ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
20. ในการค้นหาสาเหตุรากเหง้าลึกสุดของการต่อสู้กันระหว่าง
วัฒนธรรมแห่งชีวิต กับ วัฒนธรรมแห่งความตาย นี้
เราไม่อาจจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะที่ความคิดผิดเพี้ยนในเรื่องอิสรภาพตามที่กล่าวถึงมานั้นเพียงเรื่องเดียวได้
แล้วไซร้ ผู้คนทั้งหลายก็มาถึงขั้นที่ต้องปฏิเสธ กันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มนุษย์คนอื่นถูกถือว่าเป็นศัตรูที่ตนจะต้องต่อกรด้วย
ฉะนั้นสังคมมนุษย์จึงเป็นแค่ฝูงคนที่มาอยู่ข้างเคียงกันเท่านั้น
โดยไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน
มนุษย์แต่ละคนต่างต้องการยืนยันว่าตนเองเป็นอิสระไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด
และอันที่จริงก็มุ่งเพียงเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนเองไว้
ถึงกระนั้นเมื่อต้องพบกับผลประโยชน์ที่ใกล้เคียงกันกับของผู้อื่นก็พบว่ายังมีการประนีประนอมกันในบางอย่างได้
ถ้าหากมนุษย์ยังต้องการให้มีสังคมที่คอยรับประกันอิสรภาพสูงสุดให้มนุษย์แต่
ละคนอยู่
เช่นนี้เองที่การกล่าวถึงคุณค่าร่วมกันและถึงสัจธรรมที่ผูกพันมนุษย์แต่ละคนไว้ด้วยกันไว้อย่างเด็ดขาดนั้นก็สูญหายไป
และชีวิตด้านสังคมของมนุษย์ก็ก้าวไปอย่างทุลักทุเลสู่ลัทธิสัมพันธ์นิยม
(relativism) สมบูรณ์แบบ ณ จุดนี้เองที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ใช้การเจรจาตกลงกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างเปิดสู่การต่อรองกัน นั่นคือ
มีการต่อรองกันแม้กระทั่งในเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ คือ
สิทธิการมีชีวิตอยู่ด้วย
นี่คือสิ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ ระดับการเมืองและการปกครองด้วย กล่าวคือ
สิทธิการมีชีวิตอันมีอยู่แต่ดั้งเดิมและมิอาจลบล้างได้นั้น
กลับถูกตั้งคำถามหรือไม่ก็ถูกปฏิเสธ โดยใช้วิธีการลงคะแนนเสียงในรัฐสภา
หรือโดยความต้องการของผู้คนส่วนหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นคนหมู่มากก็ตาม
นี่เป็นผลร้ายแรงอันเกิดจาก ลัทธิสัมพันธ์นิยมนั้น
ซึ่งมีอยู่อย่างที่ไม่มีการโต้แย้งใดๆ กล่าวคือ สิทธิ กลับหมดสภาพการเป็นสิทธิ
เพราะว่ามิได้ตั้งอยู่บนรากฐานของศักดิ์ศรีอันมิอาจล่วงละเมิดได้ของมนุษย์ แต่กลับ
ตกอยู่ภายใต้ความต้องการ (will) ของฝ่ายที่เข้มแข็งกว่า เช่นนี้เองระบอบประชาธิปไตย
ที่ขัดแย้งกับหลักการของตัวมันเอง ก็กลายรูปแบบไปเป็นการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ
(totalita-rianism) รัฐมิใช่เป็น บ้านอยู่ร่วมกัน
ที่ผู้คนทั้งหลายสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ด้วยกันบนพื้นฐานหลักการของความเสมอภาค
ขั้นพื้นฐานอีกต่อไป แต่กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นรัฐทรราช (tyrant state)
ที่แอบอ้างว่าฝ่ายรัฐมีสิทธิที่จะจัดการกับสมาชิกที่อ่อนแอที่สุด
และสมาชิกที่ไม่อาจดูแลตัวเองได้
นับแต่เด็กที่ยังไม่เกิดมาจนถึงผู้สูงอายุทั้งหลายด้วย
โดยอ้างว่าเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม
ซึ่งที่แท้ก็เพื่อผลประโยชน์ของผู้คนเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้ว
สิ่งที่เรามีอยู่ตอนนี้จริงๆ
ก็เป็นเพียงการเล่นละครตลกอันน่าเศร้าล้อเลียนการออกกฎหมายเท่านั้นส่วนอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ก็ต่อเมื่อยอมรับรู้และปกป้องศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์แต่ละคนนั้น
กลับถูกทรยศ ณ ระดับรากฐานของประชาธิปไตยทีเดียว
จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะพูดถึงศักดิ์ศรีของบุคคลมนุษย์แต่ละคนในเมื่อยังยินยอมให้มีการฆ่าผู้อ่อนแอและผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายอยู่ได้
โดยอ้างถึงความยุติธรรม ในเมื่อมีการกระทำแบบเลือกปฏิบัติอันอยุติธรรมอยู่มากมาย
นั่นคือ บุคคลบางคนถือว่าสมควรได้รับการปกป้อง ในขณะที่อีกหลายคนกลับถูกปฏิเสธ
ซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของตน16 เมื่อเกิดสภาพเช่นนี้ขึ้น
กระบวนการอันนำไปสู่การล่มสลายของการเป็นอยู่ร่วมกันของมนุษย์
และการแตกแยกของตัวรัฐเองก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว
การอ้างว่ามีสิทธิทำแท้งได้ ฆ่าเด็กได้ และทำการุณยฆาตได้
อีกทั้งยังยอมรับสิทธินั้นไว้ในกฎหมายด้วย
ก็หมายถึงว่าเป็นการทำให้อิสรภาพของมนุษย์มีลักษณะผิดเพี้ยนและชั่วร้าย นั่นคือ
เป็นการยอมให้คนบางคนมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหนือคนอื่นและทำลายคนอื่นได้
นี่คือความตายของอิสรภาพแท้ของมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป (ยน 8:34)
และข้าพเจ้าต้องหลบซ่อนจากพระพักตร์ของพระองค์
(ปฐก 4:14)
: เงามืดบดบังสำนึกถึงพระเจ้า และสำนึกถึงมนุษย์