ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

ไทย

หลวงนิแพทย์นิติสรรค์ (ฮวดหลี หุตะโกวิท)

แปลจากต้นฉบับภาษษอังกฤษเรื่อง
The Tai Race-The Elder Brother of the Chinese
โดย Dr.William Clifton Dodd

เดินทางในยูนนาน พ.ศ. 2461

(หน้า 2)

         การเดินทางในดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงนี้ มาตามที่ราบระหว่างภูเขาถึงตลาดเล็กแห่งหนึ่งข้างทาง ก็มีคนหมู่หนึ่งมามุงดูพวกเรา ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่า คนเหล่านี้เป็นชนชาติไทยเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบคนไทยตั้งแต่ออกเดินทางมา ในแควลุ่มแม่น้ำแดงนี้ มีคนไทยตั้งภูมิลำเนาอยู่มาก ข้าพเจ้าสังเกตดูคำที่เขาใช้พูดจากกันก็พอฟังเข้าใจได้ เพียงแต่สังเกตในเวลาที่พักอยู่ไม่นานก็ยังเข้าใจง่ายกว่าที่จะฟังคำพูดของพวกไทยอย่า ซึ่งข้าพเจ้าได้พบครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2453 นั้นเสียอีก คนไทยในหมู่นั้นบอกข้าพเจ้าว่า มีหมู่บ้านคนไทยในที่ราบแถบนี้ห้าหกหมู่เท่านั้น แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ให้ยาควินินแก่ลูกของเขาเป็นไข้กินแล้ว เขารู้สึกชอบคุณ ข้าพเจ้า และบอกต่อไปว่า มีหมู่บ้านชนชาติไทยแถบนี้ราว 20 หมู่ เมื่อข้าพเจ้ามองดูรอบบริเวณทุ่งกว้างนี้ ก็ได้เห็นหมู่บ้านอยู่ราว 12 หมู่ เพราะฉะนั้นจึงเชื่อว่า คงมีหมู่บ้านชนชาติไทยไม่น้อยกว่า 20 หมู่ดังเขากล่าว ทุ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองจุง (Muang Chung) ซึ่งเป็นชื่อที่ไทยเรียกแทนคำว่ายวนเกียง ในทุ่งนี้มีน้ำขังพอที่จะทำนาได้เป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าได้เห็นคนกำลังใช้ควายไถนาแทนวัว ซึ่งตามปกติพวกจีนใช้วัว ข้าพเจ้าได้เห็นควายถึง 8 ตัว เทียมไถอยู่ในทุ่งนี้ ถนนที่ข้าพเจ้ามาในบริเวณนีมีต้นยางและไม้พุ่มต่างๆ มีดอกกลมๆ เหลืองๆ ทำให้ข้าพเจ้าอดคิดถึงบ้านที่เชียงรายในประเทศไทยไม่ได้

             เมื่อลงจากเนินเขาถึงสถานที่ตั้งจังหวัดยวนเกียงนั้น รู้สึกว่าภูมิประเทศเปลี่ยนไปทันที เพราะในท้องทุ่งนั้นเต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวชอุ่มขึ้นอยู่งอกงาม เวลาบ่ายอากาศร้อนมากแต่ในเวลาเย็นกระทั่งกลางคืนมีลมพัดเรื่อย พวกเราพักในโรงม้าซึ่งปลูกขึ้นใหม่ มีหน้าต่างกว้างเป็นทางลมพัดเข้าได้เย็นสบาย เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองเลยเข้าไปดูบ้านร้างแห่งหนึ่งซึ่งมีกำแพงล้อมรอบ ภายในกำแพงมีตึกหลายหลัง บางหลังไม่มีหลังคาและร้างไปแล้วก็มี ที่นี้ถ้าได้ตั้งเป็นสถาน มิสชันรีจะดีมาก ในเมืองยวนเกียงนี้ไม่ได้พบคนไทยเลย แต่ข้าพเจ้าทราบแน่ว่าในแถบนี้ทั้งหมด เดิมเป็นของชนชาติไทย

             พวกหมู่ลาพาหนะของข้าพเจ้านั้นยังอยู่ห่างสักครึ่งไมล์ ข้าพเจ้าได้พักแรมในเมืองนั้น โรงขายอาหารมีตั้งอยู่หลายแห่ง รุ่งเช้าเมื่อคนใช้เตรียมการจะออกเดินทางต่อไปนั้นมีพวกเดินทางมาเป็นเพื่อนเดินร่วมกับพวกเรา ฝ่ายเรามีคนหามเก้าอี้ 9 คน เด็กใช้ที่เป็นไทยชาวยางสี 4 คน คนทำกับข้าวคนหนึ่ง กุลีคนหนึ่ง และลาพาหนะซึ่งบรรทุกข้าวของต่างๆ 11 ตัว กุลี 20 คนหาบหามสิ่งของต่างๆ ที่จะเอาไปให้นายเฟอร์เกสสันที่จังหวัดโมไฮ ของเหล่านี้ส่งมาพร้อมกับของพวกเราจากยูนนานฟู พวกที่เดินทางร่วมด้วยมีหญิงจีนคนหนึ่งกับลูก 2 คนนั่งอยู่ในเวกัน คือ เปลหามเป็นที่นอนทำด้วยเชือก มีคนหามหัวท้าย กับมีผู้ชายจีน 3 คนนั่งมาในเวกันรวมเป็น 4 ด้วยกัน มีคนใช้และคนหาบหามสิ่งของเครื่องใช้ตามหลังและมีลาพาหนะบรรทุกอีก 3 ตัว            

         เมื่อเดินทางมาถึงยีนปุกชัน ข้าพเจ้าได้พบชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งชื่อ อาช. ปาริสส์ ผู้จัดการบริษัทบ่อแร่เกลือที่จังหวัดโมไฮ เขากำลังเดินทางไปเมืองหลวงและจะเลขไปแมนจูเรียเวลาก่อนสองวันที่ล่วงมาแล้ว เมื่อเดินวนเวียนตามหมู่บ้านบนภูเขานั้นได้พบกันกับนายและแหม่มฟูลเลอร์ตัน ผู้เป็นมิสชันรีมาจากจังหวัดเสเม้าจะไปยังยูนนานฟูเพิ่งมาพบกันครึ่งทาง ณ ที่นี้ และเป็นโชคดีที่มาพักในโรงขายอาหารแห่งเดียวกัน            

         เมื่อข้าพเจ้าแรมคืนที่ตะลังเชียน นอนไม่ใคร่หลับ ด้วยเหตุว่าเป็นที่ซึ่งถึงสัญญาที่พวกกุลีหามเก้าอี้ 9 คนจะได้รับเงินค่าจ้างจากข้าพเจ้าคนละครึ่งเหรียญ เมื่อเขาเหล่านั้นกินข้าวเย็นแล้วก็นั่งล้อมวงเล่นการพนันส่งเสียงอึกทึกเกือบตลอดคืน เด็กใช้ชาวยางสี 4 คนนั้น ข้าพเจ้าได้ให้นอนเสียในห้องข้าพเจ้าจึงไม่ได้เข้าเล่นด้วย และทั้งข้าพเจ้าได้สั่งสอนเขาแล้วว่า การพนันเป็นของชั่วร้ายมาก ในเวลาเช้า 4 นาฬิกาได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นตามเคย แต่โดยเหตุที่อ่อนเพลียมากจึงได้หลับอีก ในที่นี่ข้าพเจ้าขอคัดข้อความจากจดหมายเหตุรายวันที่แหม่มดอดด์จดไว้นั้นลงบ้างเล็กน้อย            

         "นอกจากในบริเวณลุ่มแม่น้ำยางสีซึ่งมีสวนหมากสวนกล้วยแล้วที่นี้เป็นแห่งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบสวนกล้วย เมื่อข้าพเจ้ามาถึงจังหวัดยวนเชียงหรือยวนเกียง ข้าพเจ้าได้ซื้อกล้วยแจกให้คนใช้กิน แต่เขาไม่รู้จักว่าเป็นผลอะไร เขาพูดว่าไม่เคยพบและไม่เคยกิน แล้วข้าพเจ้าจึงบอกเขาว่า พวกเราได้เดินทางมาไกลมากตั้งแต่ประเทศไทยจนถึงที่นี่ พวกเราได้มาถึงหมู่บ้านเชิงเขาเมื่อเช้านี้ หมู่สัตว์พาหนะที่บรรทุกข้าวของก็มาถึงพร้อมกัน พวกเราเข้าไปพักในที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่หลังโรงขายอาหาร แต่พวกกุลีไปพักในโรง ห้องที่ข้าพเจ้าพักนี้ถึงหากจะเล็กและมือไม่มีหน้าต่างและพื้นสกปรากก็จริง แต่ปราศจากเสียงอึกทึกและกลิ่นเหม็น

            15 ตุลาคม พ.ศ. 2461 เป็นวันเกิดของสามีข้าพเจ้าเราได้เลี้ยงอาหารกันในโรงม้า ซึ่งมีชายคนหนึ่งนอนสูบฝิ่นอยู่ที่ข้างโต๊ะรับประทานอาหาร และมีม้าตัวหนึ่งกินหญ้าอยู่ที่ข้างร้าน พวกเราได้เลื่อนโต๊ะอาหารมาหาอากาศสดชื่นที่ใกล้ประตู ดูอาหารที่จะรับประทานกันนั้นไม่สมกับที่จะเป็นอาหารในพิธีวันเกิด ไม่ช้ามีพวกเด็กและผู้ใหญ่พากันล้อมดูพวกเรารับประทานอาหารกัน พวกที่มาดูนั้นพูดกันเป็นภาษาจีน เมื่อพวกเราพูดกับเขาๆ ก็ไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าได้ยินคนหนึ่งในพวกนั้นพูดเป็นสำเนียงไทย และในไม่ช้าเขาใช้ภาษาไทยพูดกับพวกเรา พอเข้าใจเรื่องกันได้ เมื่อข้าพเจ้าเอาหนังสือคู่มือเบื้องต้นภาษาไทยยางสีให้ดู ก็สังเกตได้ว่าเขารู้คำที่ไทยถือพุทธศาสนา ไม่รู้เป็นอันมาก และรู้คำที่เราใช้เป็นอันมากที่ไทยยางสีเองก็ไม่รู้ คือคำสามัญทั่วไป ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีมากที่อาจอาศัยคู่มือเบื้องต้นภาษาไทยยางสีนี้ แผ่ศาสนาไปในระหว่างชนชาติไทยลุ่มแม่น้ำดำ ซึ่งสามีของข้าพเจ้าดีใจนักว่า ความรู้ใหม่นี้มีค่าเท่ากับวันเกิดของเขาทีเดียว"

 

             ในเวลาบ่ายวันนั้นพวกเราได้ยกกองข้ามแม่น้ำดำไปโดยสะพานแขวน แล้วเดินมาอีกสักชั่วโมงเศษก็เข้าเขตจังหวัดปะเปียนและหยุดพัก ณ ที่นี้ ข้าพเจ้าได้พบปะชนชาติไทยหลายคน และได้สนทนากับพวกนั้น แม้แต่ผู้หญิงก็ยังได้พูดภาษาไทยกับแหม่มดอดด์ ข้าพเจ้าสังเกตว่าการที่ข้าพเจ้าใช้ภาษาไทยพูดกับพวกนี้ ดูเข้าใจง่ายกว่าที่จะพูดกับคนไทยชาวยางสีเมื่อพบครั้งแรก ข้าพเจ้าหวังว่าจะพักอยู่เพื่อพูดจาสั่งสอนด้วยเรื่องศาสนาแก่เขาบ้าง แต่เขาก็หารอฟังไม่

             วันรุ่งขึ้นก็ถึงจังหวัดโมไฮ ซึ่งข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับและการเลี้ยงดูของนายเฟอร์เกสสัน เจ้าพนักงานภาษีเกลือ กับนายและแหม่มเบ็ฆดัล ผู้เป็นมัสชันรีชาวเดนมาร์ก ข้าพเจ้าได้ไปดูบ่อเกลือ วิธีต้มและฟอกเกลือ วิธีทำนั้นแม้จะเป็นวิธีโบราณก็น่าดูมาก บ่อเกลือนั้นลึกถึงพันฟุต นายและแหม่มเบ็ฆดัลได้สั่งสอนศาสนาคริสต์แก่ชนชาติจีน ทำให้คนจีนกลับใจมาได้ราวยี่สิบคน            

         ระยะทางจากโมไฮไปจังหวัดปูเออวันหนึ่งเท่านั้น ณ ที่นั้นมีบ้านมิสชันรีชาวจีนอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งเขาต้อนรับข้าพเจ้าเป็นอย่างดี รู้สึกชอบคุณเขามาก และจากปูเออไปอีก 2 วันถึงจังหวัดเสเม้า นายและแหม่มแจร์คาร์ด ได้รับรองเลี้ยงดูอย่างแข็งแรง สามีภรรยาคู่นี้มาจากจังหวัดปูเออทำการแทนนายฟูลเลอร์ตัน เพราะนายฟูลเลอร์ตันไปกิจธุระที่ยูนนานฟูชั่วคราว นายและแหม่มฟูลเลอร์ตันเป็นมัสชันรีประจำจังหวัดเสเม้า สำหรับสอนศาสนาแก่พวกลีซูและพวกอื่นๆ ด้วย ข้าพเจ้าเสียดายที่ไม่สามารถทราบถึงกิจการที่เขาดำเนินอยู่นั้นได้ เพราะเขาไม่อยู่              

         ระยะทางจากเสเม้าถึงเชียงรุ้ง 6 วัน ทางในตอนนี้ไม่มีเหตุที่จะต้องน่าหวาดกลัวอย่างไร เมื่อถึงเมืองหริ่งซึ่งเป็นตำบลของชาติลื้อเมื่อแรกถึงแล้ว เกือบจะกล่าวได้ว่าเป็นบ้านของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เข้าพักค้างคืนที่บ้านของหัวหน้าตำบล ประกาศสั่งสอนชนในหมู่บ้านนั้นบ้าง ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีเป็นอันมากที่ได้มาอยู่ในระหว่างชนชาติไทยอีกครั้งหนึ่ง            

         เมื่อล่วงมาอีก 4 วันก็ถึงเชียงรุ้ง ซึ่งนับว่าเป็นบ้านของข้าพเจ้าทีเดียว เชียงรุ้งเป็นศูนย์กลางของแคว้นลื้อ ซึ่งคณะมิสชันรีได้เปิดสถานสอนศาสนาใหม่แล้ว บ้านที่ข้าพเจ้าอยู่นั้นปลูกใหม่สำหรับข้าพเจ้า คริสเตียนในจังหวัดนี้ได้รับรองข้าพเจ้าเป็นอย่างดี การตั้งสถานมิสชันรีสำหรับจังหวัดซึ่งเริ่มต้นในปีนี้ หวังว่าคงเป็นผลสำเร็จตลอดไป ปีนี้นับว่าได้จัดวางโครงการสำหรับสอนศาสนาแก่ชนชาติไทยในประเทศจีน ซึ่งมีอาณาเขตในมณฑลยูนนานตั้งแต่เหนือสุดจนใต้สุด ข้าพเจ้ามีบัญชีลำดับถ้อยคำของชนชาติไทยที่ไม่มีหนังสือ ซึ่งข้าพเจ้าได้จดไว้ขณะที่เดินทางผ่านดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงและแม่น้ำดำ และหวังจะใช้ถ้อยคำเหล่านี้ในการสอนศาสนาแก่ชนชาติไทยเหล่านี้ด้วย            

         ครั้นข้าพเจ้าเดินทางผ่านดินแดนนี้เมื่อ พ.ศ. 2453 ได้พบปะสนทนากับคนไทยในที่นี้และทางตะวันออกในมณฑลยูนนาน ตลอดจนมณฑลกวางซี ได้ใช้ภาษาพูดกับคนไทยเหล่านี้ด้วยเรื่องกิจการที่เป็นไปในชีวิตทุกๆ วันเขาก็เข้าใจดี แต่ถ้าพูดด้วยเรื่องศาสนาเขาก็หาเข้าใจไม่ บัดนี้ข้าพเจ้ามีทั้งบัญชีลำดับถ้อยคำของคนไทยที่ถือพุทธศาสนาด้วย ซึ่งสามารถที่จะอ้างถึงศาสนาได้โดยมาก และสามารถใช้แก่คนไทยแถบลุ่มแม่น้ำแดงและแม่น้ำดำก็ได้ เมื่อโอกาสอำนวยให้แล้วก็จะเริ่มดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่คนไทยที่ไม่มีหนังสือซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่งในแดนจีนต่อไป.

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย