สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ความเปลี่ยนแปลงในการจัดวางความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์
ปัจจัยสมัยใหม่เหล่านี้
ในส่วนของการจัดระเบียบองค์กรพหุ-ชาติพันธุ์ในโลกของการบริหารราชการ,
การพัฒนาการติดต่อสื่อสาร และกระบวนการกลายเป็นเมืองที่มีความก้าวหน้า แน่นอนว่า
ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมที่แตกต่างอย่างถึงราก
ซึ่งปัจจัยที่พินิจพิเคราะห์ในการบ่งชี้ความหมายและการธำรงรักษาพรมแดนชาติพันธุ์จะถูกทำให้แตกต่างกัน
ในการยึดหลักของพวกเขาเองอยู่บนข้อจำกัดและข้อมูลปัจจุบัน
ซึ่งเราได้พบกับความยุ่งยากในการกล่าวโดยทั่วไปเกี่ยวกับกระบวนการทางชาติพันธุ์
เนื่องจากตัวแปรส่วนใหญ่
อาจจะไม่ได้รับความสนใจเพราะว่าพวกเขาไม่ได้แสดงออกในกรณีแบบที่เราแบ่งจำแนก
นั้นอาจทำให้เกิดความสับสนอยู่บ้างที่นักมานุษยวิทยาสังคมมีแนวโน้มที่จะพิจารณาไปทางสถานะ
(situation) พิเศษเฉพาะของพื้นที่อาณานิคมและการบริหารปกครองจากภายนอก
ซึ่งมีรูปแบบฉากหลังมากที่สุดในเรื่องเดียวเฉพาะที่มีอิทธิพล
ราวกับว่าเรื่องนี้ได้แสดงภาพของเงื่อนไข ณ เวลาและสถานที่นั้นได้มากที่สุด
สิ่งนี้อาจจะมีอคติในการตีความทั้งในส่วนของระบบก่อนอาณานิคมและส่วนของปัจจุบันที่รูปร่าง
(form) ปรากฎขึ้นมา
ความพยายามในบทความเหล่านี้ได้ครอบคลุมกรณีแตกต่างหลายๆแห่งที่ไม่พอเพียงลำพังจะปกป้องต้านทานอคติดังกล่าว
และความต้องการประเด็นที่ค้นพบโดยตรง
ระบอบอาณานิคมเป็นสภาพสุดขั้วโดยแท้จริงในขอบเขตที่การบริหารและกฎระเบียบของมันถูกแยกออกจากชีวิตทางสังคมรากฐานของท้องถิ่น
ภายใต้ระบอบดักล่าว ปัจเจกยึดถือสิทธิธรรมแน่ชัดในการปกป้องอย่างไม่แตกต่างกัน
เพราะว่าประชากรขนาดใหญ่รวมกันเป็นกลุ่มและเป็นส่วนบริเวณแผ่ยื่นห่างออกไปของสัมพันธภาพทางสังคมและการจัดตั้งที่เป็นของพวกเขาเอง
สิ่งนี้อนุญาตให้ความใกล้ชิดทางกายภาพและเปิดโอกาสต่อการติดต่อระหว่างผู้คนของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งไม่มีอยู่ในส่วนของการแบ่งร่วมความเข้าใจระหว่างพวกเขา
และดังนั้นผู้ที่หนีออกไปจากการบังคับจึงเป็นปฏิบัติปกติอยู่บนความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์
ในสถานการณ์ดังกล่าว การปฏิสัมพันธ์สามารถพัฒนาและแพร่หลายขึ้นโดยแท้จริงแล้ว
รูปแบบของการปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นเพียงแค่ถูกยับยั้งโดยตรงโดยปัจจัยอื่นๆ
จะถูกทำให้ไม่ปรากฎและยังคงขอบเขตพื้นที่ของการไม่เชื่อมต่อเอาไว้
ด้วยเหตุนี้พรมแดนชาติพันธุ์ในสถานการณ์ดังกล่าว
จึงแสดงให้เห็นถึงการจัดระเบียบองค์กรที่เห็นได้ในความสัมพันธ์ทางสังคมที่แตกต่างกันรอบด้านและคุณค่าความหมาย
(value) ที่เติมเต็มเข้ามา และความแตกต่างทางวัฒนธรรมมักจะถูกลดทอนลงกับช่วงเวลา
และเข้าถึงการเรียกร้องได้ต่ำที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในระบอบทางการเมืองส่วนมากที่สุด
ซึ่งมีระบอบการรักษาความปลอดภัยและชีวิตผู้คนภายใต้การคุกคามของเผด็จการและความรุนแรงภายนอกมากกว่าชุมชนดั้งเดิมของพวกเขา
ซึ่งความไม่มั่นใจในการกระทำของตัวเองเป็นเหมือนการควบคุมการติดต่อระหว่างชาติพันธุ์
ในสถานการณ์นี้
รูปแบบส่วนใหญ่ของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกของกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันจะล้มเหลวในการพัฒนาขึ้น
แม้ว่าได้เติมเต็มศักยภาพของผลประโยชน์ที่จะได้รับก็ตาม
รูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างอาจะถูกปิดกั้นจำกัด
เนื่องจากการขาดความเชื่อใจหรือขาดโอกาสต่อการดำเนินกิจการที่บรรลุผล
ยิ่งไปกว่านั้นได้มีการกีดกันลงโทษในชุมชนดังกล่าว
ซึ่งมีแนวโน้มไปสู่การยกระดับภายในการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เปิดเผยและความแตกต่างทางวัฒนธรรมระหว่างชุมชน
ถ้าหากบุคคลเป็นผู้ที่ต้องพึ่งพา
เพื่อการปกป้องรักษาตัวเขาเองตั้งอยู่บนความสมัครใจและสนับสนุนโดยเกิดขึ้นเองในชุมชนของเขาเอง
การบ่งชี้จำแนกตัวตนเหมือนกับสมาชิกของชุมชนนี้
ต้องการถูกแสดงให้เห็นและยืนยันรับรองที่ชัดแจ้ง; และพฤติกรรมใดก็ตาม
ซึ่งเป็นความเบี่ยงเบนจากมาตรฐาน อาจจะถูกตีความราวกับเป็นการตื่นขึ้นของอัตลักษณ์
และด้วยพื้นฐานของการปกป้องรักษา (พรมแดน) ในสถานการณ์ดังกล่าว
ความแตกต่างทางประวัติศาสตร์ ในวัฒนธรรมระหว่างชุมชนที่แตกต่างโดยไม่ตั้งใจ
จะมีแนวโน้มที่คงอยู่ตลอดด้วยตัวพวกเขาเองโดยปราศจากรากฐานทางการจัดระเบียบที่มั่นคงแน่นอน;
ส่วนใหญ่ที่สามารถสังเกตเห็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมได้
อาจจะถูกจำกัดความสัมพันธ์อย่างมากต่อการจัดระเบียบองค์กรทางชาติพันธุ์
กระบวนการที่หน่วยทางชาติพันธุ์ดำรงรักษาตัวพวกเขาเองดังกล่าว
จึงสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพื้นฐาน
โดยความเปลี่ยนแปลงของการปกป้องรักษาทางเขตแดน
นี้สามารถแสดงให้เห็นได้โดยการตรวจสอบในกรณีการวิเคราะห์ในบทความเหล่านี้
ซึ่งปรากฎให้เห็นขอบเขตการแสดงจากอาณานิคมต่อพหุ-ศูนย์กลาง
เหนือสถานการณ์ไร้อธิปไตยอย่างสัมพันธ์กัน อย่างไรก็ตาม
มันเป็นความสัมพันธ์ต่อการรับรู้เข้าใจว่าพื้นฐานตัวแปรนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากโดยขึ้นกับช่วงเวลา
และในการวางร่างแบบแผนของกระบวนที่ยาวนานนี้ เป็นความยากลำบากยิ่งยวด
ดังในกรณีของชาวเฟอร์
ซึ่งเราสังเกตจากสถานการณ์ของการดำรงรักษาพื้นที่ภายนอกและการกระทำทางการเมืองท้องถิ่นขอบเขตขนาดเล็ก
และสามารถวาดร่างภาพกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และแม้กระทั่งระดับอัตราส่วนในการจัดวางนี้
แต่เราเข้าใจว่าไปเกินกว่าคนรุ่นสุดท้ายได้ไม่มากนัก
ซึ่งสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์หนึ่งที่การเผชิญหน้าของชาวแบ็กการ่า-ชาวเฟอร์ภายใต้อำนาจปกครองของซุลต่านชาวเฟอร์ที่ขยายตัวอย่างใกล้ชิดไปสู่ความไร้ระเบียบโดยรวมในชาวตุรกีสและยุคสมัยของ
Mahdi;
และมันเป็นความยากลำบากมากต่อการประเมินผลกระทบของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บนกระบวนการของการกลายเป็นคนเร่ร่อนและการผสมผสานกลมกลืน
และบรรลุถึงการวางโครงของระดับอัตราส่วนและแนวโน้มในระยะยาว
» กลุ่มชาติพันธุ์เป็นเหมือนหน่วยที่มีวัฒนธรรมสัมพันธ์กัน
» กลุ่มชาติพันธุ์ เป็นเหมือนรูปแบบการจัดองค์กร
» ความเกี่ยวข้องของอัตลักษณ์และมาตรฐานเชิงคุณค่า
» การพึ่งพิงอาศัยกันของกลุ่มชาติพันธุ์
» ปัจจัยในการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์
» อัตลักษณ์ชาติพันธุ์และคุณูปการที่ปรากฎจริง
» กลุ่มชาติพันธุ์และการจัดแบ่งช่วงชั้น
» ชนกลุ่มน้อย ผู้ถูกกีดกัน และคุณลักษณะในการจัดกลุ่มองค์กรของขอบนอก
» การติดต่อและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม
» ความเปลี่ยนแปลงในการจัดวางความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์