ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
19.
อะไรเป็นสาเหตุรากเหง้าก่อให้เกิดการขัดแย้งอันสำคัญยิ่งนี้?เราสามารถพบสาเหตุเหล่านี้ได้โดยการประเมินโดยรวมเรื่องธรรมชาติด้านวัฒนธรรมและด้านศีลธรรม
ที่เริ่มต้นด้วยการพิจารณาดูท่าทีที่นำเอาความคิดเรื่องอัตวิสัย (concept of
subjectivity) ไปสู่ขั้วสุดโต่ง และถึงขั้นบิดเบือนให้ผิดเพี้ยนไป
และพิจารณาดูท่าทีที่ยอมรับผู้มีสิทธิ์เป็นบุคคลมนุษย์เพียงเฉพาะผู้ที่มีความเป็นตัวเอง
(autonomy) โดยสมบูรณ์หรืออย่างน้อยที่สุดก็เริ่มมีอยู่บ้าง
หรือยอมรับผู้ที่พ้นจากสภาพของการที่ต้องพึ่งพาคนอื่นแล้วเท่านั้น
แต่เราจะทำให้แนวคิดที่ว่านี้ไปด้วยกันได้อย่างไรกับการยกย่องมนุษย์ว่าเป็น
ผู้ที่ต้องไม่ถูกใช้ประโยชน์ เล่า?
ทฤษฎีเรื่องสิทธิเป็นมนุษย์นี้มีพื้นฐานอยู่บนการยืนยันที่ว่าบุคคลมนุษย์
ซึ่งไม่เหมือนกับสัตว์หรือสิ่งของ ไม่อาจตกอยู่ใต้อำนาจควบคุมของมนุษย์คนอื่นได้
เรายังต้องกล่าวถึงท่าทีที่มุ่งจะทำให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้นเท่าเสมอกับสมรรถภาพทางด้านการติดต่อสื่อสารด้วยคำพูด
และการแสดงออกภายนอกหรืออย่างน้อยก็ทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ เป็นที่ชัดเจนว่า
บนพื้นฐานของการตั้งสมมุติฐานเหล่านี้เอง
จึงทำให้ไม่มีที่สำหรับผู้ใดก็ตามที่เป็นส่วนอ่อนแอในโครงสร้างทางสังคม อาทิ
เด็กที่ยังไม่เกิดมาหรือผู้ที่กำลังจะตาย
หรือสำหรับผู้ที่แสดงให้เห็นว่ามีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยอาศัยความเมตตาของผู้อื่น
ต้องพึ่งพาผู้อื่นตลอด และสามารถติดต่อสื่อสารได้ก็เพียงอาศัยภาษาเงียบของการแสดง
ความรักใคร่เอ็นดูต่อกันอย่างลึกซึ้งเท่านั้น
ในกรณีนี้เป็นการใช้กำลังบังคับมาเป็นมาตรการชี้วัดการเลือกและการกระทำในการมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันในชีวิตด้านสังคม
แต่สิ่งนี้ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ฝ่ายรัฐซึ่งปกครองโดยกฎหมายในฐานะประชาคมที่
เหตุผลของการใช้กำลังบังคับ (reasons of force) กลับถูกแทนที่ด้วย
การใช้กำลังบังคับเหตุผล (force of reason)
ที่ตามประวัติศาสตร์แล้วก็มุ่งที่จะยืนยันถึงสิ่งนี้
ณ อีกระดับหนึ่ง
สาเหตุรากเหง้าของการขัดแย้งกันระหว่างการประกาศยืนยันถึงสิทธิการเป็นมนุษย์กับการไม่ยอมรับสิทธินี้ในทางปฏิบัตินั้น
เกิดมาจากความรู้ในเรื่องอิสรภาพซึ่งยกย่องปัจเจกบุคคลมนุษย์อยู่สูงสุด
และไม่มีที่ให้กับเรื่องความผูกพันธ์ต่อกัน
เรื่องการเปิดใจรับผู้อื่นและเรื่องการรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ในขณะที่เป็นความจริงว่า การทำลายล้างชีวิตที่ยังไม่เกิดมา
หรือชีวิตที่อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายนั้น
บางครั้งก็แสดงให้เห็นชัดเจนจากการมีความคิดแบบผิดๆ เรื่องการมีความสงสารแบบมนุษย์
อยากให้เขาสบาย จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวัฒนธรรมแห่งความตาย เมื่อพิจารณาโดยรวม
ก็ทรยศต่อความคิดเรื่องอิสรภาพของมนุษย์แต่ละคนโดยสิ้นเชิง
ซึ่งลงท้ายกลายเป็นอิสรภาพของ ผู้แข็งแรง
กดขี่ผู้อ่อนแอที่ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องยอมตามเท่านั้น
ตามความหมายนี้เองที่คำตอบของกาอินต่อคำถามของพระเจ้าที่ว่า
อาแบลน้องชายของท่านอยู่ไหน จึงออกมาเช่นนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ
ข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแลน้องหรือ? (ปฐก 4:9) ถูกแล้วมนุษย์ทุกคนเป็นผู้ดูแล
พี่น้องเพื่อนมนุษย์ เพราะว่า พระเจ้าทรงมอบเรามนุษย์ให้แก่กันและกัน
และจากมุมมองของการมอบหมายให้ดูแลกันและกันนี้เอง
พระเจ้าก็ทรงมอบอิสรภาพให้แก่มนุษย์ทุกคน
เป็นอิสรภาพที่มีมิติสัมพันธ์ภายในต่อกันและกัน
อิสรภาพนี้เป็นของประทานจากพระเจ้าที่พระองค์ทรงมอบให้มนุษย์เพื่อเขาจะได้นำไปใช้ช่วยทำให้ตัวเขาเป็นมนุษย์สมบูรณ์โดยทางการมอบตัวเองและเปิดตัวเองแก่ผู้อื่น
แต่เมื่ออิสรภาพนั้นถูกเก็บกักไว้เป็นสมบัติส่วนบุคคล
อิสรภาพนั้นก็ขาดหายไปซึ่งความหมายเดิมของมัน
และความหมายกับศักดิ์ศรีของมันก็ขัดแย้งตรงกันข้าม
ยังมีอีกมิติหนึ่งที่ลึกซึ้งกว่า ซึ่งจำเป็นที่จะต้องกล่าวเน้นนั่นคือ
อิสรภาพปฏิเสธและทำลายตัวมันเองและกลายเป็นปัจจัยนำไปสู่การทำลายผู้อื่น
เมื่ออิสรภาพนั้นไม่ยอมรับและให้ความเคารพต่อสายสัมพันธ์สำคัญกับสัจธรรมอีกต่อไป
เมื่ออิสรภาพอันเกิดจากความปรารถนาที่จะแยกตัวเองออกจากธรรมประเพณีและอำนาจทุกรูปแบบ
ปิดตัวเองไม่ยอมรับแม้กระทั่งหลักฐานชัดแจ้งที่บ่งถึงสัจธรรมที่เป็นจริงและสากล
ซึ่งเป็นรากฐานของชีวิตทั้งส่วนบุคคลและของชีวิตสังคมมนุษย์ด้วย
บุคคลมนุษย์ผู้นั้นจึงลงเอยด้วยการไม่ยอมรับสัจธรรมเรื่องความดีและความชั่วเป็นหลักอ้างอิงอันหลีกเลี่ยงมิได้เพียงอย่างเดียวสำหรับการเลือกของตนอีกต่อไป
แต่กลับทำตามความนึกคิดแบบอัตวิสัยอันเปลี่ยนแปลงได้ของตน
หรือที่จริงแล้วก็เป็นการทำตามความพอใจและตามอารมณ์ความรู้สึกแบบเห็นแก่ตัวของตนเท่านั้นเอง