ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สัมภเวสี
สัมภเวสี เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนาเพราะเป็นหลักยืนยันว่า
คนเราตายไปแล้วเกิดใหม่จริง แต่มีชาวพุทธจำนวนไม่น้อย
ไม่เข้าใจสภาพอันแท้จริงของสัมภเวสี
และยังมีความเข้าใจแตกต่างกันในกลุ่มชาวพุทธบางนิกาย ฉะนั้น
เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเรื่องหนึ่ง เพราะเกิดขึ้นกับทุกชีวิต
สัมภเวสี หมายถึงสัตว์โลกที่ยังแสวงหาที่เกิด
คือยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยใหญ่อยู่ เมื่อยังไม่สำเร็จ
พระอรหันต์ตราบใด ก็ยังเป็นสัมภเวสีอยู่ตราบนั้น
แต่สัมภเวสีนี้ยังมีชาวพุทธอยู่จำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า
ได้แก่สัตว์ที่ยังท่องเที่ยวแสวงหาที่เกิดอยู่ คือยังไม่ทันเกิดในภพใดภพหนึ่ง
หลังจากที่ตายไปแล้ว โดยเฉพาะชาวพุทธฝ่านมหายานบางนิกาย
เชื่อว่าผู้ที่ตายแล้วจะต้องอยู่ในอันตรภพ (ระหว่างภพ) เป็นเวลา ๗ วัน บ้าง ๑๕
วันบ้าง ๑ เดือนบ้าง เพื่อรอคอยการปฏิสนธิ จึงจะไปเกิดในกำเนินทั้ง ๔
กำเนิดใดกำเนิดหนึ่งได้ สัตว์ที่อยู่ในอัตรภพนี้ คือสัมภเวสี
เพราะยังแสวงหาภพที่เกิดอยู่
ความเชื่อเรื่องอันตรภพนี้ยังมีอยู่แม้ในหมู่ชาวพุทธไทยบางท่าน ทั้งนี้ก็
เพราะได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนามหายานนิกายมนตรยาน
ซึ่งเคยรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทย ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่
๑๗
แต่ตามหลักความจริงในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแล้ว
สัตว์ที่อยู่ในอัตรภพนี้ไม่มีเลย เพราะเมื่อความตายบังเกิดขึ้น
จิตเคลื่อนไปปฏิสนธิจิตก็ปรากฏในทันที
จิตหรือวิญญาณจะเที่ยวเร่ร่อนอยู่โดยไม่มีรูปร่าง
หรือไม่มีภพที่เกิดนั้นไม่มีเลย เพราะจิต นั้นจะต้องอาศัยร่างเป็นที่อยู่
ดังคำพระบาลีว่า
คูหาสยํ จิตนี้มีถ้ำคือกายเป็นที่อาศัย เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้า
ซึ่งจะต้องอาศัยวัตถุอันเป็นแหล่งที่อยู่ที่เกิดของมัน จะอยู่โดยตัวของมันเอง
โดยไม่ได้อาศัยสสารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้
ถ้าหากว่าผู้ตายแล้วจะต้องไปรดอยู่ในอัตรภพ
ก็เท่ากับว่าภพหรือภูมิที่เกิดของสัตว์ มีเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง ซึ่งเดิมมีอยู่
๓๑ ๓มิ ก็จะต้องเป็น ๓๒ ภูมิ แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ภูมิ
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๓๑ คือ อบาย ๔ สวรรค์ชั้นกามาพจร ๖ รูปพรหม ๑๖
อรูปพรหม ๔ และมนุษย์โลก ๑ เท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่ตายแล้ว
ถ้ายังมีกิเลสก็ต้องเกิดในภูมิใดภูมิหนึ่งทันที ดังพระบาลีว่า สุตฺตปฺพุทโธ
วิย เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น ไม่มีการรอหาที่เกิด
แต่การที่จะไปเกิดในภพใดที่ใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับแรงเหวี่ยงของกรรมที่ส่งไป
ฉะนั้น การที่คนบางคนพบเห็นว่า ญาติคนนั้นคนนี้ตายไปแล้ว
มาปรากฏตัวให้เห็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก็หมายถึงว่า เขาได้ไปเกิดแล้วในภพใหม่
แต่เป็นกำเนิดของโอปปาติกะ คือ อาจจะเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย
หรือเป็นเทวดาจำพวกใดจำพวกหนึ่งก็ได้ ซึ่งกำเนิดพวกนี้ เป็นอทิสสมานกาย
มองดูด้วยตาเนื้อไม่เห็น จะปรากฏแก่เราได้ก็เมื่อเขาทำกายให้หยาบ
ด้วยประสงค์จะแสดงหรือบอกให้ผู้ที่เขาต้องการจะให้ได้รู้ได้ทราบเท่านั้น
เพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้ จะขอนำเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี
พ.ศ. ๒๕๑๕ เรื่องหนึ่งมาเป็นหลักฐานยืนยันประกอบ
เพื่อสนับสนุนหลักธรรมในพระพุทธศาสนาข้อนี้
เรื่องมีอยู่ว่า ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณ ๒๑ ปี ขอสมมติชื่อว่า
ชุลีนาถ บ้านอยู่กรุงเทพ ฯ ได้ไปทำงานที่โรงงานแห่งหนึ่งที่อ้อมน้อย
สมุทรปราการ วันหนึ่งในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ขณะที่เธอทำงานอยู่ที่โรงงานแห่งหนึ่ง เวลาพักกลางวัน
เธอได้ออกจากโรงงานไปทานอาหาร ได้เดินข้ามถนนสายหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับโรงงาน
และได้ถูกรถยนต์ชนขณะข้ามถนน มีอาการสาหัส แล้วมีคนนำส่งโรงพยาบาลศิริราช
แต่เธอได้ขาดใจตายที่โรงพยาบาลศิริราชนั่นเอง เพราะมีอาการสาหัสมาก
แต่ทางบ้านก็ยังไม่ทราบถึงการจากไปของเธอ
ในวันนั้น พอตกเย็น ครั้นสิ้นแสงตะวัน วิญญาณของเธอก็กลับมาที่บ้าน
อาจจะเป็นเพราะห่วงพ่อแม่ โดยปรากฏในรูปร่างเดิมของนางสาวชุลีนาถนั่นเอง
และได้ไปนั่งถ่ายปัสสาวะอยู่ในที่ไม่สมควรจะถ่ายปัสสาวะ
อาหญิงของเธอเห็นเข้าจึงได้ดุว่า ที่นั้นไม่สมควรถ่ายปัสสาวะ
วิญญาณนี้ไม่พูดอะไร เมื่อลุกขึ้นแล้วก็เดินขึ้นบนบ้าน
เดินสวนทางกับมารดาของเธอเอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วผ่านเข้าห้องนอน
มารดาเข้าใจว่าเธอเข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว หลังจากกลับมาจากที่ทำงาน
แล้วมารดาของเธอก็ได้ลงมาข้างล่าง
อีกสักครู่หนึ่งต่อมา
ก็มีคนจากโรงพยาบาลศิริราชมาบอกข่าวเรื่องการตายของนางสาวชุลีนาถให้มารดาของเธอทราบ
แต่มารดาของเธอไม่เชื่อ และได้ยืนยันว่าลูกสาวของตนได้กลับมาบ้านแล้ว
อาหญิงเขาก็ดุเอาเมื่อก่อนจะขึ้นบ้านและ
ได้เดินสวนทางกับตนไปเข้าห้องเมื่อครู่นี้เอง
เข้าใจว่ามาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวในห้อง
ชายผู้มากับข่าวก็กล่าวยืนบันเช่นกันว่า
ผมมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่เก็บศพของนางสาวชุลีนาถ
เพื่อมาบอกข่าวให้ทางบ้านทราบ
มารดาของนางสาวชุลีนาถก็ยังไม่เชื่อ
แต่เพื่อให้แน่ใจจึงได้ตามขึ้นไปดูในห้อง และได้เห็น
น.ส.ชุลีนาถลุกสาวนอนคลุมโปงอยู่ในห้อง
โดยที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเลย
ด้วยความแปลกใจนางจึงได้เรียกลูกสาวออกมา และเมื่อ
น.ส.ชุลีนาถลุกขึ้นออกมายืนอยู่ตรงหน้ามารดาก็ไม่พูดอะไร
แต่ปรากฏว่ามีเลือดไหลอาบหน้า
และเปื้อนไปทั่วทั้งร่างเมื่อมาดราของเธอเห็นเข้าเช่นนั้นก็ตกใจเป็นลมล้มลงสลบไป
ภาพนั้นก็หายไปทันที
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งอาหญิงของ
นางสาวชุลีนาถได้เล่าให้ท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง ในวัดโสมนัสวิหารทราบ
และขณะนี้กระดูกของนางสาวชุลีนาถ ก็ถูกบรรจุไว้ที่พระวิหารวัดโสมนัสวิหาร
แม้ในวัดทำบุญบรรจุกระดูกนั้น มารดาของเธอก็ยังโศกเศร้าเสียใจถึงกับเป็นลมไปอีก
เพราะมีความรักและอาลัยในลูกสาวของตนคนนี้มาก
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ตายไปแล้วและสามารถปรากฏตัวให้ทราบเช่นนี้
คนโดยทั่ว ไปเรียกกันว่าสัมภเวสี แท้ที่จริง เขาเกิดในภพใหม่แล้ว
แต่เกิดในกำเนิดแห่งโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้น มีรูปร่างสมบูรณ์ในทันที
ถึงจะเกิดอยู่ไม่นานแล้วต้องเปลี่ยนไปเกิดในภูมิใหม่อีกต่อไปก็ชื่อว่าเกิดแล้ว
และเขาสามารถแสดงร่างเก่าให้ปรากฏแก่ญาติพี่น้องมิตรสหายเป็นต้นได้
เรื่องทำนองเดียวกันนี้
หรือมีลักษณะคล้ายเรื่องนี้ปรากฏว่ามีเกิดขึ้นบ่อยในประเทศไทย
แม้ในประเทศตะวันตกก็มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้น เหมือนกัน
แต่รูปร่างที่แท้จริงของเขาเป็นอาทิสสมานกาย คือ
มีร่างกายไม่ปรากฏให้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ
ท่านผู้ได้ทิพยจักษุเท่านั้นจึงสามารถมองเห็นกาย
ของผู้ที่เกิดอยู่ในโอปปาติกะกำเนิดได้แต่บางคนไปเกิดในโอปปาติกะกำเนิดไม่เกิน
๗ วันเท่านั้นแล้วก็เคลื่อนไปเกิดในภูมิใหม่อีก เช่น ไปเกิดเป็นมนุษย์
เป็นสัตว์หรือเทวดาชั้นสูง เป็นไปตามอำนาจพลังของกรรมที่ตนได้ทำเอง
ไว้ส่งให้ไปเกิด
เพื่อความเข้าใจชัดในเรื่องสัมภเวสี ตามหลักพระพุทธสาสนาฝ่ายเถรวาท
จึงขอนำคำอธิบายของพระอรรถกถาจารย์มากล่าวไว้ในที่นี้ คือ
พระอรรถกาจารย์ได้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสัตว์ที่มีชื่อว่า สัมภเวสี
และสัตว์ที่ชื่อว่า ภูตะ ไว้ใน อรรถกถาคัมภีร์ขุททกนิกาย ชื่อ ปรมัตถโชติกา หน้า
๒๗๗ ตอนอธิบายบาลี เมตตสูตร ข้อที่ว่า ภูตา วา สมฺภเวสี วา สพฺเพ สตฺตา ภวนฺตุ
สุขิตตฺตา ขอสัตว์ทุกจำพวกทั้งที่เป็นภูตะ ทั้งที่เป็นสัมภเวสี จงถึงความสุขเถิด
โดยแยกอธิบายออกเป็น ๓ นัยดังนี้ ๑. คำว่า ภูตะ หมายถึงสัตว์ที่เกิดแล้ว
คือเกิดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คำว่า ภูตะนี้ เป็นชื่อของพระขีณาสพทั้งหลาย
ผู้ที่เกิดเสร็จแล้วนั่นเอง จึงไม่มีการนับว่า จักเกิดต่อไปอีก
ส่วนเหล่าสัตว์ที่ยังแสวงหาภพอยู่ชื่อว่าสัมภเวสี คำว่า สัมภเวสีนี้
เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนทั้งหลาย ผู้ยังแสวงหาภพที่เกิดขึ้นอยู่อีกต่อไป
(คือผู้ที่ต้องเกิดอีกต่อไป)
๒. อีกประการหนึ่ง ในบรรดากำเนิดทั้ง ๔ (คือพวกที่เกิดในไข่หนึ่ง
พวกที่เกิดในครรภ์หนึ่ง พวกที่เกิดในเถ้าไคลหนึ่ง พวกที่เกิดผุดขึ้นหนึ่ง)
พวกสัตว์ที่เกิดในไข่และสัตว์ที่เกิดในครรภ์ชื่อว่า สัมภเวสี
ตราบเท่าที่ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่และยังไม่ทำลายรกออกมา
ต่อเมื่อสัตว์เหล่านั้นทำลายกระเปาะไข่หรือทำลายรกออกมาข้างนอกได้แล้ว จึงชื่อว่า
ภูตะ ส่วนพวกสัตว์ที่เกิดในเถ้าไคลและพวกสัตว์ที่เกิดผุดขึ้น (โอปปาติกะ) ชื่อว่า
สัมภเวสีในขณะแห่งปฐมจิต (คือจิตดวงแรกที่ปรากฏในภพนั้น)
ชื่อว่าภูตะนับตั้งแต่จิตดวงที่ ๒ เป็นต้นไป
๓. อีกประการหนึ่ง จำพวกสังเสทชสัตว์ (สัตว์เกิดในเถ้าไคล)
และจำพวกโอปปาติกสัตว์ (พวกที่เกิดผุด) ก็ชื่อว่า สัมภเวสี
ตราบเท่าที่ตนยังไม่เคลื่อนไปจากอิริยาบถที่ตนเกิดสู่อิริยาบถอื่น
ต่อจากนั้น (คือเมื่อเปลี่ยนไปสู่อิริยาบถอื่นแล้ว) จึงชื่อว่า ภูตะ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่จัดเป็นสัมภเวสีทั้งสิ้น
และเป็นเครื่องยืนยันว่า คนเราตายแล้วเกิดใหม่จริง
ผีผ่าตัด
ผีเอลวิสกลับบ้าน
กรรมบันดาล
ขอกลับมาเกิด
พระพาหิยะ ผู้ตรัสรู้เร็ว
พระสุธัมโม ชาวอินโดนีเซีย