ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

ไทย

หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)

แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd

ในมณฑลกวางซี

(หน้า 2)

          รุ่งขึ้นวันที่ 14 มิถุนายน เวลาเช้า ได้ตั้งต้นออกเรือพร้อมด้วยคนแจวรวมเป็น 6 คน เป็นเรือใหญ่และสบายมาก แล้วมาหยุดพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านไทยค่อนข้างใหญ่มาก ข้าพเจ้าไม่มีกิจพิเศษแลไม่มีใครชักนำให้ไปสนทนากับชนในหมู่บ้านนั้น เป็นแต่ข้าพเจ้าคอยจับถ้อยคำที่เขาพูดกันได้บ้าง ในเวลานั้น ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกว่า จำเป็นต้องมุ่งสังเกตถ้อยคำจากคนไทยเหล่านี้ที่พูดกันในระหว่างพวกเขาเอง เพราะข้าพเจ้ายังละลึกได้ถึงเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองไทย เมื่อฟังถ้อยคำของชาวเชียงใหม่กับชาวลำพูนนั้นยังทำให้ฉงนและยุ่งได้ หรือเมื่อข้าพเจ้ายังเรียนภาษาลื้ออยู่ มาได้ฟังคนชาติลื้อได้ดีเท่ากับภาษาชาวเชียงใหม่ แต่เมื่อข้าพเจ้ามาได้ยินชนในถิ่นนี้พูดกันนั้นต่างจากภาษาของชนชาติทั้งสองนั้นมาก ชนในหมู่บ้านที่ข้าพเจ้าพักเมื่อวันที่ 14 นั้น ดูรูปร่างและหน้าตาก็บอกว่าเป็นคนไทยแต่บ้านเรือนของเขาเป็นแบบอย่างจีน และตลาดก็เป็นแบบอย่างจีน เรื่องนี้ข้าพเจ้าได้สังเกตโดยถี่ถ้วนทุกแห่ง อนึ่งเครื่องแต่งกายของผู้ชายไทยในประเทศจีนนั้น เอาอย่างจีนเกือบทุกแห่ง เว้นแต่ชาติลื้อที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ลงไปมาก อนึ่งชนชาติไทยพวกต่าง ๆ เหล่านี้ สิ่งที่จะเป็นเครื่องสังเกตภายนอกว่าเป็นคนละชาตินั้น ก็คือเครื่องนุ่งห่มของผู้หญิง ผู้หญิงไทยลื้อ ไทยเหนือ ไทยลาย และไทยน้ำ นุ่งผ้าถุงที่มีลายเป็นทาง ๆ ทุกพวก ดังนั้นหญิงไทยทุก ๆ แห่งตลอดจนดินแดนฝ่ายใต้ในพม่า ตังเกี๋ย ตอนเหนือประเทศไทยก็ใช้ผ้าถุงทั้งนั้น แต่ลายของผ้าถุงนั้นมักต่างกันเป็นแห่ง ๆ ไป ผู้หญิงไทยเหนือใช้ผ้าถุงมีลายเป็นทาง ๆ ลงไปตามตัว แต่หญิงไทยพวกอื่น ๆ โดยมากใช้ผ้าถุงเป็นลายขวางตัว ผ้าถุงที่หญิงไทยเหล่านี้ใช้มีขนาดยาวต่าง ๆ จนกระทั่งชาติไทยที่อยู่ทางดินแดนลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดงนั้นสั้นเตินเต่อ ซึ่งไม่น่าจะสั้นถึงเพียงนั้น ส่วนเสื้อไม่ใคร่จะใช้กัน หรือมิฉะนั้นเขาคงคิดว่าควรเก็บไว้ในตู้เสียดีกว่า และทั้งไม่ได้ส่วนกับร่างกายด้วย และการใช้เสื้อนั้นดูเป็นไปตามอากาศร้อนหนาวมากกว่า เช่นดินแดนฝ่ายใต้ลงมาที่มีอากาศค่อนข้างร้อนนั้น นอกจากนุ่งผ้าถุงเขามักออกไปทำงานหนักกลางแจ้ง ตามปกติเขามักใช้เสื้อคับสีคราม แต่เดี๋ยวนี้เห็นใช้เสื้อเป็นผ้าสีขาวกันบ้าง บางทีก็เป็นเสื้อคับ บางทีก็เป็นเสื้อหลวม ออกจะใช้กันหนาตาขึ้น บางทีก็มีผ้าห่มทับ บางทีก็ไม่มี ในแถบที่มีอากาศค่อนข้างหนาว เช่นในแคว้นเชียงตุงและสิบสองพันนา และเหนือ ๆ ขึ้นไปอีก มักใช้เสื้อคับกันทั่วไป และตามแถบหมู่บ้านของชนชาติไทยที่ไม่มีหนังสือในแคว้นเชียงตุงตามที่ข้าพเจ้าได้พบบ่อย ๆ ผ้าถุงที่ผู้หญิงนุ่งแทนที่จะมีลายเป็นทาง ๆ เขากลับใช้สีครามแก่ และบางทีก็นุ่งเป็นเตี่ยวเหนือเข่าขึ้นมา และมีกางเกงในสีครามยื่นออกมาด้วย นายเบิรน กงสุลอังกฤษได้อธิบายไว้ในรายงานของเขาว่า คนไทยเหล่านี้มีความเดือดร้อนมากในการที่เจ้าหน้าที่จีนประกาศบังคับให้ใช้เครื่องแต่งตัวอย่างจีน เขายังได้พูดถึงการแต่งกายของหญิงไทยในนานนิงฟูว่าใช้เสื้อผ้าสีดำคล้ำ และใช้เครื่องประดับกายทำด้วยเงิน และเดินเท้าเปล่า ความเป็นอยู่ของชนชาติไทยที่ไม่มีหนังสือในประเทศจีนทุกพวกย่อมมีดังนี้จริง ผู้หญิงไทยทุกพวกไว้ผมยาว แต่หญิงในประเทศไทยเท่านั้นไว้ผมสั้น หญิงไทยในแดนจีนไว้ผมยาวและหวีไปจากข้างหน้ามุ่นเป็นมวยไว้ข้างหลังคล้ายหญิงไทยทางเมืองเหนือ บางพวกมุ่นเป็นมวยไว้กลางศีรษะ บางพวกก็มุ่นเอามวยล้ำมาข้างหน้า ไม่ใช้ถุงเท้ารองเท้า ไม่กินหมาก หรือไม่กินของที่ทำให้ฟันเปลี่ยนสีไป เมื่อพูดทั่วไปแล้วหญิงไทยในแดนจีนล่ำสันแข็งแรงแต่เทอะทะ ไม่ชวนให้น่าดูเหมือนหญิงชาวยุโรป แต่เขาก็รู้จักประดับกายให้สวยงามเหมือนกัน เช่นใส่แหวน กำไรมือ กำไรเท้าและอื่น ๆ อันทำด้วยเงิน

          วันรุ่งขึ้นคนเรือได้แจวเรือเรื่อยไป พักเพียงครู่เดียว ดูเหมือนเขารีบจะไปให้ถึงนานนิงฟูโดยเร็ว การที่เขาหยุดพักครู่หนึ่งนั้นเขาถือเป็นโอกาสขึ้นบกไปเที่ยวที่ตลาดเพื่อซื้อของ แต่ของที่เขาชอบมากที่สุดก็คือน้ำดื่มชนิดหนึ่งทำจากข้าวหมัก คนไทยพวกนี้โดยมากเป็นพวกไม่รู้หนังสือและเขลาในธรรมจรรยาอยู่ จึงได้ใช้น้ำข้าวหมักดื่มต่างน้ำ เขามักดื่มกันในเวลารับประทานอาหารเพื่อให้มีโอกาสพล่ามได้บ้าง แต่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นพวกนี้เมาเลย ไม่ต้องสงสัยเลย ถึงแม้จะดื่มแต่พอประมาณก็คงจะเป็นโทษแก่ร่างกายบ้าง แต่ก็คงไม่มากเท่าสูบฝิ่น ปรากฏว่า ในสามมณฑลทางใต้ของจีนที่ข้าพเจ้าผ่านมาแล้วนั้น ได้มีความปรารถนาและพยายามเป็นอย่างยิ่งจะให้เลิกการปลูกฝิ่นและสูบฝิ่น โดยเฉพาะภูมิประเทศที่ข้าพเจ้าเดินทางผ่านมาทางพม่า เข้าในเขตยูนนาน สิงสองพันนา ถึงแม้ยังมีการปูลกฝิ่นอยู่บ้าง แต่มักจะเป็นพวกชาวเขาที่ปราศจากการศึกษาลักลอบปลูกในแดนที่ไกลที่สุดพ้นอำนาจรัฐบาลกลางที่กรุงปักกิ่งจะควบคุมถึง ทราบข่าวว่าในเวลานี้รัฐบาลจีนกำลังร่วมมือกับรัฐบาลอื่น ๆ ที่จะพยายามกำจัดสิ่งชั่วร้ายนี้ให้สาบสูญไป
         พวกเราได้มาถึงนานนิงฟู เมื่อเวลา 3 ล.ท. วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน ซึ่งนับเป็นวันที่ 9 ตั้งแต่ออกจากปากสัก คนใช้ของข้าพเจ้าได้เอาใจใส่และช่วยเหลือข้าพเจ้ามาก ได้พาข้าพเจ้าไปหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนซึ่งเป็นเจ้าของท้องที่ และไปค้นหาบ้านพวกมิสชันรีด้วย ครั้งแรกเขาพาไปหาบาทหลวงฝรั่งเศสที่ตั้งวัดสอนศาสนาโรมันคาธอลิคในจังหวัดนั้นก่อนแล้วไปหามิสชันรีชาวอังกฤษ ในที่สุดข้าพเจ้ากับพี่ฟูรู้สึกปลื้มใจเป็นอันมากที่ได้พบพวกมิสชันรีด้วยกันเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ออกจากเขตเชียงตุง ในแดนพม่าซึ่งมีระยะห่างจากจังหวัดนี้ราวพันไมล์เศษ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2452 ซึ่งเป็นเวลา 4 เดือนพอดี
       ข้าพเจ้าได้ไปยังสวดของมิชชันรีอังกฤษที่ทำการรักษาโรคด้วย โรงสวดนี้ทำการติดต่อกับในประเทศอังกฤษ แต่หมอและแหม่มคลิฟต์เป็นผู้อำนวยการโดยอิสระ เขาเพิ่งจะมาอยู่ในจังหวัดนี้ไม่นานนัก และใช้ภาษาจีน ได้สร้างโรงสวดและสร้างบ้านอาศัย สร้างโรงพยาบาล มีทั้งพืชที่เป็นเครื่องยากำลังขึ้นอยู่สะพรั่ง
        ในจังหวัดนี้มีมิสชันรีอเมริกันอยู่คนเดียว ซึ่งได้ทำการร่วมมือกับมิสชันรีชาตอื่นมีอังกฤษเป็นต้น แต่สำหรับสอนพวกจีนเท่านั้น หมอคลิฟต์ได้บอกข้าพเจ้าว่า ฝ่ายโรมันคาธอลิคอ้างว่าสอนคนชาวพื้นเมืองเดิมนั้นได้ผลดีกว่าสอนคนจีนในแถวนี้เสียอีก แต่ข้าพเจ้าหาได้พูดอะไรต่อไปไม่
         เมื่อข้าพเจ้าพักอยู่กับหมอคลิฟต์นั้น รู้สึกนับถือเขามากทีเดียว เพราะเขาดีทั้งใจและศาสนาปฏิบัติ เมื่อเครื่องสัมภาระของข้าพเจ้ามาถึง เขาได้จัดการนำไปยังโรงพยาบาลของเขาทันที ข้าพเจ้าต้องการจะหยุดพักผ่อนมากกว่าอย่างอื่นเพราะได้ตรากตรำมาเป็นเวลานาน ข้าพเจ้าเชื่อว่าบุคคลที่มีร่างกายอ่อนแอกว่าข้าพเจ้า คงไม่สามารถมาถึงจังหวัดนานนิงฟูนี้ได้ เพราะหนทางก็ดี วิธีเดินทางก็ดี และประจวบกับฤดูซึ่งไม่เหมาะแก่การเดินทางเหล่านี้ ย่อมจะเป็นอุปสรรคทุกประการ คงไม่มีใครรู้เรื่องตอนที่เว้นว่างไว้ในหนังสือนี้เท่าผู้เขียนเองเป็นแน่ ที่จริงจะต้องเป็นคนแข็งแรง ทางก็ลำบากและติดขัด เพราะโดยมากเป็นภูเขา จะขี่ม้าก็ไม่ใคร่ได้ จำเป็นต้องเดินด้วยเท้า ไหนจะต้องหาความรู้และสืบหาเพื่อให้ทราบเรื่องราวของชาติ ภาษา ประวัติการณ์ ขนมธรรมเนียม และความเชื่อถือของชนชาติไทยพวกต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะต้องจดบันทึกด้วยตนเองทุกวันตามที่ได้สังเกตและสืบได้ ไหนจะต้องกะกำหนดการเดินทางและทำกิจธุระต่าง ๆ และไปติดต่อกับเจ้าของท้องที่ที่จะต้องเดินทางต่อไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนชาติไทยเท่านั้น วันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า ในที่สุดก็เป็นเดือน ๆ ต้องนอนพักในสถานที่เปล่าเปลี่ยวบ้าง ในโรงขายอาหารจีนอันสกปรกบ้าง ในศาลาวัดบ้าง ในกระท่อมที่อยู่กับพื้นดินบ้าง ลำบากด้วยประการทั้งปวง ทั้งเมื่อยทั้งล้า เท้าก็เจ็บระบบและฟกช้ำ และร่างกายก็อ่อนเพลียอิดโรย ในวันรุ่งขึ้นก็ต้องตื่นแต่เช้ามืดเวลา 4.30 ก.ท. โดยมีนาฬิกาปลุก แล้วก็ทำกิจดังนั้นต่อไปอีกเล่า แต่ด้วยความหวังดีต่อชนชาติไทยอันมีอยู่ในดวงจิตอย่างแรงกล้าของข้าพเจ้า และเพื่อการบุญและความชอบในศาสนา ก็ทำให้ลืมความลำบากและทนต่อไปได้ เมื่อข้าพเจ้าได้มาพักอยู่ที่นี่ เมื่อระลึกเปรียบเทียบกับเวลาเดินทางตั้งหลายเดือน ในโรงอาหารอันสกปรกและโรงม้า และห้องอับ มาอยู่บ้านที่สะอาดโอ่โถงของชาวยุโรป และมีอากาศดีอย่างสวรรค์เช่นนี้แล้ว จะรู้สึกว่าหายใจคล่องขึ้นปานใด สะดวกสบายปานใด
         เมื่อข้าพเจ้าพักอยู่ที่บ้านของหมอคลิฟต์สองวัน ข้าพเจ้าได้ไปรู้จักและทำการคุ้นเคยกับนายตังนังต์ เจ้าหน้าที่ศุลกากรของฝรั่งเศสที่นานนิงฟูโดยจดหมายนำของนายกลัตต ผู้ทำการด่านภาษีในจังหวัดเม่งสู ชาวฝรั่งเศสผู้นี้พูดภาษาอังกฤษคล่อง สามารถตอบคำถามเรื่องระยะทางที่ข้าพเจ้าต้องการและเรื่องอื่น ๆ ได้ดี เขาได้เชิญหมอคลิฟต์และข้าพเจ้าไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน แต่ในวันนั้นหมอคลิฟต์ติดการประชุมเสีย จึงไปในการเลี้ยงของเขาแต่ข้าพเจ้าผู้เดียว ข้าพเจ้าได้ร่วมโต๊ะกับเขาและภรรยา ซึ่งเป็นหญิงจีนแต่แต่งกายอย่างหญิงยุโรป พูดภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสได้และเป็นผู้ต้อนรับแขกดี นอกจากนี้แขกที่สำคัญก็คือ กงสุลอังกฤษประจำกังตั๋งมีนามว่า เจ. ดับลยู. จาไมสัน ซึ่งเพิ่งมาถึงโดยเรือรบชนิดกันโบต เวลากำลังรับประทานอาหารนั้น นายจาไมสันเล่าถึงเรื่องที่เขาได้เคยถูกถามขณะที่อยู่ในกรุงลอนดอนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้ออกความเห็นถึงหนังสือที่นายพันตรีดาวีสแต่งเรื่องมณฑลยูนนาน ในตอนสุดท้ายเขากล่าวถึงการรถไฟ และยังกล่าวต่อไปว่า เรื่องราวที่นายพันตรีดาวีสกล่าวนั้น รับรองได้ว่าเป็นความจริงทุกประการ เช่นกล่าวถึงชนชาติต่าง ๆ และภาษาของชนพวกนี้ และรายละเอียดบนแผนที่ฯลฯ เขายังกล่าวอีกว่า ชนชาติที่อยู่ในมณฑลกวางซีและมณฑลกวางตุ้งนั้นส่วนมากเป็น ไทย โดยภาษาและกำเนิด
      

           ความเห็นนี้ไม่ใช่ให้เหมาเป็นความเห็นโดยหน้าที่ของนายจาไมสันกงสุลอังกฤษแต่เป็นความเห็นที่ออกจากผู้ที่ได้สมาคมกับชนชาตินี้ทุกพวก และไม่ใช่กล่าวเกินความจริงไป หรือกล่าวเป็นแต่เพียงตัวหนังสือเท่านั้น แต่เป็นโอกาสให้เราเปิดตาพิจารณาดูชนชาติไทยที่แยกออกเป็นสาขาต่างๆ อยู่ในประเทศจีนปัจจุบันนี้ แต่ถึงกระนั้นในจังหวัดนานนิงฟูนี้เอง ผู้เดินทางผ่านก็ไม่ได้รู้สึกอย่างอื่นนอกจากเห็นว่าเป็นคนจีนไปเสียหมด จนชั้นแต่หมดคลิฟต์เองก็รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินข้าพเจ้าสนทนาด้วยภาษาไทยกับคนช่างปูนและช่างไม้ ซึ่งเขาเข้าใจว่าเป็นคนจีน คนไทยในจังหวัดนี้ต่างกันกับในจังหวัดกวางนานฟู ปากอ้ายและปากสัก เพราะพวกนี้นิยมขนบธรรมเนียมจีน เพราะฉะนั้นเขาจะทำการทุกอย่างก็กลายเป็นจีนไปหมด แม้ช่างไม้และช่างปูนของหมอคลิฟต์ก็เป็นไทยและพูดภาษาจีนได้ดี หมอคลิฟต์บอกว่าในจังหวัดนี้มีโรงเรียนจีน และทราบข่าวว่าจะเลื่อนจังหวัดนานนิงฟูซึ่งเป็นนครของมณฑลกวางซีไปตั้งที่อื่น

          ตามเขตแขวงของจังหวัดนอกๆ ออกไป มีชนชาติไทยอยู่ทั่วๆ ไป แต่เรียกกันว่าโท้ (T'o) จีนเรียกว่าถูเยน (T' u-jen) แต่อย่างไรก็ดี ชนชาติไทยของจังหวัดนี้คงมีจำนวนไม่น้อยกว่าเมื่อ พ.ศ. 2431 ซึ่งนายเบิร์นกงสุลอังกฤษได้เขียนรายงานไว้ว่าพลเมืองในแขวงนานนิงฟูนั้น 10 ส่วนเป็นชาติไทย 9 ส่วน ผู้ช่วยสอนศาสนาของนายลันดิสคนหนึ่งเป็นไทยโท้ เมื่อข้าพเจ้าพักอยู่ถึงวันที่ 2 นั้น หมอคลิฟต์ได้ให้ผู้ช่วยของเขาซึ่งเป็นไทยโท้พาข้าพเจ้าไปเยี่ยมตามหมู่บ้านของ ชนชาติไทยโท้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่สู้ไกลจากที่นี่นัก ในหมู่บ้านนี้เป็นคนไทยจริงๆ ผู้ช่วยที่พาข้าพเจ้าไปนั้น เขารู้สึกและพูดส่งภาษากับคนในหมู่บ้านได้ แต่เวลาที่เขาอยู่ในเมืองและที่ตลาดเขาพูดภาษาจีน และเมื่อพูดกับข้าพเจ้าเขาใช้ภาษาไทย ข้าพเจ้าได้จดถ้อยคำได้อีก 250 คำ ข้าพเข้าได้แนะนำหมอคลิฟต์ผู้สอนศาสนาประจำในจังหวัดนี้ว่าสำหรับชนชาติไทยโท้แล้ว ควรใช้ภาษาไทยโท้สอนจะได้ประโยชน์ดีกว่า เขาก็มีความพอใจที่จะทำการนั้นโดยไม่คัดค้านเลย เพราะเขาทำการสอนประจำชนชาติไทยในประเทศจีน และเพราะปรากฏว่า เท่าที่เขามีหน้าที่อยู่แล้วในจังหวัดนี้ คงไม่เป็นการขัดข้องอย่างไรที่กรรมการคริสต์ศาสนาจะจัดการเพิ่มขึ้นอีก เพื่อประโยชน์แก่ชนชาติไทยโท้ด้วย ซึ่งจะดำเนินการสอนพร้อมกันไปกับพวกจีน

 

          เสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2453 เวลาบ่าย 4 ล.ท. พี่ฟูกับข้าพเจ้าได้ออกเดินทางจากจังหวัดนานนิงฟูโดยเรือยนต์ เรือยนต์นี้ใหญ่ขนาดเดียวกับเรือแจวที่ข้าพเจ้าโดยสารมาจากจังหวัดปากสัก เมื่อเรือได้แล่นมานานและไกลนั้น ข้าพเจ้ามุ่งหมายจะแวะที่จังหวัดวูเจา จังหวัดนี้ตั้งอยู่ในดินแดนเกือบสุดทางตะวันออกของมณฑลกวางซีค่อนไปทางทะเลและเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งที่จีนมีสัญญาเปิดให้นานาประเทศเข้าไปค้าขายได้ และเป็นศูนย์กลางของทางทั้งหลายด้วย ข้าพเจ้ากะไว้ว่าจะให้ถึงกังตั๋งในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2453 ข้าพเจ้ารู้สึกว่า จำเป็นต้องหยุดพักที่วูเจาให้นานสักหน่อย เพื่อจัดการเรื่องศาสนาในจังหวัดอันสำคัญนี้ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เพราะปรากฏว่ามีชนชาติไทยในจังหวัดนี้มาก

          เวลาเช้า 7 ก.ท. ข้าพเจ้าได้ขึ้นบกที่วูเจาตามจดหมายนำที่ข้าพเจ้าได้ไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นพบโรงพยาบาล และโรงสวดของมิสชันรีซึ่งทำการร่วมกัน ณ ที่นั้นท่านเรเวอเรนด์ ไอ.เอ็ล. เฮสส์ กับแหม่มของเขาได้รับรองให้อยู่ในบ้านซึ่งเป็นโรงพยาบาลด้วย บ้านของเขามีกำแพงล้อมรอบตั้งอยู่กลางจังหวัด ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความสุขมาก จึงได้พักต่อมาอีก สองวัน

          ข้าพเจ้าได้รับจดหมายสองฉบับกับโทรเลขฉบับหนึ่งจากแหม่มดอดด์ ส่วนโทรเลขนั้นบอกว่า แหม่มได้มาถึงกังตั๋วแล้วโดยสวัสดิภาพ จดหมายและโทรเลขนั้นถึงมือข้าพเจ้าภายใน 3 วัน ซึ่งต่างกับคราวก่อน กว่าจะถึงก็ 3 เดือน แล้วข้าพเจ้าได้ไปหานายฟอนบรวนเจ้าพนักงานด่านภาษี ซึ่งนายกลัตต์ที่จังหวัดเม่งสูได้มีจดหมายนำข้าพเจ้ามาถึงเขาสุภาพบุรุษผู้นี้เป็นชาวเยอรมัน ได้รับรองข้าพเจ้าและเชิญข้าพเจ้ารับประทานน้ำชา

          ในจังหวัดนี้ยังไม่มีมิสชันรีสำหรับสอนชนชาติไทยซึ่งเรียกกันในถิ่นนั้นว่า ชองเยน (Chawng-jen) หรือคนชองด้วยภาษาของเขาเอง มีชนชาติชองน้อยคนที่ไปร่วมสวดมนต์ในโรงสวดด้วยกับพวกจีน และผู้ช่วยของมิสชันรีในจังหวัดนี้เขาก็รับรองว่าเขาจะแยกสอนอีกแผนกหนึ่ง และจะได้พิจารณาตั้งโครงการเพื่อประโยชน์นี้ต่อไป

          ข้าพเจ้าเสียใจที่ไม่มีเวลาพอที่จะสืบหาความรู้เรื่องชนชาติชองนี้ได้นานนัก เพราะจะต้องรีบไปกังตั๋ง เพราะภรรยาและบุตรของข้าพเจ้าได้มาคอยอยู่ที่นั่นแล้ว แต่ความเสียใจนี้กลับกลายเป็นความดีใจขึ้น โดยนายฟรีแมนผู้เป็นมิสชันรีได้พยายามสืบค้นเรื่องราวของชนชาติชองนี้ไว้บ้าง ซึ่งข้าพเจ้าได้ทราบจากเขาว่าต้นเดิมของชนชาติชองในปัจจุบันนี้ ก็อย่างเดียวกับชนชาติไทยโท้ คืออาณาจักรอ้ายลาวอันเป็นบ้าเกิดแห่งบรรพบุรุษของชนชาติไทย ได้ถูกชาติจีนรุกรานและเกิดการต่อสู้กันมาเป็นเวลานานถึง 2500 ปี ภายหลังจึงได้พากันอพยพมาอยู่ที่นี่จากมณฑลอันฮุย มณฑลเชียงซี และมณฑลฮูนาน อันเป็นเขตของอาณาจักรอ้ายลาว นอกจากนี้ เมื่อชนชาติไทยได้อพยพมาอยู่ในดินแดนทางทิศใต้ของแม่น้ำยางสีแล้ว จีนยังได้ตามมารุกรานทำให้ไทยต้องพ่ายแพ้เมื่อ พ.ศ. 1596 เป็นความบาดหมางกันระหว่างพวกจีนกับพวกชองมีสืบทอดมาเป็นเวลานมนาน ทุกๆ แห่งในประเทศจีนที่ข้าพเจ้าได้สืบสวนและพิจารณาชนชาติไทยในปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้ายังรู้สึกว่า แม้ไทยจะมีชื่อต่างๆ กันตามถิ่นที่เขาอยู่ก็ดี หรือเสียเมืองตาลีฟูอย่างย่อยยับลงมาก็ดี หรือบางพวกก็ เร่รอนจากกวางตุ้งและดินแดนแม่น้ำตะวันตกที่ได้พ่ายแพ้แก่จีนมาแล้วก็ดี ชนชาติไทยพวกต่างๆ เหล่านี้ก็ยังไม่นิยมเอาแบบอย่างจีนเลยตราบเท่าที่สามารถต้านทานกำลังจีนได้ จีนได้ดูถูกพวกพื้นเมืองดั้งเดิมเหล่านั้นมาก และพวกนี้ก็เกลียดชังจีนที่รุกรานเข้ามาเช่นเดียวกัน เหตุฉะนั้นจึงมีความจำเป็นอยู่บ้าง ที่จะต้องแยกกิจศาสนาของเราออกเป็นชาติๆ จนกว่าจะได้เพาะความปรองดองในระหว่างชนจีนและไทยเหล่านี้ และให้จางความบาดหมางไปเพื่อจะได้อยู่รวมกันโดยสงบ

          พุธ ที่ 22 มิถุนายน เวลาเช้าข้าพเจ้ากับพี่ฟูผู้ติดตามตลอดมาด้วยความภักดีนั้น ได้ออกเดินทางจากวูเจาโดยเรือกลไฟชื่อไซนัมไปยังกังตั๋ง และถึงเมื่อเวลา 7 ก.ท. วันรุ่งขึ้น 23 มิถุนายน เรือกลไปได้เทียบเท่าโดยเรียบร้อย ช้าไปกว่ากำหนด 3 วัน ครอบครัวของข้าพเจ้า ซึ่งจากกันเป็นเวลาห้าเดือนครึ่งก็ได้มาพร้อมหน้ากันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ต่อนั้นไปข้าพเจ้าได้พักอยู่ที่กังตั๋ง และได้ไปพบกับมิสชันรีหลายคน ข้าพเจ้าและครอบครัวได้เป็นแขกรับเชิญของหมอมารีไนล์ให้ไปดูโรงเรียนสอนเด็กหญิงตาบอด และไปดูโรงพยาบาลคนเสียจริต ซึ่งอยู่ในความอำนวยการของแหม่มเกอรุร์ แล้วข้าพเจ้ากับครอบครัว ได้เตรียมการที่จะกลับประเทศสหปาลีรัฐอเมริกา แต่พี่ฟูนั้นจะได้ส่งลงเรือกลไฟจากกังตั๋งผ่านฮ่องกงและกรุงเทพฯ ไปยังบ้านเดิมของเขาที่จังหวัดเชียงรายในประเทศไทย และในที่สุดพี่ฟูของเราก็ได้ถึงบ้านเดิมโดยสวัสดิภาพ นับว่าเป็นคนเที่ยวไกลอยู่คนหนึ่งเหมือนกัน.

คลิกอ่านตอนต่อไป แถบแม่น้ำยางสี >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย