้น คือเข้าตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌาน จนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
แล้วจึงเข้านิโรธสมาบัติ
ตอนที่ท่านเข้านิโรธสมาบัตินั้นท่านต้องอธิษฐานในใจโดยกำหนดเท่านั้นเท่านี้วันค่อยออก
มีลักษณะอาการคล้าย ๆ กัน แต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้น มันไม่รู้จักชั้นไม่รู้จักภูมิ
ไม่รู้จักขั้น ไม่รู้จักตอน จิตมันวูบเข้าไปหายเงียบเลย
เรียกว่าจิตเข้าภวังค์อย่างที่เราเป็น ๆ กันส่วนมาก
นักปฏิบัติทั้งหลายที่ว่าหายวับเข้าไปเงียบเลย
แต่อันนี้ด้วยอำนาจพลังจิตของท่านกล้าหาญ ท่านจึงอยู่ได้นาน โดยมากไม่นาน
ครู่หนึ่งขณะหนึ่งแล้วก็ถอนออกมา เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เข้าลักษณะของภวังค์
คืออยู่ในฌานนั่นเอง
ฌานนั้นถึงแม้จิตจะละเอียดแต่ไม่มีปัญญาที่จะพิจารณาเห็นพระไตรลักษณญาณ
เพราะเมื่อจิตถอดออกจากภวังค์แล้ว มีความรู้สึกขึ้นมาจึงกลัวตาย
ท่านสุธัมโมเรียนถามต่อไปว่า
หลังจากนั้นอีก ๓ เดือน ผมได้รับประสบการณ์อีกอย่าง
คือผมนั่งไปไม่รู้กี่วันกี่คืนกันแน่
เพราะตอนนั้นผมก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับวันและเวลา
หลังจากที่ผมมารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ตัวผมสกปรกเกรอะกรังด้วยคราบน้ำไปหมดทั้งตัว
และมีเศษไม้ต่าง ๆ อยู่รอบบริเวณที่ผมนั่งแสดงว่าต้องมีน้ำท่วมขึ้นมา
มันถึงได้มีปรากฏการณ์อย่างนั้น แล้วหลังจากนั้นผมได้รับประสบการณ์อีกอย่างหนึ่ง
คือผมสามารถมองเห็นโยมพ่อ โยมแม่ของผมกำลังสังวาสกันอยู่ มีเชื้ออสุจิประสมกัน
แล้วมีแสงปรากฏขึ้นมาในความรู้สึกนั้นว่า
นั่นคือปฏิสนธิวิญญาณของผมเองรวมเข้าด้วยกันแล้วหมุนอยู่กับที่
แล้วปรากฏเป็นร่างขึ้นมาเล็ก ๆ แล้วเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ
จนเป็นสภาพของผมขึ้นมาครับ
ท่านอาจารย์เทสก์ตอบว่า
แปลกมาก คือว่าเรื่องที่แสดงภาพนิมิตให้ปรากฏ
เพื่อจะให้เราพิจารณาชาติคือความเกิด ปฏิสนธิมีลักษณะอาการอย่างนี้ ๆ คือ
ต้องการให้เราพิจารณานั่นเอง เพื่อให้เห็นชัดตามความเป็นจริงว่ามีลักษณะอย่างนี้ ๆ
ก็เท่านั้น ไม่มีอะไร หรอกตอนที่น้ำท่วมแล้วแห้งจึงมารู้สึกตัวนั่นซี น่าเห็นใจมาก
ไม่ทราบว่านานกี่มากน้อยสักเท่าไร อาจเป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมง หรือหลายวันก็ได้
เพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องวัด
จากการสนทนาระหว่างอาจารย์เทสก์กับท่านสุมธัมโมนี้นับว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าสนใจของนักปฏิบัติกรรมฐานมาก
เมื่อปี ๒๕๑๙ ท่านกลับไปอินโดนีเซีย
เพื่อช่วยงานพระศาสนาในประเทศของท่านถึง ๘ เดือน ในปี ๒๕๒๐
ท่านมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร โดยพักอยู่ที่ตึก ส.ว.
และมีคนที่สนใจด้านกรรมฐานทั้งชาวไทย
และชาวต่างประเทศไปปฏิบัติกรรมฐานอยู่กับท่านหลายคน ส่วนมากเป็นผู้มีการศึกษาสูง
ท่านยินดีต้อนรับทุกคนที่มาศึกษาและปฏิบัติธรรมกับท่าน
เรื่องของท่านสุธัมโม มีพิสดารกว่านี้มาก ผู้สนใจจะไป กราบเรียนถามท่านได้
โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องปฏิบัติธรรมแล้วท่านได้ยินอธิบายให้
และให้ความช่วยเหลือตามความสามารถด้วยความเต็มใจยิ่ง
แต่เดี๋ยวนี้ท่านไปสร้างสำนักกรรมฐาน อยู่ในเกาะชวาภาคกลาง
ทั้งเรื่องพระพาหิยะ และเรื่องพระสุธัมโม
ที่ยกมาเป็นตัวอย่างในที่นี้ย่อมเป็นเครื่องยินยันให้เห็นว่า
เทวดาหรือเทพเจ้านั้นมีจริง และสามารถช่วยมนุษย์ที่ควรช่วยได้จริง
และท่านที่เคยทำบุญไว้เมื่อชาติก่อน ย่อมสามารถได้รับผลจริง
อันเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดจริง
ผู้ทำกรรมใดไว้ย่อมได้รับผลที่ตนกระทำไว้นั้นจริง
กรรมดีและกรรมชั่วจึงมิได้สูญไปพร้อมกับความตายดังที่บางคนเข้าใจ
คำสอนในพระพุทธศาสนาจึงคงทนต่อการพิสูจน์ของคนทุกยุคทุกสมัย
ผีผ่าตัด
ผีเอลวิสกลับบ้าน
กรรมบันดาล
ขอกลับมาเกิด
พระพาหิยะ ผู้ตรัสรู้เร็ว
พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย