ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
18.ภาพมุมกว้างที่ชี้แจงมานี้จำเป็นที่เราต้องเข้าใจมิใช่เพียงเป็นปรากฏการณ์ความตาย
ซึ่งบ่งบอกถึงคุณลักษณ์ของความตายเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงสาเหตุต่างๆ
ที่ก่อให้เกิดความตายของมนุษย์ด้วย คำถามของพระเจ้าที่ว่า ท่านทำอะไร ลงไป นั้น
(ปฐก 4:10)
ดูเหมือนจะเป็นคำเชื้อเชิญที่ทรงตรัสกับกาอินให้เขาข้ามพ้นมิติด้านวัตถุของการฆ่าคนตายของเขานั้น
เพื่อเขาจะได้สำนึกรู้จากคำถามนั้นถึงความร้ายแรงของเหตุจูงใจต่างๆ
ที่เปิดโอกาสให้เขาฆ่าคนอื่นและรู้สำนึกถึงผลที่ตามมาอันเกิดจากการฆ่าคนของเขานั้นด้วย
การตัดสินใจกระทำล่วงละเมิดชีวิตมนุษย์นั้นบางครั้งเกิดมาจากสภาพการณ์ยากลำบากหรือน่าสลดใจยิ่งของความทุกข์สาหัส
ความโดดเดี่ยว การขาดโอกาสด้านเศรษฐกิจ
ความท้อแท้สิ้นหวังและความหวั่นวิตกเกี่ยวกับอนาคต
สภาพแวดล้อมเช่นว่านี้สามารถทำให้มนุษย์ลดระดับความรับผิดชอบของตนลงไปมาก
แล้วเปิดโอกาสให้คนพวกนั้นที่เลือกกระทำการ ซึ่งในตัวมันเองเป็นสิ่งชั่วร้าย
กระทำผิดเช่นนี้ได้โดยง่าย
แต่ทุกวันนี้ปัญหานั้นไปไกลเกินกว่าการที่ต้องสำนึกรู้ถึงสภาพการณ์ส่วนตัวเหล่านี้ของมนุษย์ไปแล้ว
มันเป็นปัญหาซึ่งเป็นอยู่ ณ ระดับวัฒนธรรม สังคม และการเมือง
ซึ่งเผยแสดงให้เห็นถึงมิติอันเลวร้าย
และน่าหวั่นวิตกต่อแนวโน้มที่มนุษย์ไม่เคยร่วมมือกันเช่นนี้มาก่อนเลย
ที่จะตีความการกระทำผิดต่างๆ ต่อชีวิตมนุษย์
ที่กล่าวถึงมาแล้วข้างต้นนั้นว่าเป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมาย ที่มนุษย์แต่ละคน
แสดงออกถึงการมีอิสรภาพของตน
และเป็นสิ่งที่จะต้องยอมรับและปกป้องว่าเป็นสิทธิโดยแท้ของมนุษย์ด้วย
ในแบบนี้เองและด้วยผลตามมาอันน่าเศร้า
กระบวนการทางประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ก็มาถึงจุดผกผัน กระบวนการนี้
ซึ่งครั้งหนึ่งนำไปสู่การค้นพบเรื่อง สิทธิมนุษย์
อันเป็นสิทธิที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน
และมีอยู่ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญและการออกกฎหมายของรัฐ ปัจจุบันนี้
กลับแปรเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามอย่างน่าประหลาดใจยิ่ง
โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีการประกาศว่า สิทธิของบุคคลมนุษย์นั้นมิอาจถูกล่วงละเมิดได้
และคุณค่าของชีวิตมนุษย์ก็ได้รับการยืนยันอย่างเปิดเผยด้วยนี้
สิทธิการมีชีวิตอยู่กลับถูกปฏิเสธหรือไม่ก็ถูกย่ำยี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ
เวลาสำคัญยิ่งของการมีชีวิต กล่าวคือ ณ เวลากำเนิดมาและ ณ เวลาสิ้นชีวิต
ทางด้านหนึ่ง คำแถลงการณ์หลากหลายยืนยันถึงสิทธิมนุษย์
และการริเริ่มงานต่างๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคำแถลงการณ์ เหล่านั้น
ก็แสดงให้เห็นในระดับโลกว่ามนุษย์มีสำนึกด้านศีลธรรมมากขึ้น
มนุษย์ตื่นตัวตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์มากขึ้น
โดยไม่มีการแบ่งแยกในเรื่องเชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา ความคิดด้านการเมือง
หรือชนชั้นทางสังคมใดๆ
แต่อีกด้านหนึ่ง
ก็น่าเสียดายที่คำแถลงการณ์อย่างสง่าเหล่านี้กลับถูกขัดแย้งด้วยการไม่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ในทางปฏิบัติ
การไม่ยอมรับดังกล่าวนี้ยิ่งน่าเศร้ายิ่งขึ้น
ซึ่งที่จริงก็เป็นที่สะดุดยิ่งขึ้นด้วย
ทั้งนี้ก็เพราะว่าการปฏิเสธนั้นเกิดขึ้นในสังคมที่มีจุดหมายแรกอวดอ้างว่าเพื่อยืนยันและปกป้องสิทธิมนุษย์
การยืนยันถึง
หลักการข้อนี้จะไปได้อย่างไรกับการทำลายล้างชีวิตมนุษย์ที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
และการหาข้อแก้ตัวที่กระจายไปทั่วมาสร้างความชอบธรรมให้กับการทำลายล้างชีวิตมนุษย์ได้เล่า?
เราจะสามารถทำให้คำแถลงการณ์เหล่านั้นไปได้อย่างไรกับการไม่ยอมรับคนที่อ่อนแอและต้องการความช่วยเหลือ
หรือผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เพิ่งปฏิสนธิได้เล่า?
การคุกคามชีวิตมนุษย์นี้ขัดแย้งโดยตรงกับการเคารพชีวิตมนุษย์
และมันเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อวัฒนธรรมทั้งหมดของสิทธิความเป็นมนุษย์
มันเป็นภัยคุกคาม ซึ่งในที่สุดแล้ว
ก็ทำลายความหมายแท้ของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์แบบประชาธิปไตย กล่าวคือ
แทนที่จะเป็นสังคมของ ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกัน เมืองใหญ่ต่างๆ
กลับเสี่ยงภัยที่จะกลายเป็นสังคมที่รวมกันของผู้คนที่ถูกปฏิเสธ ผู้ถูกกีดกัน
ผู้คนที่ถูกย้ายจากถิ่นที่อยู่และผู้ถูกกดขี่
แล้วถ้าเราพิจารณาดูในมุมมองที่กว้างขึ้นในระดับโลก
เราก็อดไม่ได้ที่จะต้องคิดมิใช่หรือว่า
เรื่องการยืนยันถึงสิทธิของมนุษย์ทุกคนและของประชาชาติทั้งหลายที่ทำกันในที่ประชุมสำคัญๆ
ระดับนานาชาติเหล่านั้น ก็เป็นเพียงการใช้วาทศิลป์แบบลมๆ แล้งๆ แทบทั้งสิ้น
ถ้าเรายังไม่อาจถอดหน้ากากความเห็นแก่ตัวของชาติร่ำรวยเหล่านั้นได้
ซึ่งมักจะกีดกันไม่ให้ชาติที่ยากจนกว่าได้เข้าถึงการพัฒนาก้าวหน้า
หรือไม่ก็ทำให้การเข้าถึงนั้นต้องขึ้นอยู่กับข้อบังคับต่างๆ
ตามใจชอบของพวกตนที่ห้ามเรื่องการกำเนิดมนุษย์
โดยตั้งแง่โต้แย้งในเรื่องการพัฒนากับตัวมนุษย์นั้นเอง เราควรจะตั้งคำถามมิใช่หรือ
ถึงเจ้าตัวต้นแบบเศรษฐกิจที่รัฐต่างๆ รับเอามาใช้นั้น
ซึ่งเป็นผลจากการถูกกดดันจากนานาชาติ และจากรูปแบบต่างๆ ของการตั้งเงื่อนไข
ก็ก่อให้เกิดสภาพความอยุติธรรมและความรุนแรงหนักยิ่งขึ้นในสภาพการณ์ที่ชีวิตของประชาชาติถูกลดคุณค่าและถูกย่ำยีด้วย