ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ชีวิตมนุษย์มีต้นกำเนิดในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์จึงมาจากพระเจ้าและเป็นของพระเจ้า ทุกชีวิตมนุษย์เป็นของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่โลก
บทนำ
บทที่ 1
บทที่ 2
บทที่ 3
บทที่ 4
บทส่งท้าย
7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28
22. ผลที่ตามมาก็คือ เมื่อมนุษย์สูญเสียสำนึกถึงพระเจ้า
สำนึกถึงมนุษย์ก็ถูกคุกคามและกลายเป็นพิษไปด้วย ดังที่สภาสังคายนาวาติกัน ที่ 2
ได้สรุปไว้อย่างกระชับสั้นๆ ว่า ถ้าไม่มีพระผู้สร้าง
สรรพสัตว์ก็ย่อมมีไม่ได้...แต่เมื่อมนุษย์ลืมพระเจ้า เสียแล้ว
มนุษย์ก็ไม่อาจเข้าใจสรรพสัตว์ได้17 มนุษย์ไม่สามารถเห็นตัวเองว่า
แตกต่างอย่างล้ำลึก จากสรรพสัตว์อื่นๆ ของโลกนี้อีกต่อไป
มนุษย์ถือว่าตนเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตอีกสิ่งหนึ่ง เหมือนเป็นองคาพยพหนึ่ง
ซึ่งอย่างมากที่สุด ก็ได้ขึ้นถึงพัฒนาการขั้นสูงมากระดับหนึ่งเท่านั้น
เมื่อมนุษย์ปิดขังตัวเองอยู่แค่เพียงระดับแนวราบแคบๆ
ของธรรมชาติทางด้านกายภาพของตนเท่านั้น เขาจึงถูกลดคุณค่าลงมาเป็นแค่
ของสิ่งหนึ่ง และไม่เข้าใจถึงคุณลักษณะ เหนือธรรมชาติ (transcendent character)
ของการเป็นอยู่แบบมนุษย์ของตนเลย
เขาไม่ถืออีกต่อไปว่าชีวิตมนุษย์เป็นของประทานวิเศษสุดจากพระเจ้า
ชีวิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงมอบให้อยู่ในความรับผิดชอบของเขา
และให้เขาต้องดูแลด้วยความรักและให้ ความเคารพ ต่อชีวิตด้วย
ชีวิตมนุษย์กลายเป็นเพียง สิ่งของ
ที่มนุษย์ถือสิทธิ์เก็บไว้เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของตน
อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลเด็ดขาดของตนเท่านั้น
ฉะนั้นในเรื่องชีวิตมนุษย์ตอนเกิดหรือตอนตายนั้น
มนุษย์ก็ไม่สามารถตั้งคำถามหาความหมายจริงแท้ที่สุดแห่งการเป็นอยู่ของตนเองได้
อีกทั้งยังไม่สามารถทำให้ช่วงขณะอันสำคัญยิ่งแห่งประวัติศาสตร์ของตนเองนั้นกลมกลืนไปกับอิสรภาพแท้จริงได้ด้วย
มนุษย์ให้ความสนใจแต่เพียงเรื่อง การทำ
และใช้เทคโนโลยีทุกชนิดสลวนอยู่กับการวางแผน การบังคับควบคุมการเกิดและการตาย
แทนที่การเกิดและการตาย จะเป็นประสบการณ์แรกที่มนุษย์จะต้องนำมา เจริญชีวิตอยู่
การเกิดและการตายนั้นกลับกลายเป็นสิ่งของที่มนุษย์เพียงแค่ เป็นเจ้าของ หรือไม่ก็
ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมนุษย์ไม่ยอมกล่าวอ้างถึงพระเจ้าเลย
ก็ไม่น่าประหลาดใจที่ความหมายของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะผิดเพี้ยนไปอย่างลึกซึ้ง
จากที่ธรรมชาติเป็นเสมือน มารดา (mater) ก็ถูกลดค่าลงมาเป็นแค่ สสาร (matter)
และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมทุกรูปแบบ
นี่เป็นทิศทางที่วิธีคิดแบบทางเทคนิคและแบบทางวิทยาศาสตร์
ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในวัฒนธรรมยุคปัจจุบัน ปรากฏให้เห็นว่ากำลังนำไปสู่ทิศทางนี้
เมื่อมันไม่ยอมรับความคิดที่ว่าสัจธรรมแห่งการเนรมิตสร้างสรรพสิ่งนั้นมีอยู่จริง
ซึ่งมนุษย์ทุกคนต้องยอมรับรู้ หรือไม่ก็ไม่ยอมรับแผนการของพระเจ้าเพื่อชีวิต
ซึ่งมนุษย์จะต้องให้ความเคารพ
สิ่งที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นเมื่อความสนใจในเรื่องผลที่ตามมาของ
อิสรภาพที่ปราศจากกฎหมาย (freedom without law) นั้น
นำบางคนไปสู่จุดยืนในทางตรงกันข้ามของการออก กฎหมายอันปราศจากอิสรภาพ ( law
without freedom ) ทีเดียว ตัวอย่างเช่น
ในหลายอุดมคติที่ถือว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายที่จะเข้าไปแทรกแซงธรรมชาติ ก็เลย
ทำให้ธรรมชาติเป็นพระเจ้า ไป (divinizing)
นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดอีกเหมือนกันในเรื่องการพึ่งพาอาศัยธรรมชาติตามแผนการของพระผู้สร้าง
จึงเป็นที่ชัดเจนว่า การสูญเสียการติดต่อสัมพันธ์กับแผนการอันชาญฉลาดของพระเจ้านั้น
ถือเป็นสาเหตุรากเหง้าลึกสุดก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นกับมนุษย์ในยุคสมัยใหม่นี้
ทั้งเมื่อการสูญเสียดังกล่าวนี้นำไปสู่อิสรภาพที่ปราศจากกฎระเบียบควบคุม
และเมื่อการสูญเสียนี้ปล่อยให้มนุษย์ตกอยู่ใน ความหวาดกลัว ต่ออิสรภาพของตน
โดยการเจริญชีวิต ราวกับว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง
มนุษย์ไม่เพียงแต่สูญเสียการมองเห็นธรรมล้ำลึกเรื่องพระเจ้าเท่านั้น
แต่เขายังมองไม่เห็นธรรมล้ำลึกเรื่องโลก
และธรรมล้ำลึกเรื่องการเป็นของตัวเขาเองด้วย