สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
การแพทย์แผนไทย
หมอชีวกโกมารภัจจ์ เกิดที่ประเทศอินเดียในสมัยพุทธกาล
เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าชายอภัยราชกุมาร ราชนัดดาของพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ
ได้ไปเรียนวิชาแพทย์ที่สำนักอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ณ เมืองตักศิลาโดยได้คำนึงว่า
วิชาแพทย์เป็นวิชาที่สามารถช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ได้
ตามปกติจะต้องใช้เวลาศึกษา ๑๖ ปี จึงจะสำเร็จ แต่ท่านศึกษาอยู่เพียง ๗ ปี
ก็สำเร็จการศึกษา แล้วกลับกรุงราชคฤห์
ส่วนอาจารย์ของท่านได้เดินทางไปเผยแพร่วิชาแพทย์ที่ประเทศจีนต่อไป
พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงแต่งตั้งให้หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นแพทย์หลวงและเป็นหมอประจำตัวของพระพุทธเจ้า
ท่านได้รักษาโรคให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมากโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ
ทั้งด้วยยาและการผ่าตัด
ต่อมาพระพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดวันที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไว้ล่วงหน้า
๓ เดือน แล้วเดินทางไปเสด็จดับขันธปรินิพพานที่กรุงกุสินารา
เมื่อใกล้จะครบกำหนดวันเพ็ญเดือน ๖
ได้ทรงพระประชวรหมอชีวกโกมารภัจจ์จึงปรุงยาขึ้นเพื่อถวาย
โดยกำหนดว่ายานี้เพียงเม็ดเดียวก็จะสามารถรักษาโรคทั้งหลายที่เกิดแก่พระพุทธองค์ได้
แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับยานั้นและทรงดับขันธปรินิพพานตามกำหนด หมอชีวกโกมารภัจจ์
เกิดความเสียใจเป็นอย่างมาก ได้หลบไปจำศีลภาวนาอยู่ในถ้ำ
และได้รจนาตำราวิชาแพทย์ไว้มากมาย อันเป็นคุณต่อชนรุ่นหลัง เป็นอันมาก
คนไทยนับถือท่าน ชีวกโกมารภัจจ์เป็นครูแพทย์ไทยท่านหนึ่ง
วิวัฒนาการการแพทย์แผนไทย
อาณาจักรสุโขทัย
ศิลาจารึกของอาณาจักรขอม ได้จารึกได้ว่า ประมาณ พ.ศ. ๑๗๒๕-๑๗๒๙
พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามความเชื่อในศาสนาพุทธ โดยสร้างสถาน
พยาบาล เรียกว่า อโรคยาศาลา ขึ้น ๑๐๒
แห่งในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยและบริเวณใกล้เคียง
และกำหนดผู้ทำหน้าที่รักษาพยาบาลได้อย่างชัดเจน ได้แก่ หมอ พยาบาล เภสัช ผู้จดสถิติ
ผู้ปรุงอาหารและยา รวม ๙๒ คนรวมทั้งมีพิธีกรรมบวงสรวง พระไภสัชยคุรุไวฑูรย์ประภา
ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ด้วยการบูชา ด้วยยาและอาหาร
ก่อนแจกจ่ายให้แก่ผู้ป่วย ปัจจุบันมีอโรคยาศาลา ที่ยังเหลือปราสาทที่สมบูรณ์ที่สุด
คือ กู่บ้านเขว้า จังหวัดมหาสารคาม
การแพทย์แผนไทยสมัยสุโขทัย
มีการค้นพบหินบดยาสมัยทวาราวดี ซึ่งเป็นยุคก่อนสุโขทัย
และจากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงได้บันทึกไว้ว่า
ทรงสร้างสวนสมุนไพรขนาดใหญ่บนเขาหลวง
หรือเขาสรรพยาเพื่อให้ราษฎรได้เก็บสมุนไพรไปใช้รักษาโรคยามเจ็บป่วย
ปัจจุบันภูเขาดังกล่าวอยู่ในอำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย ในยุคนี้ศาสนาพุทธ
ลัทธิหินยานมีบทบาทอย่างมาก พระภิกษุนิยมธุดงค์
ศูนย์รวมของวัฒนธรรมและการศึกษาอยู่ที่วัด
เชื่อว่าพระภิกษุยุคนี้มีความรู้ในการรักษาตนเองด้วยสมุนไพร
และช่วยเหลือแนะนำประชาชนด้วย
การแพทย์แผนไทยสมัยอยุธยา
การแพทย์สมัยอยุธยามีลักษณะผสมผสานปรับประยุกต์องค์ความรู้การแพทย์พื้นบ้านทั่วราชอาณาจักร
ผสมกับความเชื่อตามปรัชญาแนวพุทธ รวมทั้งความเชื่อทาง ไสยศาสตร์และโหราคาสตร์
เพื่อสอดคล้องกับสภาพของชุมชน
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พบบันทึกว่ามีระบบการจัดหายาที่ชัดเจน
สำหรับประชาชนมีแหล่งจำหน่ายยา และสมุนไพรหลายแห่ง ทั้งใน
และนอกกำแพงเมืองมีการรวบรวมตำรับยาต่าง ๆ
ขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การแพทย์แผนไทย เรียกว่า ตำราพระโอสถพระนารายณ์
การแพทย์แผนไทยสมัยนี้รุ่งเรืองมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนวดไทย
การแพทย์ตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาทโดยมิชชันนารีชาวฝรั่งเศสได้จัดตั้งโรงพยาบาลรักษาโรค
แต่ก็ขาดความนิยมและล้มเลิกไป
การแพทย์แผนไทยสมัยรัตนโกสินทร์
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ ๑
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธาราม หรือวัดโพธิ์ขึ้นเป็นอารามหลวงให้ชื่อว่า
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และโปรดเกล้า ให้รวบรวมและจารึกตำรายา ท่าฤาษีดัดตน
และตำราการนวดไทยไว้ตามศาลาราย มีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถคล้ายกับในสมัยอยุธยา
ผู้ที่รับราชการ เรียกว่าหมอหลวง ส่วนหมอที่รักษาประชาชนทั่วไป เรียกว่าหมอราษฎร
หรือหมอเชลยศักดิ์
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ ๒
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้โปรดเกล้าฯ
ให้เหล่าผู้ชำนาญลักษณะโรคและสรรพคุณยา รวมทั้งผู้ที่มีตำรายาดี ๆ
นำเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวายและให้กรมหมอหลวงคัดเลือกและจดเป็นตำราหลวงสำหรับโรงพระโอสถ
พ.ศ. ๒๓๙๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายชื่อว่า กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ ๓
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ อีกครั้งและโปรดเกล้าฯ
ให้จารึกตำรายาบอกสมุฏฐานของโรคและวิธีรักษาได้บนแผ่นหินอ่อน
ประดับตามผนังโบสถ์และศาลาราย และทรงให้ปลูกต้นสมุนไพรที่หายากได้ในวัดเป็นจำนวนมาก
นับเป็นการจัดการศึกษาให้แก่ประชาชนอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งมิได้จำกัดอยู่เพียงในวงศ์ตระกูลเหมือนแต่ก่อน
นอกจากนี้ยังทรงปฏิสังขรณ์วัดราชโอรสาวราราม
และได้จารึกตำราไว้ในแผ่นศิลาตามเสาระเบียงพระวิหาร
รัชสมัยนี้มีการนำการแพทย์แบบตะวันตกเข้ามาเผยแพร่โดยคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน
โดยการนำของนายแพทย์แดน บีช บรัดเลย์ ซึ่งคนไทยเรียกว่า หมอบรัดเลย์
ซึ่งนำวิธีการแพทย์แบบตะวันตกมาใช้ เช่น การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ
การใช้ยาเม็ดควินินรักษาโรคไข้จับสั่น เป็นต้น นับเป็นวิวัฒนาการการแพทย์แผนไทยและ
แผนตะวันตก
การแพทย์สมัยรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้นำการแพทย์แผนตะวันตกมาใช้มากขึ้นเช่น การสูติกรรมสมัยใหม่
แต่ไม่สามารถเปลี่ยนความนิยมของชาวไทยได้ เพราะการแพทย์แผนไทยเป็นวิถีชีวิตของคนไทย
เป็นจารีตประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบเนื่องกันมา
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ ๕
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการจัดตั้ง
ศิริราชพยาบาลขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๓๑
ซึ่งมีการเรียนการสอนและให้การรักษาทั้งการแพทย์แผนไทย และแผนตะวันตกร่วมกัน
มีการพิมพ์ตำราแพทย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๓๘ ชื่อ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
เล่ม ๑-๔ ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นตำราแห่งชาติฉบับแรก ต่อมาพระยาพิษณุประสามเวช
(หมอคง) เห็นว่าตำราเหล่านี้ยากแก่ผู้ศึกษา จึงพิมพ์ตำราขึ้นใหม่ได้แก่
ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ฉบับหลวง ๒ เล่ม และตำราแพทย์ศาสตร์สังเขป ๓ เล่ม
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขยังคงใช้มาจนทุกวันนี้
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ ๖
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีการสั่งยกเลิกวิชาการแพทย์แผนไทย
และมีประกาศให้ใช้
พระราชบัญญัติการแพทย์เพื่อควบคุมการประกอบโรคศิลปะเพื่อป้องกันอันตรายอันเนื่องมาจากการประกอบการของผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ฝึกหัดด้วยความไม่พร้อมในด้านการเรียนการสอน
การสอบและการประชาสัมพันธ์
ทำให้หมอพื้นบ้านจำนวนมากกลัวถูกจับจึงเลิกประกอบอาชีพนี้ บ้างก็เผาตำราทิ้ง
จะมีหมอแผนโบราณเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ที่สามารถปฏิบัติได้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวนับเป็นทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรคำนึงถึง
การแพทย์แผนไทยสมัยรัชกาลที่ ๗
กฎหมายเสนาบดี
ได้แบ่งการประกอบโรคศิลปะออกเป็นแผนปัจจุบันและแผนโบราณ
มีการศึกษาวิจัยสมุนไพรขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๕-๒๔๘๖ ขณะที่สงคราม โลกครั้งที่ ๒
ลุกลามเข้ามาในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้เกิดภาวะขาดแคลนยา ศาสตราจารย์ นพ.
อวย เกตุสิงห์ ให้ศึกษาวิจัยสมุนไพร ที่ใช้รักษาไข้มาลาเรียที่ โรงพยาบาลสัตหีบ
หลังจากสงครามโลกสงบลง ยังคงมีปัญหาขาดแคลนยาแผนปัจจุบัน
รัฐบาลจึงมีนโยบายให้องค์การเภสัชกรรมกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาสมุนไพรเป็นยารักษาโรค
องค์กรเอกชนด้านการแพทย์แผนไทย
ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ มีการก่อตั้งสมาคมโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้น
ที่วัดโพธิ์ กรุงเทพฯ นับแต่นั้นมาสมาคมต่าง ๆ ก็ได้แตกสาขาออกไป
ปัจจุบันมีโรงเรียนแพทย์แผนโบราณที่มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องอยู่เป็นจำนวนมากทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ศาสตราจารย์ นพ. อวย เกตุสิงห์
แพทย์แผนปัจจุบันผู้ซึ่งเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของการแพทย์แผนไทยเป็นอย่างดี
ได้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูการแพทย์ไทยเดิมขึ้น ทำให้เกิดอายุรเวทวิทยาลัย
(ชีวกโกมารภัจจ์) ผลิตแพทย์แผนโบราณแบบประยุกต์ หลักสูตร ๓ ปี ในโอกาสต่อมา
นับได้ว่าศาสตราจารย์ นพ. อวย เกตุสิงห์
เป็นบิดาของการแพทย์แผนไทยแบบประยุกต์ที่เปิดโอกาสให้แพทย์ไทยฟื้นตัวอีกครั้ง
บิดาการแพทย์แผนไทย
นายพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระเจ้า
ลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ นับลำดับ
ราชสกุลวงศ์เป็นองค์ที่ ๒๘ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์
ประสูติในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๔๒๓
และทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ที่ ๑ ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาของเจ้าพระยาสุรวงศ์
ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) สมุหพระกลาโหมในรัชกาลที่ ๕ มี พระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมมารดา
อีก ๒พระองค์ คือ
พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา(สิ้นพระชนม์เสียตั้งแต่ยังพระเยาว์)
และพระองค์เจ้าสุริยงประยุรพันธุ์ (ต่อมาดำรงพระอิสริยยศเป็น
กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส)
๕ ตุลาคม ๒๔๓๙ เป็นนักเรียนนายเรือที่ประเทศอังกฤษ และ ๑๑ พฤศจิกายน
๒๔๖๓ ได้รับพระบรมราชโองการฯ เลื่อนเป็นกรมหลวงมีพระนามตามพระสุพรรณบัฎว่า
กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ( ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๗ หน้า ๒๙๒ วันที่ ๑๑
พฤศจิกายน ๒๔๖๓ ) พระกรณียกิจของพระองค์เป็นคุณประโยชน์ อย่างอเนกอนันต์
นานัปการแก่กองทัพเรือ จนทหารทุกหมู่เหล่า
นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันต่างก็ซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณ
อย่างมิรู้ลืมจึงพร้อมใจกันถวายสมัญญานามพระองค์ท่านว่า พระบิดาของกองทัพเรือไทย
พระองค์ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากตำราไทย
ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง
โดยทรงค้นคว้าตรวจหาตามคัมภีร์เก่าที่เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้วเขียนเสร็จในปี พ.ศ.
๒๔๕๘ พระองค์ทรงตั้งชื่อตำราไทยสมุดข่อยเล่มนี้ว่า
พระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม
มีเนื้อหาตำรายาโบราณกล่าวถึงการผสมยาแก้โรคต่าง ๆ เคยใช้ได้ผลมามากแล้ว
ทรงเป็นหมอยาไทย รับรักษาประชาชนโดยทั่วไปด้วยน้ำพระทัย โอบอ้อมอารีใน
ขณะที่พระองค์ท่านเสด็จออกจากประจำการชั่วคราว ชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างปี พ.ศ.
๒๔๕๔-๒๔๖๖ จนได้รับสมัญญานามอีกพระนามหนึ่งว่า หมอพร
ได้กราบถวายบังคมลาราชการออกไปตากอากาศที่ชายทะเล หาดทรายรี ปากน้ำ เมืองชุมพร
ประชวรพระโรคหวัดใหญ่ สิ้นพระชนม์เมื่อ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๔๖๖ จึงนับได้ว่า
พระองค์ท่านเป็นพระบิดาของแพทย์แผนโบราณของไทย