ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

ไทย

หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)

แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd

ในมณฑลกวางซี

          จังหวัดปากอ้ายซึ่งข้าพเจ้าพักเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2453 นั้น เป็นที่ประชุมการค้าขายแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่สองฟากแม่น้ำสิเกียงตอนบน เพราะฉะนั้นส่วนหนึ่งจึงอยู่ในมณฑลยูนนาน และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในมณฑลกวางซี เจ้าของร้านขายอาหารที่ข้าพเจ้าพักอยู่กับภรรยาของเขาเป็นชาติคนใหญ่หรือไทยหลวง เช่นเดียวกับชาวจังหวัดนี้โดยมากเรือนของขุนนางที่มียศสูงในจังหวัดนี้ได้ก่อสร้างอย่างแบบไทย และทั้งท่านขุนนางนั้นพูดภาษาไทยกับข้าพเจ้าด้วยกิจเล็กน้อยได้บ้าง
          การที่พวกเราจะไปยังจังหวัดปายแสซึ่งมีเรือแพมากมายนั้น จะต้องไปตามแม่น้ำซึ่งมีแก่งหลายแห่ง ระยะทางราววันครึ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องการเรือสักลำหนึ่ง ล่ามของข้าพเจ้าที่เป็นชาวไทยเหนือไปหาเจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องที่ ได้พูดกันอยู่นานกว่าจะรู้เรื่องกันได้ ในที่สุดก็ได้เรือที่จะไปยังจังหวัดปายแส เพราะตัวข้าพเจ้าและพี่ฟูรู้ภาษาจีนน้อยไม่พอที่จะใช้ประโยชน์ได้ แม้ข้าพเจ้าจะจำภาษาจีนได้บ้างเมื่อผ่านในแดนจีนเมื่อสองสามเดือนก่อนนี้ก็ดี ก็ไม่พอจะใช้เป็นประโยชน์ได้เหมือนกัน และทั้งความมุ่งหมายของข้าพเจ้าก็เฉพาะแต่จะทำการสืบสวนและติดต่อกับชนชาตไทย เพราะฉะนั้นจึงมุ่งหาแต่ทาทางที่จะเข้าใจภาษาไทยเท่านั้น แต่ล่ามของข้าพเจ้าจะกลับบ้านของเขาจากจังหวัดปากอ้ายนี้ ด้วยหมดสัญญาจ้างเพียงนี้ เขาจะย้อนกลับไปยังจังหวัดเม่งสูกับคนใช้ที่ข้าพเจ้าจ้างมานั้น ระยะทางราว 21 วัน
          เมื่อเวลาเย็นวันอาทิตย์ขณะยังอยู่ที่ปากอ้ายนั้น ตั้งใจไว้ว่าเมื่อล่ามได้ลากลับมาแล้ว พี่ฟูกับข้าพเจ้าจะไปพูดกับเจ้าพนักงานจีนเองสำหรับขอให้จ้างคนนำทางเรือ คนใช้ที่เป็นคนไทย เพื่อจะได้พูดจาติดต่อกับเจ้าพนักงานจีนในระหว่างเดินทางนั้นได้สะดวก เรื่องนี้ออกจะเป็นการเสี่ยงอยู่มากที่จะไปขอความช่วยเหลือจากคนที่ไม่เข้าภาษากัน ซึ่งบางทีอาจผิดความประสงค์ไปก็ได้ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า การที่ทำเช่นนี้ก็เป็นการขอร้องตามธรรมเนียม เหตุฉะนั้นถ้าได้ประพฤติตามธรรมเนียมแล้วก็พอหวังจะเอาตัวรอดได้


           เช้าวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2453 พวกเราตื่นแต่เช้ามืด และจัดแจงขนของลงเรือ คนเรือก็แจวขึ้นไปตามแม่น้ำสิเกียง เรือที่ข้าพเจ้าไปนี้ต่างกับเรือที่ใช้เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ และรู้สึกว่าเหมือนเรือเดินตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตอนเหนือ ๆ เพราะต้องข้ามแก่งหลายแก่งเหมือนกัน มาถึงปายแสเมื่อเวลา 9 ก.ท. วันที่ 7 มิถุนายน แล้วข้าพเจ้าได้ให้คนใช้ที่จ้างมาใหม่นั้นพาไปหาข้าราชการดูเหมือนจะเป็นจีน ตามตำแหน่งเรียกว่าถิง (T'ing) เขารับรองด้วยอัธยาศัยดี การพูดจากันกับเขาใช้ภาษาจีนที่เป็นภาษาราชการก็พอรู้เรื่องกันได้ เพราะข้าราชการในที่นั้นคนหนึ่งรู้ภาษาไทยเป็นล่ามแปลให้ขุนนางจีนนั้นเข้าใจความหมายได้บ้าง เขายกน้ำชามาให้ข้าพเจ้าดื่มและคำนับตามธรรมเนียม เมื่อพูดกิจธุระที่ข้าพเจ้าประสงค์และข้าพเจ้าก็ลากลับ เขาตามส่งข้าพเจ้าออกนอกบ้านและก้มศีรษะลงคำนับ ซึ่งข้าพเจ้าได้กระทำตอบและขอบใจเขามาก เขาได้ให้ข้าราชการคนหนึ่งพาข้าพเจ้าไปยังโรงชายอาหารที่เป็นคนไทย และจัดหาเรือใหญ่ให้สำหรับจะโดยสารต่อไปยังจังหวัดนานนิงฟู ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้นซึ่งได้กำหนดไว้ และให้คนใช้ขนสัมภาระต่าง ๆ จากเรือเล็กไปยังเรือใหญ่ในวันนี้ เวลาเข้า 7 ก.ท. วันรุ่งขึ้นจึงให้ไปพร้อมกันที่ท่าเรือในตอนกลางวัน ข้าพเจ้าได้จัดการขายเตียงพับสำหรับนอนเวลาเดินทางและนาฬิกาปลุกเสีย และได้ไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ ที่ตลาดโดยไม่ต้องใช้ล่ามเลย ข้าพเจ้าไม่ได้ยินชาวเมืองเรียกจังหวัดนี้ว่าปายแสหรือเปอเสอซึ่งเป็นสำเนียงจีนเลย แต่เรียกเป็นสำเนียงไทยว่าปากสัก (Pak-sak) จังหวัดนี้ภูมิฐานเป็นท่าเรือ โดยมีเรือยนต์โดยสารและเรือแจวใหญ่อย่างแบบไทยไปมาคับคั่ง และมีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันด้วยซึ่งนับว่าเป็นที่สำคัญแห่งหนึ่ง แต่จีนหาได้คิดหรือทำให้เป็นที่ชุมนุมชนสำหรับประกอบอาชีพให้มากมายขึ้นไม่ เท่าที่ข้าพเจ้าได้พิจารณาด้วยตนเองก็เข้าใจว่า จังหวัดนี้มีลักษณะเป็นหัวเมืองของชนชาติอ้ายลาวเมืองหนึ่ง จึงทำให้รู้สึกว่าเป็นเหมือนบ้านของข้าพเจ้าเอง
         วันพุธที่ 8 มิถุนายน เวลาเช้า เจ้าพนักงานจีนได้มาก่อนเวลาที่กำหนดไว้พร้อมกับคนเรือและคนใช้ด้วย ข้าพเจ้ากับพี่ฟูจึงได้ไปกับเขายังท่าเรือ ซึ่งพร้อมที่จะออกอยู่แล้ว เจ้าพนักงานด่านภาษีได้ตรวจกระเป๋าและหีบห่อเครื่องสัมภาระตามธรรมเนียม และตรวจหนังสือเดินทางเสร็จแล้วเขาก็อนุญาตให้ลงเรือเดินทางต่อไป เรือนี้มีห้องกว้างแต่เสบียงอาหารค่อนข้างอัตคัดสำหรับข้าพเจ้า เพราะอาหารที่เขาเตรียมไปนั้นไม่ใช่สำหรับผู้โดยสารที่เป็นชาวต่างประเทศ แต่ที่จริงข้าพเจ้าไม่เคยนึกว่า ฐานะของเรือจะสมควรกับข้าพเจ้าหรือข้าพเจ้าจะสมควรกับฐานะของเรือหรือไม่ แต่ท่านขุนนางผู้มีตำแหน่งเป็นถิงนั้นได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าไม่ต้องให้ค่าจ้างแก่คนเรือ เรือนี้เป็นเรือมีที่สำหรับบรรทุกสินค้าตอนหนึ่ง และสำหรับเราซึ่งเป็นผู้โดยสารอีกตอนหนึ่ง ในเวลานี้มีเรือยนต์เดินในแม่น้ำนี้สำหรับส่งคนโดยสารระหว่างปากสักถึงนานนิงฟู ซึ่งย่นระยะทางให้ถึงได้ในสองสามวัน แต่ข้าพเจ้าสมัครไปเรือแจวอย่างไทยมากกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสแวะค้นหาหมู่ชนชาติไทยด้วย
          เมื่อเดินเรือตามลำแม่น้ำไปยังนานนิงฟูนั้น ข้าพเจ้านึกว่าความลำบากต่าง ๆ คงจะไม่มีอีก แต่ในเวลาเย็นวันนั้นข้าพเจ้ารู้สึกตื่นใจขึ้นว่า นี่เจ้าหน้าที่จีนที่ปากสักไม่ได้บอกแก่คนเรือหรือคนหนึ่งคนใดดอกหรือว่าเราจะไปถึงไหน เพราะฉะนั้น เมื่อเรือของข้าพเจ้ามาถึงเฟาโจวเป็นเวลา 5.30 ล.ท. คนเรือถามข้าพเจ้าเป็นภาษาไทยว่า จะแวะขึ้นฝั่งหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบปฏิเสธ แล้วก็ส่งบัตรเป็นหนังสือจีนตัวแดงและหนังสือเดินทางให้คนใช้ไปแทนข้าพเจ้า ไม่ช้าลายลักษณ์อักษรที่ข้าพเจ้าส่งไปนั้นทำให้เจ้าหน้าที่จีนสงสัยจนมาหาข้าพเจ้าถึงเรือ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอยู่ในเรืออันคับแคบอึดอัดจึงไม่สามารถจะรับรองเขาให้สมเกียรติยศได้ เขาก้มศีรษะคำนับและทำมือเป็นวง และพูดเป็นภาษาจีนซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจ จึงสั่นศีรษะและชี้มือให้เขานั่ง ในที่สุดเขาชี้ไปยังกองสัมภาระเดินทางแล้วชี้ไปบนบนแต่ข้าพเจ้าไม่ขึ้น เพราะจะรีบไปนานนิงฟู กังตั๋ง และอเมริกา
         ในวันรุ่งขึ้นเมื่อหยุดเรือที่เมืองนั้นครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าขึ้นบนไปเที่ยวที่ตลาดซึ่งกำลังออก ข้าพเจ้าได้ยินชาวตลาดพูดเป็นสำเนียงจีนทั้งนั้น ซึ่งต่างกันกับที่ปากอ้าย แต่เมื่อสังเกตหน้าตาและรูปร่างของชนที่ไปในตลาดนั้นดูมีลักษณะคล้ายคนไทยมาก และไม่มีเค้าบอกว่าเป็นจีนเลย ผู้หญิงทั้งหมดเดินเท้าเปล่า ข้าพเจ้าคิดว่า บางทีเมื่อเขาอยู่บ้านของเขาคงใช้ภาษาไทยซึ่งเป็นภาษาของตัวพูดจากันในระหว่างพวกเขา แต่ข้าพเจ้าไม่มีเวลาพอและไม่มีโอกาสที่จะไปหาถึงหมู่บ้านเขาเพื่อพิสูจน์ถ้อยคำภาษาไทยของคนที่อยู่ในเขตแขวงกวางซีซึ่งข้าพเจ้าพยายามจดได้นั้น แสดงให้เห็นว่าต่างหรือเพี้ยนจากคำไทยที่เป็นแบบกลางซึ่งข้าพเจ้าได้จดไว้แต่ก่อน ข้อนี้ก็เป็นธรรมดาอย่างหนึ่ง ซึ่งชนที่เป็นชาติเดียวกัน เมื่ออยู่ห่างไกลกันภาษาก็ผิดเพี้ยนกันไปได้ เหตุฉะนั้นจึงเป็นการยากที่หูของข้าพเจ้าจะจับลักษณะคำและเนื้อความที่ชาวเมืองนี้พูดกัน เว้นแต่จะได้มีโอกาสไปสนทนากับเขานาน ๆ จนรู้เรื่องราวกันได้เท่านั้น
        วันที่ 13 มิถุนายน มาถึงตำบลหนึ่งก่อนเที่ยง แล้วคนเรือที่แจวเรือมานั้นก็แวะขึ้นบกไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ เขาบอกว่าเมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้วจะออกเรือต่อไป แต่ครั้นรับประทานอาหารแล้วพวกคนเรือกลับขึ้นบกทั้งหมด ทำทีจะเอาเงินไปใช้หนี้ค่าสิ่งของที่ซื้อไว้ คนใช้ของข้าพเจ้าก็ไม่นึกเฉลียวใจที่คนเรือขึ้นไปเที่ยวเสียด้วย กลับพูดว่าไม่ช้าคงจะกลับมา จนกระทั่งเวลาเย็นแล้ว คนใช้คนหนึ่งซึ่งขึ้นไปเที่ยวบนบกกลับลงมาเรือบอกข่าวที่ทำให้ข้าพเจ้าตกใจมาก คือเขาได้ทราบจากคนเรือคนหนึ่งบอกว่า พวกนั้นพากันหนีกลับบ้านของเขาเสียหมดแล้ว การที่เขากล้าหนีไปเช่นนี้ ก็เพราะไม่มีข้าราชการจีนเป็นใหญ่ในที่นั้น แต่คนใช้พูดกับข้าพเจ้าว่า เขาจะไปตามจับคนเรือที่ยังเหลืออยู่อีกคนหนึ่งมาให้ได้ ข้าพเจ้าได้ไปกับเขาและไปพบคนเรือนั้น ข้าพเจ้าชักหนังสือเดินทางออกขู่ว่า ข้าราชการจีนได้มีคำสั่งให้ข้าพเจ้านำเสบียงอาหารไปยังจังหวัดโน้นโดยเร็ว ถ้าคนเรือเหล่านี้ไม่แจวเรือไปแล้วจะต้องมีโทษภายหลัง ในเวลานั้นมีคนมายืนดูอยู่แน่นเขาก็ยอมตกลง เขาร้องว่าเขาเป็นคนมาใหม่ เพิ่งถูกบังคับให้มาแจวเรือเมื่อวานนี้ซึ่งเป็นความจริง แต่เขาขอความกรุณาเพื่อจะไปเอาเรือเล็กเสียก่อน เขาจึงถามคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ว่า ใครที่มีเรือขอให้พาเขาข้ามฟากไปเอาเรือเล็กที่จอดอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ายอมตามดีกว่า เพื่อแสดงว่าเราก็เข้าใจภาษาของคนใช้ คนเรือ และชาวเมืองนี้ได้เหมือนกัน แล้วเขาก็ลงเรือพร้อมกับคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สองคนกับคนเรือด้วยข้ามแม่น้ำไป คนทั้งสามก็เลยหนีไปเสียไม่เห็นกลับมา ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่มีคนเรือเลยสักคนเดียว ในเวลาฉุกเฉินเช่นนี้ ข้าพเจ้าต้องถือท้ายเองตามที่เคยเป็นมาบ้างเล็กน้อยครั้งอยู่ในประเทศไทยและให้คนใช้สองคนกับพี่ฟูเป็นผู้แจว เรือก็ค่อยแล่นไปตามลำน้ำอย่างช้า ๆ แต่เรือนั้นหนักมากกำลังของคนไม่พอกัน ทั้งลมก็คอยต้านทานอยู่ด้วย พอมาได้ราวครึ่งไมล์ คนใช้ก็อ่อนกำลังลงแจวไม่ขึ้น ข้าพเจ้าถามว่าจะทำอย่างไรดี คนใช้รับอาสาว่าจะขึ้นบกไปหาคนแจวเรือให้ได้ ข้าพเจ้าถามว่าจะไปหาที่ไหน เขาตอบว่า จะไปหาตามหมู่บ้าน เรื่องนี้ดูจะเข้าภาษิตที่ว่าหาเข็มในกองฟาง แต่จะทำอย่างไรได้ ถ้าเราไม่พยายามก็คงไม่รู้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้ากับคนใช้สองคนจึงได้พยายามแจวต่อไปอย่างช้า ๆ จนมาถึงตำบลที่มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นเรือเล็กลำหนึ่งมีคนเรือคนเดียวแจวตรงมา ข้าพเจ้าจึงว่าจ้างเขา และถ่ายสิ่งของต่าง ๆ ลงในเรือเล็กนั้นบ้าง แล้วออกเรือต่อไปในเวลา 3 ล.ท. มาจนถึงตำบลหนึ่งชื่อว่าลูงอัน เป็นเวลา 5.30 ล.ท. เขาได้พาข้าพเจ้าไปหาขุนนางจีนซึ่งเป็นข้าราชการประจำตำบลนั้น ข้าราชการจีนได้เอื้อเฟื้อให้พักและจัดเรือสำหรับที่จะไปยังนานนิงฟู และหาคนแจวเรือให้อีก 4 คน

อ่านหน้าถัดไป >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย