ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

ไทย

หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)

แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd

   ในแคว้นเชียงตุง  

            การประชุมในกิจศาสนาคริสต์ เมื่อต้น ค.ศ. 1910 หมอบริกส์ (Dr. W.A. Briggs) ผู้เป็นเพื่อสนิทของข้าพเจ้า ได้เร้าให้ข้าพเจ้าเดินทางเข้าไปในประเทศจีนตอนใต้ เพื่อไปสืบค้นชนชาติไทยที่อยู่เหนือขึ้นไปอีก ข้าพเจ้ารู้สึกตื่นเต้นและยินดีมาก เพราะหน้าที่ของข้าพเจ้าคือสอนประจำชนชาติไทย และอีกประการหนึ่งกิจการทางมิสชั่นรียังไกลจากความสำเร็จอันควรพอใจอยู่มาก เรารู้จักแต่ชนชาติไทยตอนเหนือประเทศไทย และทางตะวันออกของพม่าเท่านั้น เพื่อประโยชน์แก่กิจการนี้ จึงมีโรงพิมพ์สำหรับพิมพ์คำสอนในศาสนาคริสต์โดยใช้ภาษาและหนังสือไทยเหนือสำหรับสอนชนชาติไทย ฉะนั้นอย่างน้อยที่สุด ก็ใช้ได้ถึงแคว้นลาวของฝรั่งเศสและทางตะวันออกตลอดจนดินแดนตอนใต้ของประเทศจีน แต่อย่างไรก็ดี ถ้าข้าพเจ้าไม่กล้าพอที่จะฝ่าอันตราย ข้าพเจ้าก็ยังไม่มีความชอบในศาสนาและไม่สมกับหน้าที่เป็นมิสชันรี อีกประการหนึ่งเรารู้ไม่ได้ว่าพลเมืองที่เป็นชนชาติไทยในประเทศจีนนั้นแผ่ภูมิลำนำกว้างขวางเพียงใด ได้อพยพหรือคงอยู่ในถิ่นเดิมอย่างไร ที่อพยพมาตั้งภูมิลำนำทางตะวันออก เช่นประเทศญวณ จะกลายเป็นชาติอานัมโดยทางแต่งงานและลูกหลานจะกลายเป็นอานัมไปอย่างไร ถ้ายังคงเป็นไทยอยู่ในจีนและในอานัม จะแผ่ภูมิลำนำไปกว้างขวางคล้ายกับไทยทางฝ่ายใต้หรือไม่ และมีความสัมพันธ์ติดต่อกันอย่างไร ทั้งนี้เรารู้ไม่ได้แทบทั้งนั้น แม้พวกมิสชันรีในประเทศจีนที่วางแผนการสอนสำหรับชนชาติไทยในจีน ก็ยังรู้เรื่องนี้น้อยเต็มที น่าประหลาดมากที่พวกมิสชันรีได้ทำการสอนมาเป็นเวลานานถึง 43 ปี ยังมีผลไปไม่ไกลเท่าไรนัก แผ่นดินของชนชาติไทยนั้นตั้งอยู่ตรงกับที่ปรากฎในแผนที่ของมิสชันรีสำหรับชนชาติจีนตอนใต้ก็ว่าได้ แม้ในหนังสือทางราชการของพม่าฝ่ายเหนือและแคว้นเงี้ยว และสถิติพยากรณ์และรายงานการเดินทางของข้าราชการอังกฤษหลายคน ก็ยังกล่าวแต่เล็กน้อย ถึงชนชาติไทยและภูมิที่เป็นลำนำของชนชาติไทยในดินแดนที่อยู่เหนือประเทศไทยขึ้นไป เว้นแต่พวกมิสชันรีที่ไปสำรวจด้วยตัวเอง และเขียนเป็นรายงานไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นถิ่นนี้จึงนับว่ายังซ่อนเร้นอยู่ แต่ว่ามีทรัพย์โดยธรรมชาติเป็นอันมาก เช่น แร่ทอง เงิน เหล็ก ดีบุก ถ่านหิน เพชร พลอย อัสฟัลท์ เกลือ น้ำมันเปโตรเลียม และแร่อื่นๆ อีก กับมีพืชของป่า เช่น ไม้สัก ไม้มะฮอกกานี ไม้แดง และไม้ที่มีราคาต่างๆ นอกจากนี้พื้นดินก็อุดมโดยธรรมชาติ เช่น เป็นป่าไม้ เป็นทุ่ง เป็นที่เลี้ยงสัตว์ เป็นไร่นาเหมาะที่พืชพันธ์จะขึ้นได้อย่างงอกงาม แต่พื้นที่และทรัพย์ทางธรรมชาติเหล่านี้ ส่วนมากยังหามีใครทำให้เจริญเป็นผลขึ้นตามสมควรไม่ คงปล่อยไว้ให้เป็นไปตามธรรมชาติจึงได้เจริญขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งในดินแดนเหล่านี้ก็มีแม่น้ำใหญ่ๆ หลายสาย และสาขาของแม่น้ำเหล่านี้ก็มีเป็นอันมาก แต่ยังมีการเดินเรือน้อยเต็มที
             การขออนุญาติและหนังสือเดินทางสำหรับเข้าไปในประเทศจีนตอนใต้ จะต้องมีหรือถ้าจะมีต้องเลือกเดินทางสะดวกที่สุด ทางสะดวกจะมีหรือไม่ และทางที่จะผ่านไปนั้นจะปลอดภัยสำหรับชาวต่างชาติหรือไม่ มักเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าชาวต่างชาติที่เดินผ่านจังหวัดของประเทศจีนมักถูกฆ่าตาย และบางทีก็ถูกผู้ร้ายปล้นชิงกลางทาง เจ้าพนักงานปกครองท้องที่ของจีนไม่ได้จัดการป้องกันพอเพียง หรือมิฉะนั้นหนังสือเดินทางก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์พอจะคุ้มครองชาวต่างประเทศได้ ข้อลำบากของข้าพเจ้าโดยตรงก็คือ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักภาษาจีน รู้แต่ภาษาสามัญสำหรับพูดกับคนจีนขั้นต่ำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เว้นแต่ภาษาไทยเหนือ ควรจะต้องหาล่ามจีนหรือคนที่รู้จักภาษาจีนไปด้วยหรือไม่ แน่นอน เราจะต้องมีคนทำกับข้าว คนขับเกวียนและคนใช้ไปด้วย
         การเดินทางฝ่าอันตราย ไปกระทำกิจเพื่อความชอบในศาสนาครั้งนี้เป็นเวลานาน และเป็นการเสี่ยงโชคมากอยู่  เพราะต้องบุกป่าฝ่าดง และเดินทางที่ไม่เรียบร้อย ประกอบด้วยภัยในฤดูฝน หรือมิฉะนั้นฝนจะตกหนักเสียก่อนที่จะเดินทางไปตลอดก็ได้ คริสเตียนน้อยคนนักที่จะกล้าถึงเพียงนี้ นอกจากนี้ในประเทศจีนฝ่ายใต้ก็ไม่มีธนาคาร ไม่มีธนบัตรใช้แทนเงิน ห้างร้านของชาวต่างชาติหรือคลังจังหวัดของจีนจะออกต๋วใช้แทนเงินเพื่อไปขึ้นเอาเงินที่ใดที่หนึ่งก่อนถึงมณฑลกวางตุ้งจะมีหรือไม่ หรือว่าจะต้องมีเงินตราติดตัวไปใช้ตามทางตลอดการเดินทาง อุปสรรคเหล่านี้เป็นความหนักใจมิใช่น้อย แต่อย่างไรก็ดี เราไม่ควรปล่อยโอกาสนี้ให้พ้นไปเสีย ควรเริ่มต้นเตรียมเดินทางทีเดียว สิ่งที่จะเตรียมไปก็คือของต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ศาสนา เช่นหนังสือคำสอน หนังสืออื่นๆ รูปภาพรายงาน จดหมายเหตุ หีบเสียง เครื่องยาต่างๆ เสบียงอาหาร ของใช้ระหว่างทาง คนครัว คนใช้ ม้า เกวียน กับเครื่องนุ่งห่ม และสิ่งของจำเป็นอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ต้องตระเตรียมเป็นการใหญ่นานอยู่ นอกจากนั้นในการไปครั้งนี้ ข้าพเจ้ามีคนใช้อย่างสนิทชิดเชื้อซึ่งเป็นคนไทยชาวเชียงรายไปด้วยอีกคนหนึ่ง ชื่อฟู


        เวลาเช้าวันที่ 8 มกราคม 2452 พวกเราได้ฤกษ์ยกกองเดินทางจากบ้านของข้าพเจ้าที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ฝ่ายเหนือในประเทศไทย ในระหว่างเดินทางตลอดเวลาสองเดือนครึ่ง ข้าพเจ้าได้ไปเยี่ยมสถานมิสชันรีต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในดินแดนตะวันออกพม่า
       ความมุ่งหมายข้อแรกก็คือจะไปที่จังหวัดเชียงตุง (Kengtung) อันเป็นเมืองหลวงและที่มีชื่ออย่างเดียวกับมณฑลหรือแคว้นนั้น คือแคว้นเชียงตุง ชื่อเมืองและคนพื้นเมืองนั้นหาใช่พม่าไม่ เป็นชื่อไทย คนพื้นเมืองก็เป็นไทย ภาษาและขนบธรรมเนียมก็เป็นไทย เป็นเชื้อสายของชนที่พูดภาษาเดียวกับชนที่อยู่ทางฝ่ายเหนือของประเทศไทย ถึงแม้ชนที่อยู่ในเขตแขวงเชียงตุง ผู้ที่ไม่ใช่ไทยก็หาใช่ชนชาติพม่าไม่ แต่เป็นชาวเขาที่ไม่มีหนังสือของตนเอง แผนที่การปกครองที่ประเทศมหาอำนาจได้ทำขึ้นในระยะ 20-30 ปี ที่ล่วงมานี้ ก็ทำขึ้นอย่างรู้สึกว่าตนเป็นมหาอำนาจ เพราะเห็นได้ชัดว่าการรวบรวมเอาแคว้นเชียงตุงเข้าเป็นดินแดนพม่าด้วยนั้น หาได้คิดถึงเชื้อสายของชาติและจำกัดอาณาเขตที่เป็นเจ้าของของคนพื้นเมืองไม่ แม้พวกมิสชันนารีที่ประจำอยู่ทางตะวันออกในพม่าก็ไม่ใช่สำหรับสั่งสอนชาชาติพม่า แต่สำหรับสอนชนชาติไทยในพม่า ซึ่งเป็นชนชาติเดียวกับชาวเหนือในประเทศไทย
         จังหวัดเชียงตุงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นเชียงตุง ตั้งอยู่เยื้องไปทางตะวันตก 2-3 ไมล์ เป็นเส้นตรงเหนือขึ้นไปจากจังหวัดเชียงราย แต่หนทางที่จะไปนั้นต้องอ้อมไปทางตะวันออกก่อน แล้วจึงวกกลับมาทางตะวันตก เหตุฉะนั้นถ้าเดินทางจากจังหวัดเชียงรายจะเสียเวลา 10 หรือ 11 วัน จึงจะถึงเชียงตุง การวัดหรือกำหนดระยะทางนั้น ตามที่คนทางแถบนี้ใช้กัน กำหนดด้วยเวลา ไม่ใช่กำหนดด้วยไมล์หรือเมตรอย่างอังกฤษ แต่ถ้าเป็นทางสั้นๆ เช่นระยะทางระหว่างหมู่บ้าน เขากำหนดกันเป็นชั่วหม้อข้าวเดือดกี่หม้อ แต่ถ้าเป็นระยะทางไกลๆ กำหนดเป็นวันๆไป แต่การเดินทางต้องเดินด้วยเท้าไปตามทางที่ไม่ใช่ภูเขาและตามกำลังของคนธรรมดาจะเดินได้ เพราะฉะนั้นระยะทางจากเชียงรายไปเชียงตุงซึ่งกำหนดด้วยกำลังของคนก็เดินเป็นจำนวน 11 วัน
        แต่ครั้งก่อน การเดินทางไปเชียงตุงมีอยู่สองทาง ซึ่งต้องข้ามภูเขาทั้งนั้น เมื่อสองสามปีที่ล่วงมาแล้ว สอบวา (Sawbwa) เจ้าฟ้าเชียงตุง ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นอยู่ใต้อำนาจของผู้กำกับราชการอังกฤษได้ทำทางขึ้นใหม่เป็นทางที่สาม และทางนี้ทางเดียวเท่านั้นที่ไม่ต้องข้ามเขา ภูมิประเทศเหล่านี้อยู่ด้านตะวันออกของแม่น้ำสาลวีน(Sal ween) พื้นที่ส่วนมากเป็นเนินและเป็นพืดเขาซึ่งต่อเนื่องมาจากภูเขาหิมาลัยในอินเดีย จึงทำให้เกิดเป็นแม่น้ำลำธารเป็นอันมาก ในดินแดนบนลุ่มแม่น้ำลำธารเหล่านี้ มีชนชาติไทยตั้งบ้านเรือนอยู่ทั่วไป แต่ตามเนินเขามีชนชาวเขาอาศัยอยู่เป็นแห่งๆ ที่จริงชนชาติไทยมีจำนวนมากกว่าชนชาวเขามากนัก แม้ภูมิประเทศในแถบนี้จะเป็นเนินเขามากกว่าที่ราบก็ดี ซึ่งประมาณว่าเป็นเขาเสีย 15 ส่วน เป็นที่ราบส่วนเดียวเท่านั้น ถึงกระนั้นในพื้นที่เหล่านี้ยังมีหนทางยาวที่ไม่ต้องขึ้นเขาหรือข้ามเขาเลย หนทางชนิดนี้ถ้าสร้างทางรถไฟแล้ว ก็สร้างตามทางเกวียนหรือทางต่างนั้นเอง คือจากจังหวัดลำปางถึงเชียงราย และจากเชียงรายถึงเชียงตุง ถ้าสร้างทางรถไฟต่อจากจังหวัดลำปาง ผ่านจากจังหวัดเชียงราย เมื่อเข้าเขตเชียงตุงจึงสร้างตามทางที่สอบวาได้ทำขึ้นใหม่ ระยะทางเพียง 300 ไมล์เศษเท่านั้น และการก่อสร้างก็คงสะดวกเพราะไม่ต้องข้ามเขา แต่ต้องสร้างเลียบตามลำธารซึ่งมีภูเขาขวางอยู่
            ถ้ารถไฟไทยได้ขยายออกไปถึงจังหวัดเชียงตุง คงทำให้สินค้าของประเทศจีนซึ่งบรรทุกมาโดยทางเกวียนเจริญขึ้นมาก เพราะจังหวัดเชียงตุงเป็นที่ประชุมการค้าขายแห่งหนึ่งและเป็นศูนย์กลางของทางเกวียนที่มาจากภาคต่างๆ โดยรอบ เช่นจากมณฑลยูนนาน ผ่านเชียงตุงไปเชียงรายและลำปางไปยังมะละแหม่ง มันดะเล และจังหวัดร่างกุ้งในพม่า ในปัจจุบันนี้สินค้าในแถบนี้ยังไม่เจริญแพร่หลาย เพราะการคมนาคนยังไม่ดี ถ้ามีทางรถไฟแล้วคงทำให้พื้นที่ในแถบนี้เจริญขึ้น และทรัพย์โดยธรรมชาติที่ยังไม่เป็นประโยชน์ก็จะกลายเป็นสินค้าแพร่หลายมากขึ้น เช่นแร่ต่างๆ ไม้สัก น้ำมันดิบ ยาง เป็นต้น ทั้งพื้นที่ในลุ่มน้ำต่างๆ ก็กว้างใหญ่ประกอบด้วยดินอุดมดี พืชพันธ์ขึ้นได้งอกงาม ก็จะมีผู้ทำให้เป็นประโยชน์มากขึ้น และตามเนินเขาก็เป็นที่เลี้ยงสัตว์ได้ดีด้วย ถ้าทางคมนาคมสะดวกแล้ว คงมีตลาดใหญ่เกิดขึ้นและสามารถไปติดต่อกับตลาดของโลกได้ เหตุฉะนั้นกุศโลบายที่คิดสร้างทางรถไฟจึงเป็นเครื่องเพิ่มพูนความสมบูรณ์ของท้องที่ได้อย่างดี และรถไฟก็ไม่ใช้จะเป็นประโยชน์แก่ชนชาติไทยในท้องที่เหล่านั้นเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ท้องที่อื่นๆ ต่อไปอีก เพราะรถไฟคงไม่หยุดแต่เพียงจังหวัดเชียงตุง คงจะไปติดต่อกับทางรถไฟในประเทศจีน ซึ่งคงจะต้องสร้างต่อไป และทางเกวียนต่างๆ ก็จะมาสู่ทางรถไฟนี้ และคนชาติไทยในประเทศจีนก็คงจะรู้จักติดต่อกับชาติไทยทางฝ่ายใต้ผู้เป็นเชื้อชาติเดียวกัน
          ข้าพเจ้าได้มาถึงจังหวัดเชียงตุง เมื่อวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2452 รวมเป็นเวลา 11 วันนับแต่ออกจากจังหวัดเชียงรายในประเทศไทย ต่อนั้นไปข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่จังหวัดเชียงตุงและจัดกิจกรรมต่างๆ ให้เรียบร้อย และได้สมาคมกับข้าราชการในจังหวัดเชียงตุง วันที่ 20 มกราคม ข้าพเจ้าได้ไปหาและเยี่ยมเยือยข้าราชการที่เป็นคนพื้นเมืองในจังหวัดนั้นหลายคน โดยความชักนำของชาวอังกฤษในเมืองนั้นเพื่อความคุ้นเคยต่อไป เขาเหล่านั้นได้ต้อนรับข้าพเจ้าโดยฉันท์มิตรและช่วยเหลือข้าพเจ้าตามแต่จะได้ ส่วนข้าราชการที่เป็นชาวอังกฤษทุกคนได้แสดงความกรุณาและช่วยเหลือข้าพเจ้ามาก เพื่อนข้าพเจ้าที่เป็นชาวอังกฤษได้คะยั้นคะยอให้ข้าพเจ้ารับหนังสือจากเขา คือ หนังสือเรื่องมณฑลยูนนานของจีน ซึ่งทางราชการฝ่ายอังกฤษได้จัดพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับหลังที่สุด หนังสือเล่มนี้มีแผนที่แสดงภูมิประเทศและแผนที่แสดงชนชาติที่อยู่อาศัยในท้องที่นั้นด้วย ผู้แต่งหนังสือเล่มนั้นคือ พันตรี เอ็ช. อาร์. ดาวีส(H.R. Davies) แห่งกองทหารบกราบที่ 52 อ็อกษ์ฟอร์ดเชอร์ ผู้ที่ได้พยายามหาความรู้และเก็บสถิติต่างๆ และเรื่องราวในมณฑลยูนนานเป็นเวลานาน ให้ชื่อว่า"ยูนนาน คือลูกโว่ระหว่างอินเดียกับยางสี" (Yunnan The Link between India and The Yangtze)
         ภายหลังเมื่อได้พักอยู่ในจังหวัดเชียงตุงเป็นเวลานาน และตระเตรียมจะเดินทางต่อไป หาคนใช้ใหม่ และจัดแลกเงินรูปีเป็นเงินเหรียญฝรั่วเศส แล้วก็เริ่มออกเดินทางจากจังหวัดเชียงตุงเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2452 และพักรอนแรมมาในจังหวัดเชียงตุงและแวะเยี่ยมเยือนตามหมู่บ้านชนชาติไทยที่กลับใจมาถือคริสต์หลายแห่ง จึงได้ชักช้าอยู่
          เวลาบ่ายวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2452 มาพักอยู่ที่ปลายเขตแดนของแคว้นเชียงตุงเพื่อรอรับหนังสือเดินทาง เมื่อได้รับหนังสือเดินทางแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เตรียมการจะข้ามแดนเข้าไปในเขตจีน การขอหนังสือเดินทางนั้น ข้าพเจ้าได้ยื่นเรื่องราวต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในแคว้นเชียงตุง ผ่านสำนักงานของเซอร์ยอร์ชสคอตต์ ผู้สำเร็จราชการภาคใต้แห่งแคว้นเงี้ยว ถึงสำนักงานปลัดมณฑลของพม่าที่จังหวัดร่างกุ้ง เมื่อถูกต้องตามระเบียบราชการของสำนักงานทั้งสามนั้นแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดร่างกุ้งจึงโทรเลขถึงกงสุลอังกฤษที่จังหวัดยูนนานฟูให้ออกหนังสือเดินทางให้ เขาได้ส่งหนังสือนั้นมาโดยทางไปรษณีย์จากจังหวัดยูนนานฟูถึงเจ้าพนักงานฝ่ายกปครองในจังหวัดเชียงตุง แล้วเขาจึงได้ให้บุรุษไปรษณีย์พิเศษถือมาส่งให้ข้าพเจ้าซึ่งคอยอยู่ที่พรมแดนระหว่างพม่ากับจีน หนังสือเดินทางที่ออกให้ข้าพเจ้านี้ก็เช่นเดียวกับที่ออกให้แก่คนในบังคับของอังกฤษและการที่เขาออกให้แก่คนของรัฐบาลอื่นซึ่งเป็นคนขาวด้วยกันนั้น ก็แสดงให้เห็นความเอื้อเฟื้ออย่างสูงซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกขอบคุณเขาเป็นอันมาก แบบฟอร์มหนังสือเดินทางนั้นเป็นหนังสือจีน แต่ล่ามได้แปลให้ข้าพเจ้าฟังว่า อนุญาติให้ข้าพเจ้าเดินทางไปในที่ใดๆ ได้โดยสะดวกในเวลา 1 ปี ตลอดมณฑลทั้งสามของจีน คือ ยูนนาน กวางสี และกวางตุ้ง เจ้าพนักงานจีนไม่มีอำนาจจะขัดขืนหรือหน่วงเหนี่ยวให้ชักช้าด้วยประการใดๆ อาจซื้อสิ่งของเครื่องใช้และทำกิจการต่างๆ ได้ทั้งสิ้น นอกจากนี้เจ้าพนักงานจีนจะขัดขวางหรือหน่วงเหนี่ยวคนใช้หรือคนที่ไปกับข้าพเจ้านั้นก็ไม่ได้
         เวลาบ่ายแห่งวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2452 พวกเราได้พากันข้ามพรมแดนที่หลักเลข 57 ซึ่งเป็นหลักปักปันอาณาเขตระหว่างพม่ากับจีน และเข้าไปพักแรมในแดนมณฑลยูนนานแห่งประเทศจีนต่อไป

อ่านตอนต่อไป ที่ถือพุทธศาสนาในยูนนาน >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย