ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
ไทย
หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)
แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd
คำนำ
หมอดอดด์ได้เข้ามาทำหน้าที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์อยู่
ในประเทศไทยที่จังหวัดเชียงรายเป็นเวลาถึง 33 ปี
ในระหว่างนั้นก็ได้เดินทางไปยังภาคต่างๆ ของประเทศไทย
เท่าที่และโอกาสจะเอื้ออำนวยให้ หมอดอดด์จึงเป็นผู้ที่รู้จักกับคนไทยและรู้ภษษไทยดี
โดยเฉพาะภาษาไทยในภาคเหนือนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาษาที่สองของท่าน
คาวมสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างหมอดอดด์กับคนไทยได้ทำให้ท่านเกิดความรักประเทศไทยและคนไทยเป็นอย่างยิ่ง
และความรักในคนไทยนี้ได้ทำให้หมอดอดด์มีความอุตสาหะและความอดทนต่อความยากลำบากต่างๆ
ออกเดินทางออกจากประเทศไทยไปเยี่ยมเยียนทำความรู้จักกับคนไทยที่อยู่ในประเทศอื่นๆ
นอกประเทศไทยเป็นระยะทางประมาณ 2000 ไมล์
ดังปรากฎรายละเอียดอยู่ในหนังสือเล่มนี้แล้ว
หนังสือของหมอดอดด์เล่มนี้
นับว่าเป็นเอกสารที่สำคัญยิ่งเล่มหนึ่งทางด้านความรู้สึกของคนไทยในประเทศไทย
เพราะได้ทำให้คนไทยตื่นตัวในความรู้ที่ว่า
ชนชาติไทยนั้นเป็นชนชาติที่อยู่ในเนื้อที่อันแผ่ไพศาล
ตั้งแต่แคว้นอัสสัมในประเทศอินเดีย ประเทศพม่า ประเทศไทย
ประเทศจีนภาคใต้ในมณฑลยูนาน มณฑลกวางสี มณฑลไกวเจา มณฑลกวางตุ้ง และเกาะไหหลำ
ประเทศลาว และแคว้นตังเกี๋ยในประเทศเวียตนามเหนือ
ความรู้ที่หมอดอดด์ได้ทำให้ปรากฎขึ้นนี้
เป็นความรู้อันเกิดจากความอุตสาหะที่ได้เดินทางไปพบปะมาด้วยตนเอง
แล้วบันทึกไว้อย่างมีหลักฐาน จึงเป็นความรู้ที่ไม่มีผู้ใดจะขัดแย้งหรือถกเถียงได้
หมอดอดด์ได้ประมาณจำนวนคนไทยซึ่งอยู่ในประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยในสมัยนั้น
(ซึ่งมีพลเมืองเพียง 10 ล้านคน) ไว้ว่า มีประมาณ 20 ล้านคน
ถ้าจะคิดถึงเวลาที่ผ่านมาแล้ว 50 ปีเศษถึงสมัยปัจจุบันนี้ ก็น่าจะอนุมานเอาได้ว่า
คนไทยทั้งหมดในโลกนี้ บัดนี้มีจำนวนมากมายเพียงใด
นอกจากความจริงที่ได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว
หมอดอดด์ยังได้ศึกษาหนังสือและเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับชนชาติไทย
ซึ่งผู้รู้ในสมัยนั้นได้ค้นคว้าเอามาจากเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีน
แล้วได้เสนอไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า ชนชาติไทยเคยเป็นชนชาติใหญ่อยู่ในประเทศจีน
และมีความเก่าแก่กว่าชนชาติจีนตลอดจนชนชาติอื่นๆ
ที่ถือว่าเก่าแก่ในโลกนี้อีกหลายชาติ
ชนชาติไทยได้อพยพจากภาคเหนือของจีนลงมาสู่ภาคใต้ของจีนเมื่อหลายพันปีมาแล้ว
มาตั้งราชอาณาจักรขึ้นในมณฑลยูนาน เรียกว่าน่านเจ้า
มีหลักฐานปรากฎอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ของจีน
แล้วได้อพยพลงมาทางทิศใต้ในเวลาต่อมาจนได้มาตั้งราชอาณาจักรขึ้นในประเทศไทยปัจจุบันนี้
ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยตามแนวที่ปรากฎอยู่ในหนังสือของหมอดอดด์
และในบทนิพนธ์ของนักปราชญ์และผู้รู้อื่นๆ ในสมัยนั้น
ได้เป็นที่เชื่อถือกันในบรรดานักศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยตลอดลงมาจนถึงปัจจุบัน
และเท่าที่สอนกันอยู่ในสถานศึกษาต่างๆ ในประเทศไทยก็ยังคงอยู่ในแนวนี้
เพราะข้อเท็จจริงต่างๆ ที่กล่าวไว้ในประวัติศาสตร์แนวนี้
ออกจะดูมีเหตุผลรับกันทำให้ผู้ศึกษาเห็นจริงได้
ยิ่งได้นำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาปรับเข้ากับประวัติศาสตร์ของชาติไทยเท่าที่รู้กันแน่นอน
ก็ยิ่งเห็นจริงเข้าไปอีก ยกตัวอย่างเช่นยุคสุโขทัยเป็นราชธานีนั้น
ปรากฎว่าคนไทยเรามีความเจริญอย่างสูงในทางการปกครอง ทางศิลปวัฒนธรรม
ตลอดจนการอุตสาหกรรม จนมีหลายท่านเรียกยุคสุโขทัยว่า
ยุคทองแห่งประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย ปรากฎการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นลอยๆ
ไม่ได้จำต้องมีเหตุสืบเนื่องมาจากอดีต ชนชาติไทยจะภือกำเนิดแบบโอปปาติกะ
คือพลุ่งโพลงขึ้นมาโดยมีความเจริญเต็มตัวในทันทีทันใดนั้น
ดูออกจะไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
น่าจะต้องคิดไปก่อนว่าก่อนที่คนไทยจะมาตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้นนั้น
คนไทยได้เคยมีประสบการณ์ทางการปกครอง ทางศิลปะ ทางวัฒนธรรม
และในปัจจัยอื่นๆแห่งความเจริญรุ่งเรื่องมาแล้วเป็นอย่างดี และเป็นเวลานาน
ยุคทองนั้นจะทำให้เกิดขึ้นในเวลาปีสองปีหรือแม้นแต่ร้อยปีสองร้อยปีเห็นจะไม่ได้
ชนชาติไทยน่าจะได้มีประสบการณ์แห่งอารยธรรมและวัฒนธรรมอันเป็นของตนมานานกว่านั้นมาก
ความเชื่อถือว่าคนไทยเคยมีประเทศอันเป็นเอกราชเป็นของตนเอง มีการปกครองของตนเอง
ตลอดจนมีอำนาจของตนเองที่จะรักษาความเป็นไทยของตนไว้
ในที่อื่นก่อนที่จะมาสร้างอาณาจักรสุโขทัยขึ้น
จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายความเป็นยุคทองของสุโขทัยได้โดยแจ่มแจ้งที่สุด
หากที่นั่นมิใช่อาณาจักรน่านเจ้าแล้ว
ก็ยังไม่ปรากฎว่ามีที่อื่นที่ผู้ใดรู้จักหรือค้นพบ
ในระยะสองสามปีที่แล้วมานี้
ได้มีผู้สนใจศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของคนไทยมากยิ่งขึ้น
ผู้ที่สนใจนั้นปรากฎว่าส่วนมากเป็นชาวต่างประเทศที่มิได้เคยมีความสัมพันธ์กับคนไทยเป็นเวลายาวนานเช่นหมอดอดด์
แหล่งค้นคว้านั้นก็คือเอกสารทางประวัติศาสตร์ของชาวจีนเช่นเดียวกับที่เคยทำกันมาแต่ก่อน
ชนชาติจีนเป็นชาติที่มีเอกสารทางประวัติศาสตร์มากที่สุดในโลก จะหาชนชาติใดเสมอมิได้
และเอกสารต่างๆ เหล่านี้ก็มีมากมายเกินที่จะประมาณได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
การค้นคว้าจากเอกสารอันมากมายของจีนก็ย่อมจะได้ผลเป็นข้อเท็จจริงหรือความเห็นที่ขัดกับข้อเท็จจริง
และความเห็นที่เคยเชื่อถือกันมาแต่ก่อนเป็นธรรมดา
ฝ่ายใดควรจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่ก็อยู่ที่ผู้ศึกษาเอง
ในปัจจุบันมีความเห็นเกิดขึ้นในบางแห่งว่าอาณาจักรน่านเจ้านั้นมิใช่ของไทย
และคนไทยไม่เคยมีส่วนสำคัญในอาณาจักรนั้นเลย
ทั้งนี้โดยมีหลักฐานจากเอกสารของจีนที่แตกต่างไปจากเอกสารที่ได้เคยศึกษากันมาแต่ก่อน
หนังสือของหมอดอดด์ที่พิมพ์ขึ้นครั้งนี้
จึงน่าจะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย
ในอันที่จะได้ใช้ศึกษาเทียบเคียงกับข้อเท็จจริงใหม่และความเห็นใหม่ที่เกิดขึ้น
ความแตกต่างระหว่างทฤษฎีเก่ากับทฤษฎีใหม่นั้น พระจพประมวลไว้ได้ดังต่อไปนี้
ทฤษฎีใหม่นั้นขัดแย้งกับความเชื่อถือที่ว่า
น่านเจ้าเคยเป็นอาณาจักรอันสำคัญของไทยโดยสิ้นเชิง แต่ก็มิได้เสนอไว้เลยว่า
คนไทยเคยอยู่ที่ไหน มีประสบการณ์อย่างไรบ้าง
พูดง่ายๆคือคนไทยไม่เคยมีหัวนอนปลายตีนมาก่อน จนถึงยุคสุโขทัยจึงได้มีตัวตนขึ้น
หรืออย่างน้อยหัวนอนปลายตีนของคนไทยนั้นก็ยังหาไม่พบ
ผู้ที่ตั้งทฤษฎีใหม่นี้ขึ้นก็ยอมรับว่า การละทิ้งความเห็นเก่าๆ
บางอย่างเสียบ้างนั้น
ทำให้เราตกอยู่ในความไม่รู้อันมืดมนมากกว่าที่จะทำให้เกิดความรู้กระจ่างขึ้น
แต่ความมืดมนเช่นนี้ซึ่งมีทางที่พบความจริงได้เป็นบางส่วนด้วยการศึกษาต่อไปนั้น
เป็นเครื่องกระตุ้นและท้าทายปัญหาได้มากกว่าความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาด
ส่วนทฤษฎีเก่าที่ปรากฎอยู่ในหนังสือของหมอดอดด์นั้น
เป็นหลักความรู้ที่ได้เชือถือกันมาช้านานโดยที่ยังไม่มีผู้ใดหาหลักฐานหรือข้อเท็จจริงมาหักล้างได้โดยสิ้นเชิง
ทฤษฎีนี้อาจไม่เป็นเครื่องกระตุ้นหรือท้าทายปัญญาได้มากนัก
แต่ก็เป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกในความเป็นไทยได้มาก
จึงน่าจะเป็นประโยชน์ไดอีกหลายทางนอกจากที่ได้กล่าวถึงมาแล้ว
คึกฤทธิ์ ปราโมช
26 มิถุนายน 2511